xs
xsm
sm
md
lg

‘น้ำตาล – พิจักขณา’ แก่น ซน ซ่าส์ นางเอกมัจจุราช..สีน้ำผึ้ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สาวตาโต๊..โต 'น้ำตาล - พิจักขณา วงศารัตนศิลป์' จากเด็กสาวแก่นแก้วเมืองแพร่ จับพลัดจับผลูขึ้นแท่นนางเอกป้ายแดง หลังเป็นข่าวครึกโครมเมื่อปีกลายว่าเธอผู้นี้แหละ ที่ถูกเลือกให้มาแทน 'แอฟ - ทักษอร เตชะณรงค์' นางเอกรุ่นพี่ดีกรีเจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิง ประคบคู่พระเอกป๋าดันเบอร์ต้นๆ 'เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์' ในละครเรื่องมัจจุราชสีน้ำผึ้ง ของค่ายบรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น ออกอากาศทางช่อง 3 ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.25 น.

รอบปีที่ผ่านมาเธอคว้างานพรีเซ็นเตอร์โฆษณาไปกว่า 9 ชิ้น โลดแล่นผ่านจอทีวีให้รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากันมาบ้าง จะว่าไปเห็นในโฆษณาช่วงเวลาสั้นๆ ก็ยากที่จำติดตา แต่ใบหน้าจิ้มลิ้มของน้ำตาลก็ทำเอาแฟนๆ พากันติดใจ วัดเรตติ้งได้จากแฟนเพจของเธอ แค่ช่วงเริ่มต้นในวงการบันเทิง ยอดไลน์ก็ทะยานสูงปรี๊ดดด!

แอบกระซิบก่อนว่า.. ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าจากเด็กบ้านนอกที่เจ้าตัวยอมรับว่าทั้ง 'ขี้เหร่ ตัวดำเมียม ผอมแห้ง หัวเถิก' พอโตขึ้นจะน่ารักสดใสได้ขนาดนี้ เจ้าของดวงตากลมยังพูดขึ้นแกมหยอกว่า “เคยดูหนังเรื่อง สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารักมั้ยคะ? ..หนูอะยิ่งกว่านั้นอีก”

สาวเหนือน่ารักเตะตากรรมการ
การเข้าวงการบันเทิงของนักแสดงหน้าใหม่ไม่ว่าจะสมัยไหน ส่วนใหญ่ก็คงหลีกไม่พ้นการทาบทามจากแมวมอง เช่นเดียวกันสาวเมืองแพร่รายนี้ก็สะดุดเข้าเต็มๆ น้ำตาล เล่าถึงก้าวแรกในสายงานนี้ว่า ผู้จัดการส่วนตัวไปเจอที่จังหวัดเชียงใหม่ ตอนนั้น อยู่ ปี 1 เรียนคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นดาวคณะฯ พอเห็นก็สนใจและติดต่อเข้ามานั้นคือจุดเริ่มต้น

งานชิ้นแรกในวงการบันเทิงเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา ซึ่งทะยอยเข้ามาเรื่อยๆ มีทั้งที่ออนแอร์ในประเทศ รวมถึงต่างประเทศ ในเวลาไม่ถึงปีเธอฮอตขนาดที่ว่าเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาถึง 9 ชิ้น

“งานแรกพรีเซ็นเตอร์โฆษณาน้ำดื่มคริสตัล หลังจากนั้นก็โฆษณามาเรื่อยๆ อีกโฆษณา 8 ตัว ถ้านับตัวที่ไปออกต่างประเทศ ถ้าในไทยก็มีน้ำดื่มตราคริสตัล, ค็อกพิท, เรโซน่า, สกอตเพียวเร่, โอโม่, SCG, เนสกาแฟ ฯลฯ” น้ำตาล เล่าขึ้นในทันที

แน่นอนว่า ในช่วงนี้ข่าวคราวเรื่องการรับบทนางเอก แทนนางเอกรุ่นพี่ อย่าง แอฟ - ทักษอร ในเรื่อง มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ถูกพูดถึงอย่างมาก กระแสข่าวแพร่ออกไปว่า น้ำตาล หญิงสาวตากลมจากภาคเหนือจะมารับบทแสดงนำ เธอเป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงได้รับเลือกให้มาเป็นนางเอกประกบคู่กับพระเอกคนดัง เคน ธีรเดช ทีมงานฯ ถามว่ากดดันหรือเปล่าที่มาเป็นตัวแทนของนางเอกรุ่นพี่

