ปล่อยให้บวชได้อย่างไร?... อาบัติ... บัณเฑาะก์!!
สังคมตั้งคำถามอย่างโจ่งแจ้งและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักหน่วง กับการตัดสินใจ “ผ่าซิลิโคน บวชไม่สึก” ของอดีตมิสทิฟฟานี่ปี 2009 บ้างก็ว่าการนุ่งเหลืองครั้งนี้เป็นไปเพื่อสร้างภาพ บ้างก็มองอีกมุม ยินดียกมืออนุโมทนาบุญไปด้วย
และมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่อยากขัดศรัทธาในการตัดสินใจครั้งนี้ของ “พระแจ๊ส” แต่ยังอดคลางแคลงสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่า ควรเลื่อมใสหรือจับผิดดี?
อาบัติหรือไม่ ใครตัดสิน?
ตะลึง!! ไปตามๆ กัน เมื่อ “แจ๊ส-สรวีย์ นัดที” กลายสภาพจากสาวประเภทสองไปอยู่ในสมณสงฆ์ ผ่าซิลิโคนออกจากอกแล้วประกาศ “บวชไม่สึก” กลายเป็น “พระแจ๊ส” อย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หลายคนตกอกตกใจ หันมาตั้งคำถามเกี่ยวกับคุณสมบัติของพระภิกษุสงฆ์ว่ามาตรฐานการอนุญาตให้บวชอยู่ตรงไหนกันแน่? เพราะเท่าที่เข้าใจมาโดยตลอด ผู้นุ่งเหลืองห่มเหลืองในศาสนานี้ต้องเป็น “ผู้ชายทั้งแท่ง” เท่านั้น
ก่อนจะเข้าสู่ทางเดินแห่งธรรม ผู้ขอบวชจะต้องตอบคำถามพระอุปัชฌาย์ผ่านบทสวดก่อน ด้วยคำถามนี้ “ปุริโสสิ (เธอเป็นผู้ชายเต็มร้อยหรือไหม?)” หากผู้ถูกถามมั่นใจ ก็จะต้องตอบกลับไปว่า “อามะภันเต” ซึ่งแปลว่า “ใช่” แต่หากในใจไม่ได้รู้สึกอย่างที่กล่าวรับออกไป ก็จะถือเป็นมุสา (พูดปด) ส่งผลให้การบวชนั้นไร้ความศักดิ์สิทธิ์และเป็นโมฆะไปโดยปริยาย
ไหนจะข้อสงสัยเรื่อง สาวประเภทสองเข้าข่าย “บัณเฑาะก์” ซึ่งผิดเพศและผิดกฎของการบวชตามพระธรรมวินัยหรือไม่? จึงทำให้ประเด็นการออกบวชของพระแจ๊สยิ่งร้อนแรง มีผู้คนมากมายออกมาวิจารณ์ ด่าทอ ต่อว่า มากกว่าจะยอมอนุโมทนาบุญไปเสียแล้วในตอนนี้ ส่วนความจริงที่แท้ว่ากรณีนี้เหมาะสมหรือไม่? ผิดหลักศาสนาและจะทำให้ชายผ้าเหลืองเสื่อมลงอย่างที่หลายคนแสดงความคิดเห็นไว้หรือเปล่า? ดร.อำนาจ บัวศิริ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ยินดีช่วยชี้แจงแถลงไข
“บทกล่าวก่อนบวชด้วยภาษาบาลีจะมีคำพูดที่ถามว่า เป็นมนุษย์มั้ย เป็นโรครังเกียจมั้ย ติดหนี้ติดสิน ติดคดีอะไรมั้ย เป็นบัณเฑาะก์หรือเปล่า ถ้าตอบคำถามแล้วมีคุณสมบัติครบถ้วนเหมาะสม พระอุปัชฌาย์ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ผู้รับผิดชอบการบวช จะอนุญาตให้บวชได้ เพราะท่านได้รับการอบรมมาอย่างดี เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพฤติกรรมแบบไหนบวชได้หรือไม่ได้ มีกฎเกณฑ์อยู่ ส่วนคนอื่นๆ หรือเราเองที่เป็นปุถุชน พูดถึงเรื่องบวชได้แค่แสดงความคิดเห็นไป แต่ไม่มีสิทธิบอกว่าได้หรือไม่ได้”
ส่วนกรณีของพระแจ๊สนั้น ไม่ถือว่าเข้าข่าย “บัณเฑาะก์” อย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กันเอาไว้ เพราะบัณเฑาะก์ตามพระธรรมวินัยระบุไว้ หมายถึงคนที่มี 2 เพศอยู่ในคนเดียวกัน ซึ่งเป็นทางด้านรูปกาย ทำให้ไม่อาจแยกได้ว่าตกลงแล้วเป็นชายหรือหญิง แต่พระแจ๊สยังไม่ได้ผ่าตัดแปลงเพศ ทั้งยังผ่าซิลิโคนออกจากหน้าอกแล้ว จึงถือได้ว่าเป็น “ชายแท้” สามารถบวชได้ไม่ถือเป็นการอาบัติแต่อย่างใด
พระท้อ กระแสต่อต้านแรงกว่าอนุโมทนา
ถึงแม้จะรู้กันอยู่ว่าพระแจ๊สเคยเบี่ยงเบนทางเพศ มีความต้องการเป็นหญิงมาก่อน แต่ถ้าสามารถเอาชนะใจตัวเองได้ ก็ไม่ถือว่าทำผิดวินัยอะไร แต่ถ้าในใจยังไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นชายอย่างแท้จริง แต่กลับขานรับบทสวดว่าเป็นชายแท้ ก็ถือว่าพูดปดและการบวชนั้นก็จะถือเป็นโมฆะในทันที “เหมือนคนเป็นโจรผู้ร้าย ต้องคดีมา บอกว่าไม่มีคดีแล้วมาขอบวช ก็จะถือว่าการบวชนั้นไม่สมบูรณ์ เพราะกล่าวคำเท็จมาตั้งแต่ทีแรก ต้องยึดความจริงใจในการตอบเป็นฐาน” รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา ชี้แจงเอาไว้
เกี