“กดดันในเรื่องของบทบาทของตัวละครมากกว่า สำหรับเรื่องของ พี่แอฟ เราก็เข้าใจพี่เค้า ส่วนตัวตาลเองก็ชื่นชอบชื่นชมพี่แอฟอยู่แล้ว ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราได้เข้ามาทำงาน คงเป็นเรื่องของทางผู้ใหญ่เค้าที่เค้าตัดสินใจให้เรามาร่วมงาน กดดันในเรื่องของการเปรียบเทียบคงไม่มี แต่คงจะเป็นในเรื่องของบทบาท กดดันกับตัวเองว่าเราจะต้องทำให้ดี”

น้ำตาล เผยถึงความรู้สึกเมื่อครั้งได้รับโอกาสในบทแสดงนักแสดงนำครั้งแรก “ก็ตื่นเต้นค่ะ เพราะว่าเราไม่เคยผ่านงานละครมาก่อน ซึ่งโฆษณากับละครมันก็ค่อนข้างจะต่างกันเยอะมากด้วย อีกอย่างด้วยสายที่เรียนมา ตาลเรียนครูมา ศึกษาศาสตร์ มช. มันก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องวงการฯ เลย”

ลองคิดดูเล่นๆ แค่หน้าตาอย่างเดียวคงไม่เอื้อให้เป็นนางเอกได้ สิ่งที่สำคัญคงเป็นในเรื่องความสามารถทางการแสดงด้วย “คือเรามีการเข้าไปหาบรอดคาซท์ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แล้วก็มีโอกาสเข้ามาเล่น ซึ่งก่อนเข้ามาเล่นมันมีขั้นตอนของมัน ไปเจอพี่หน่อง (อรุโณชา ภาณุพันธ์ บิ๊กบอสแห่งค่ายบรอดคาซท์ ) เค้าก็คงเห็นพัฒนาของเราทางโฆษณาด้วย แอกติงก็ดีขึ้น ก็เลยแคสติงบทให้ทางพี่หน่อง และผู้ใหญ่ทางช่อง3ดู”

นางเอกป้ายแดงต้องปรับตัวเยอะ
“ก็ปรับเยอะ (ยิ้ม) ดีที่มีพี่ๆ คอยช่วย” น้ำตาล พูดถึงการปรับตัวในฐานะนักแสดงหน้าใหม่

ละครเรื่อง มัจจุราชสีน้ำผึ้ง เธอรับบทเป็น รจนาไฉน เด็กกำพร้าที่ถูกครอบครัวหนึ่งเก็บมาเลี้ยง หลังจากนั้นไม่นานครอบครัวนี้ก็มีลูกอิจฉา ถึงแม่พ่อเลี้ยงจะให้ความรักและเอ็นดู แต่ด้านแม่เลี้ยงกับน้องสาวนั้นกลับมีแต่ความรู้สึกเกลียดชังที่มอบให้ มิหนำซ้ำ ยังถูกพระเอกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงหน้าเงินยอมแต่งงานกับตนเพียงเพราะเงิน เรียกว่าเป็นบทหินสำหรับนางเอกหน้าใหม่เลยทีเดียว

“บทนี้เป็นบทที่ค่อนข้างที่จะยากเพราะเป็นบทที่ค่อนข้างไกลตัวค่ะ ด้วยความที่นางเอกของเรื่อง รจนาไฉน เป็นนางเอกที่ถูกกระทำทั้งเรื่องทั้งจากครอบครัว ทั้งจากพระเอกด้วย เค้าจะเป็นคนที่ค่อนข้างจะเก็บกด และระบายด้วยการร้องไห้ ถามว่าไกลตัวเลยมั้ย? ไกลตัวส่วนหนึ่งคือเค้าจะเป็นคนที่ค่อนข้างจะเก็บกด เก็บทุกสิ่งทุกอย่างมาคิด เค้าเป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนแอ พอมาอยู่ในสถานการณ์ที่กดดันด้วย เป็นเด็กกำพร้า ต้องแต่งงานแทนน้อง มันโดนอะไรหลายๆ อย่างด้วย ส่วนที่ใกล้ตัวเป็นตอนที่นางเอกไปอยู่ไร่ชามากกว่า มีความเป็นตัวของตัวเอง อยู่กับชาวเขา มีความสุข มีความสนุกสนานร่าเริงมากขึ้น กับพระเอกก็ไม่ยอม ก็มีการต่อปากต่อคำกันมากขึ้น”

เปิดกล้องละครมัจจุราชสีน้ำผึ้ง ก็เจอซีนอารมณ์หนักเลย ต้องบอกเลิกคนรักเก่า รู้ตัวว่าตัวเองเป็นกำพร้าถูกเอามาเลี้ยง น้ำตาล ยิ้มกริ่มก่อนจะเล่าถึงการต้อนรับน้องใหม่ในกองละครฯ

“โอเคนะคะ พี่เค้าก็มาให้กำลังใจ บอกเทคนิค เหมือนกับต้องทำความคุ้นเคย เราเป็นเด็กเราก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปคุยกับเค้า อย่าง พี่ฮันนี่ (ภัสสร บุณยเกียรติ) แสดงเป็นแม่ลูก ในเรื่องจะต้องร้ายกันแต่เค้าก็จะมาบอกเทคนิคทำยังไงถึงจะร้องไห้ง่ายขึ้น คือเราจะโดนกระทำในบ้านเยอะมาก บทเป็นผู้ถูกกระทำเลย
 

“นางเอกจะเชื่ออยู่อย่างนึง คือความดีชนะทุกสิ่ง ดราม่า..คอนเสปนางเอกเลย (ยิ้ม) จะร้ายก็คือจะร้ายกับพระเอก กับครอบครัวเค้าจะค่อนข้างเป็นคนที่ยอม และพอมารู้ว่าเป็นลูกกำพร้าด้วย ก็ยิ่งอยากจะตอบแทนบุญคุณ พยายามใช้ความดี เอาชนะใจแม่ ทางบ้านก็จะมีแค่พ่อคนเดียวรักเราจริง อยู่เคียงข้างเรา แต่ถามว่าพ่อช่วยเราไหม..พ่อก็กลัวแม่อีกที เพราะว่าพ่อก็เป็นโรคไต ต้องใช้เงินเยอะ แม่ก็จะรักแต่น้อง”
  

ไม่ถามถึงพระเอกของเรื่องก็คงไม่ได้ เพราะงานนี้จัดว่าเขาเป็นป๋าดันของนางเอกหน้าใหม่เลย น้ำตาล เล่าว่าในเรื่อง พี่เคน พระเอกในเรื่องจะเกลียดเรามากเพราะเข้าใจว่านางเอกเห็นแก่เงิน บวกกับมีอคติเรื่องผู้หญิงที่เห็นแก่เงินมาก่อนก็เลยเหมาว่าเราเป็นอย่างนั้น

“นอกบท พี่เคนเป็นคนสนุกสนาน เฮฮา ขำ เวลาซ้อมบทเค้าก็จะแกล้งกับพี่ต๊ะ (วริษฐ์ ทิพโกมุท) อย่างตาลเป็นเด็กใหม่ที่ไม่รู้มุมกล้องเลย เราก็จะไปบังคนนั้นคนนี้ พี่เค้าก็จะช่วยดึงให้ หลบให้ สอนเทคนิคการพูด ส่งอารมณ์ เพราะว่าเราค่อนข้างจะปะทะคารมณ์กันเยอะ มีการส่งอารมณ์ส่งซีน แล้วมันก็จะทำให้บทมาเอง”

ในเรื่องความคาดหวัง นักแสดงหน้าใหม่ผู้นี้เปิดใจ “คาดหวังกับตัวเองค่ะ อยากให้ผลงานออกมาดี คาดหวังกับการทำงานว่าอยากให้งานออกดี (ยิ้ม)”

น้ำตาลบอกว่าอนาคต ถ้าผู้ใหญ่มอบโอกาสให้ก็อยากลองเล่นในบทบาทที่คลายตัวเอง “เคยคิดอยากเล่นสิ่งที่เป็นตัวของเรา บทสดใสร่าเริง แก่นแก้ว เป็นตัวเรา เราคิดว่ามันอาจจะง่ายกว่า แต่พอเรามารับบทนี้ตาลว่าถ้าเราทำได้เราผ่านสิ่งยากๆ ไปได้ คิดว่าอย่างนั้นก็คงได้เป็นตัวของตัวเองได้”

ลูกสาวคนโตในครอบครัวราชการ
เด็กสาวเมืองแพร่ ผู้เติบโตในครอบครัวข้าราชการ น้ำตาล เล่าว่าความที่คุณพ่อเป็นตำรวจ คุณแม่ก็รับราชการ การดำเนินชีวิตของเธอถึงค่อนข้างมีแบบแผน ยิ่งในส่วนของงานวงการบันเทิงเรียกว่าทางบ้านไม่สนับสนุนเลย

“แรกๆ ไม่สนับสนุน โดยเฉพาะคุณพ่อ คือคุณพ่อเป็นตำรวจ คุณแม่เป็นข้าราชการ บ้านจะเป็นระเบียบ ครอบครัวเราเป็นครอบครัวข้าราชการ แล้วเราอยู่ที่จังหวัดแพร่ เราไมได้มาคลุกคลี่อยู่ในวงการอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยได้มาอะไรแบบนี้ ที่บ้านก็จะแบบรับราชการดีกว่า มีงานเป็นหลักเป็นแหล่งเกษียณแล้วเราก็ยังได้เงินบำเหน็จบำนาญอยู่ยาวไปเลยมีวันหยุดมีวันพักผ่อน”

แต่ด้วยเหตุผล ความมุ่งมั่น และความเชื่อใจในตัวลูกสาว พวกท่านจึงเปิดโอกาสให้น้ำตาลได้เลือกทางเดินของตัวเอง

น้ำตาล เล่าว่าสนิทกับทุกคนในบ้าน อย่างคุณแม่ก็จะสนิทในเรื่องส่วนตัวของผู้หญิงๆ คุณพ่อก็จะสนิทแต่านจะมีกฎมีระเบียบหน่อย โดยเฉพาะน้องชาย

“น้องชายสนิทกันมาก เพราะว่านอนห้องเดียวกัน จะเป็นสาวแล้วก็นอนกับน้อง ห่างกัน 6 ปีนะคะ ก็คือแรกๆ เป็นเตียง 2 ชั้น แล้วพอน้องเราเริ่มตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็นอนชั้นบนไม่ได้ (หัวเราะ) น้องชอบเล่นกีฬาเป็นนักกีฬารับบี้ด้วย ตาลก็ชอบเล่นกีฬา เมื่อก่อนก็เป็นนักกรีฑาของโรงเรียน ของจังหวัด เล่นฟุตบอลด้วย เป็นนักกีฬาว่ายน้ำ เราก็จะมีกิจกรรมกับน้องกับคุณพ่อเยอะ ตอนเช้าคุณพ่อจะตื่นไปวิ่ง น้องก็ไปวิ่ง เราก็ไปวิ่งกับคุณพ่อแล้ว เพราะว่าตำรวจจะต้องมีการสอบสมรรถภาพตำรวจ คุณพ่อจะชอบออกกำลังกาย”

ลูกสาวสวยขนาดนี้แถมคุณพ่อเป็นตำรวจอีกต่างหาก เป็นธรรมดาที่ต้องหวงลูกสาว น้ำตาล เล่าว่า คุณพ่ออยากให้สนใจเรื่องเรียนมากกว่า อย่างตอนเข้ามหาลัยฯ ปี 1 ก็ร่วมกิจกรรมเยอะ เป็นเชียร์ลีดเดอร์ ซ้อมหนักมาก 5 โมงเย็น - ตี 2 ทุกวัน เป็นดาวคณะฯ ก็ต้องไปร่วมกิจกรรมเดินทางไปนู้นไปนี่อีก จนคุณพ่อบอกว่า เพลาๆ กิจกรรมได้แล้วนะ

ตัดใจจาก 'คุณครู' สู่วงการมายา
ด้วยพื้นฐานครอบครัวบวกกับความสนใจสวนใจส่วนตัวทำให้ น้ำตาล เข้าศึกษาโครงการพิเศษของ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

น้ำตาล เล่าด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า อยากเป็นคุณครู ยิ่งพอได้ร่วมกิจกรรมออกค่ายฯ สัมผัสประสบการณ์ในวิชาชีพยิ่งทำให้รู้สึกว่าอยากทำงานตรงนี้ “อยู่ ปี2 เราค่อนข้างที่จะเก็บประสบการณ์ในเรื่องของการออกค่าย ไปโรงเรียน ไปเจอเด็กบนดอย ทำให้เรารู้สึก อยากทำ ชอบ อยากเป็นครูมาก (แววตาเปี่ยมความมุ่งมั่น)”

อย่างไรก็ตาม หลังจากเริ่มต้นในวงการบันเทิง น้ำตาล ก็ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในเรื่องการเรียน เพราะการเดินทางไปกลับ กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ทั้งเรื่องการเดินทาง ทั้งเรื่องเวลาเรียนที่ต้องแชร์ให้กับการทำงาน ฯลฯ เป็นเหตุผลให้เด็กสาวชาวเหนือ ตัดสินใจมาเรียนในกรุงเทพฯ คณะวิทยาการจัดการ สาขาวิชานิเทศศาสตร์ วิทยุโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา

“เราตัดสินใจหนักมาก ต้องย้ายมหาลัยฯ ด้วย ตอนแรกไม่ย้ายค่ะ ยอมบินไปบินมา เราเริ่มทำงานเดือนกุมภาฯ (ปี55) ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรียนซัมเมอร์ ทำงานบินไปบินมา เรียนซัมเมอร์กับเพื่อนไปด้วย พอถึงจุดนึงแล้วเหนื่อย มันถึงจุดนึงเราคงต้องเลือกแล้วแหละ”

อีกอย่างทางมหาลัยเชียงใหม่ จะเรียนค่อนข้างหนัก อาจารย์จะให้ความสำคัญในเรื่องการเข้าเรียน

“คณะศึกษาศาสตร์ ค่อนข้างที่จะขาดเรียนไมได้ เพราะว่าเราจะไปสอนคนอื่นเค้าแต่เรายังคงไม่มีความรู้ไม่เต็มที่ อยู่สายครูต้องมีการเก็บคะแนนในเรื่องของการไปโรงเรียน เพื่อที่ปี 5 จะได้ไปฝึกสอนอย่างเต็มที่ ถ้าสมมุติเรียนครูอยู่ปี 5 ก็รับงานไมได้เลย เราต้องไปโรงเรียนใช้ชีวิตเป็นครูจริงๆ” น้ำตาลเล่าถึงเหตุผลในการตัดสินใจมาเรียน

“เราก็คิดว่า ถ้าเราเรียนครูเราก็เรียน 5 ปี เทียบกับมาเรียนนิเทศฯ ก็เสียเวลาแค่ 1ปี ตอนนั้นคิดหนักมากตอนไปเซ็นลาออก เพื่อนก็เห้ย! จะเซ็นจริงหรอ เพราะว่า มช. ค่อนข้างจะรักกันมาก เค้าจะมีระบบการรับน้อง อย่างตาลจบแล้วยังไปขึ้นดอยทุกปี (กิจกรรมรับน้องของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่)” น้ำตาล เล่าถึง ความผูกพันต่อมหาวิทยาลัยที่จากมา

น่าแปลกอยู่อยู่เหมือนกัน เพราะนักแสดงวัยรุ่นสมัยนี้นิยมเข้าศึกต่อในมหาวิทยาลัยเอกชน แต่เธอกลับเลือกเรียนมหาวิทยาลัยรัฐบาล

“ที่อยากเรียน ม.สวนสุนันฯ เป็นเพราะว่าเราไปม.นี้ เราเห็นบรรยากาศ ค่อนข้างอยู่ติดกับวัง เราก็ชอบ บรรยากาศต้นไม้ร่มรื่น อยู่กับวัง เราสึกรู้ขลัง ด้วยความคิด..ไม่รู้อ่ะ (ยิ้ม)”

เหตุผลที่เลือกเรียนสาขาวิทยุโทรทัศน์ฯ น้ำตาล อธิบายว่าเพราะมาอยู่สายงานนี้แล้วอาจจะกลับไปเป็นครูยาก ก็คิดว่าถ้ามาทำงานการแสดงแล้วจะสามารถทำงานอะไรต่อไปได้ สาขาฯ นี้มันค่อนข้างจะกว้างทำให้ผันตัวไปเป็นเบื้องหลังได้

จากสมัยเรียนที่เชียงใหม่เป็นเจ้าแม่กิจกรรมตัวยง แต่พอมาอยู่ที่กรุงเทพฯ น้ำตาล เล่าว่าไม่ได้ร่วมเลย เพราะเหตุผลที่ย้ายมาก็ชัดเจนอยู่แล้วมาเพื่อเรียนและให้เวลากับงานในสายบันเทิง

น้ำตาล เล่าถึงตอนเข้ามาอยู่ในรั้ว ม.สวนสุนันฯ ในวันแรกๆ ว่า พอนั่งข้างใครก็จะรีบสนิทไว้ก่อน เพราะโดยส่วนตัวเราเป็นคนพูดมาก

“ชอบคุยกับเพื่อน ชอบมีเพื่อนเยอะๆ แต่เราไม่ไม่ได้เข้าเรียนตลอด พอมีกิจกรรมเราติดถ่ายละครอีกแล้ว ไม่ได้ไปเจอรุ่นพี่ไม่ได้ไปเจอเพื่อน แล้วปี 1 รุ่นพี่ก็จะให้ห้อยป้าย เราก็ไม่ห้อยเพราะหลังป้ายมันมีเบอร์โทร คือแบบเราจะให้เหมือนเมื่อก่อนไมได้แล้ว บางทีสิ่งเหล่านี้มันก็กลับมาทำร้ายเราตรงที่เราไม่สามารถพูดคุยกับคนอื่นได้ทุกคน” น้ำตาล เปิดใจต่อการวางตัวที่จำเป็นต้องต่างออกไปเพราะหน้าที่การงานที่เพิ่มเติมเข้ามา

ไม่ใช่ที่ 1 แต่กวาดเรียบทุกรางวัลพิเศษ
เวทีประกวดมิสซีเอ็มยูลีก (Miss CMU League) ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เจ้าของดวงตากลม เข้ามาเป็นดาวดวงน้อยทอแสงวับวาวบนฟากฟ้ามายา ถึงในครั้งนั้นน้ำตาลไม่ได้ครองตำแหน่งผู้ชนะเลิศอันดับหนึ่ง แต่คณะกรรมการก็เทใจให้เธอเต็ม

“ถามว่าได้รางวัลอะไรมั้ย ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ตาลไม่ได้ ติดแค่รอบ 6 คน แต่ว่าได้รางวัลพิเศษหมดเลย (ยิ้ม) ก็จะเป็นของนิติพลคลินิก, เพียวริคุไอดอล, มิสป็อปปูล่าร์โหวต อย่างรางวัลสาวหน้าใสฯ เค้าจะให้ล้างหน้าดูหน้าจริงๆ ใสจริงมั้ย แล้วให้กิ๊ฟวอเชอร์มา 50,000 บาท เป็นคอร์สหน้าใสไปขัดหน้า 5 ครั้ง ครั้งละ10,000 บาท แล้วมีในกระแสว่า เห้ย! ไปทำหน้าที่นิติพลมาไปเสริมนู้นนี่ ตาลก็..หืม ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ไปคอร์สหน้าใส” น้ำตาล พูดถึงข่าวเม้าห์ที่เริ่มเข้ามา

น้ำตาล พาทีมงานฯ จินตนาการภาพเธอเมื่อครั้งวัยละอ่อน “เคยดูหนังเรื่องสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารักมั้ยคะ? ..หนูอะยิ่งกว่านั้นอีก”

เธอยิ้มกริ่ม พลางเล่าต่อ “ตอนประถมนี่อุบาทว์มากเลยอ่ะ เพราะว่าเป็นคนที่ดำ แล้วก็ผอม ฟันเหยิน หัวล้านอีก แล้วเป็นนักกีฬา ว่ายน้ำ วิ่ง กลางแจ้งหมดทุกอย่างเลย ไม่มีอะไรที่บ่งบอกเลยว่าจะมาถึงตรงนี้ คือตอนนั้นมีความฝันเป็นนักกรีฑาทีมชาติเลยนะ ครูเปาหูทุกวัน..เธอเป็นได้นะ..เวลาเธอดี แล้วมัธยม แต่ตอนขึ้น ม.ปลาย เริ่มมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น เริ่มกีฬาน้อยลง เพราะว่าคุณพ่อขอให้เรียนแล้วเราเรียนวิทย์-คณิตด้วย เวลาเราก็เริ่มไม่มีเพราะว่ามันมีเรียนพิเศษมีติว เวลาเราก็ลดลงไป แต่การกินเท่าเดิม ชอบกินจุกจิกกินตอนกลางคืนกินนู้นกินนี่ ปรากฏ อ้วน! น้ำหนักเคยถึง 60 กก. ด้วย แต่พอเข้ามหาลัยฯ ก็เริ่มรู้สึกแบบต้องลดหน่อยแล้ว แต่ว่าตอนมัธยมเราก็ได้เป็นดรัมเมเยอร์ เป็นเชียร์ลีดเดอร์ ตอนนั้นก็ยังอวบอ้วน”

ในช่วงมหาลัยฯ บอกได้เต็มปากว่าสาวตากลมสวยขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ยิ่งถ้ามองภาพเก่าแล้วหันกลับมาพิจารณาหน้าตาในปัจจุบันเธอคงต้องถูกเหมารวมว่าไปทำศัลกรรมมาแน่ๆ

น้ำตาล เล่าอย่างออกอรรถรส พอเข้ามหาลัยฯ ก็ยังอ้วนหน้าอูมมาก แต่ก็ได้คัดเลือกให้เป็นดาวคณะฯ เป็นลีดฯ แล้วต้องฝึกซ้อนอย่างหนักทุกวันบวกกับการคุมอาหาร จัดฟันเสร็จพอดี

“หน้าเปลี่ยนคะ ด้วยความที่เราผอมลงด้วยแหละแก้มเราก็หายไปหมดเลย หน้าเราก็เรียวขึ้น เราก็ผอมลง จมูกเริ่มออก คนเริ่มคิดว่าไปทำ แต่ความจริงเปล่า ส่วนใหญ่จะคิดว่าไปทำ คาง แก้ม หน้า ฉีดผิวอีก (ยิ้ม) เพราะว่าตอนประถมตาลดำมากๆ เราก็แบบฉันไม่ได้ขาวนะก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน (หัวเราะ) ไม่ฉีดกลัว”

สวย ใส บ้า(กีฬา+กิจกรรม)
เห็นเอวบางร่างน้อยแบบนี้ ยากจะเชื่อเหลือเกินว่า น้ำตาล มีดีกรีเป็นถึงนักกีฬาโรงเรียนและประจำจังหวัดแพร่

“เล่นกรีฑาเป็นหลักเลย เป็นนักกรีฑาตั้งแต่เด็กแล้วคะ ป.5- ป.6 ก็เป็นตัวแทนของโรงเรียน มัธยมก็เล่นมาเรื่อยๆ เป็นนักกีฬาระยะสั้น 100-200 เมตร กล้ามน่องสุดยอดเลย (ยิ้ม) ฟุตบอลก็เล่น เล่นเป็นเซ็นเตอร์ ตอนมัธยมฯ”

นอกจากอาชีพคุณครู น้ำตาล เล่าถึงความฝันในวัยเด็กให้ฟังว่าเป็น สถาปนิก, มัณฑนากร ออกแบบตกแต่งบ้าน

“เมื่อก่อนเคยอยากเป็นสถาปนิก อยากออกแบบบ้าน เพราะบ้านของเราคุณพ่อเป็นคนออกแบบ แล้วเราชอบแต่งบ้านกับคุณพ่อ อยากเป็นมัณฑนากร อยากมีบ้านหลังนึงที่มันมาจากตัวเรา เราก็จะบอกได้ว่านี่ฉันเป็นคนออกแบบนะ มันเหมือนเป็นความฝัน แล้วเราชอบวาดรูป ถึงแม้จะวาดไม่ค่อยเก่งเพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่สนับสนุนในเรื่องนี้ เพราะถ้าไม่เก่ง ไม่เจ๋งจริง ก็หางานทางด้านนี้ลำบากเหมือกัน พอโตมาเรื่อยๆ เราก็ยิ่งคิดมากยิ่งขึ้นๆ ว่าอะไรที่มันมั่นคงกับเรามากกว่า”

ในระดับมัธยมถือเป็นช่วงที่ น้ำตาล ทำกิจกรรมเยอะที่สุดเลยก็ว่าได้ ความที่เรียนโรงเรียนระดับอำเภอ นักเรียนน้อย ห้องเรียนในแต่ละชั้นน้อย ราวกับเป็นโอกาสที่ดีกับสาวเหนือผู้นี้

“ได้เป็นคณะกรรมการโรงเรียน เป็นตัวแทนของโรงเรียน กล้าพูดกล้าคุยมากยิ่งขึ้น ไปแข่งขันกีฬา มันทำให้เรามีประสบการณ์ ทำให้เรามีพอร์ตไปนำเสนอตอนที่เราไปเข้ามหาลัยฯ แล้วพอเราสอบติด มช. ซึ่งโรงเรียนฯ ตาลสอบติดได้น้อยมาก ทุกคนดีใจ และเราเหมือนกับว่าเราไปสร้างแนวทางให้กับน้องที่โรงเรียน อยากตามรุ่นพี่ไปนะ แล้วเราไปอยู่ที่ มช. ได้เป็นดาวคณะฯ เป็นคณะกรรมการจังหวัด”

น้ำตาล บอกว่าการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละช่วงวัย เป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้พบเจอประสบการณ์ดีๆ และมันก็ส่งผลให้ได้เข้ามาอยู่ในจุดนี้

“ตาลเป็นคนบ้านนอก แต่สามารถมายืนเท่ากับคนอื่นเค้าได้มันทำให้มีแรงผลักดัน ตาลใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความสุขและความถูกต้อง” ใบหน้าหวาน เจือยิ้มบาง


...................
ข่าวโดย : ASTV ผู้จัดการ LITE
ภาพโดย วชิร สายจำปา
ขอบคุณภาพประกอบ Instagram @p_namtarn


ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล : พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ ชื่อเล่น : น้ำตาล
วันเดือนปีเกิด : 30 สิงหาคม พ.ศ. 2534 อายุ : 21 ปี
การศึกษา : มัธยมศึกษา - โรงเรียนม่วงไข่พิทยาคม จ.แพร่
ปริญญาตรี - คณะวิทยาการจัดการ สาขานิเทศศาสตร์ เอกวิทยุโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
ผลงาน : ละคร - มัจจุราชสีน้ำผึ้ง, ดาวเกี้ยวเดือน 2
โฆษณา- น้ำดื่มคริสตัล, น้ำยาระงับกลิ่นกายเรโซน่า, ที่อยู่อาศัยเครือพร็อปเพอร์ตีเพอร์เฟกต์ ฯลฯ
รางวัลที่ได้รับ : รางวัลขวัญใจมหาชนในการประกวดมิสซีเอ็มยูลีก (Miss CMU League), รางวัลสาวหน้าใสของนิติพลคลินิก และรางวัลเพียวริคุไอดอล, รางวัลเยาวชนหญิงปลอดบุหรี่ดีเด่น ปี 2556









บรรยากาศไร่ชาสวยๆ ในละครฯ
น้องน้ำตาล กับ พี่เคน
ใครจะจีบต้องผ่านคุณพ่อก่อน
คุณแม่คนสวยของน้ำตาล
เด็กๆ ตาโตแก้มป่อง



สมัยยังใส่เหล็กดัดฟัน
ในชุดนักศึกษาปัจจุบัน



กำลังโหลดความคิดเห็น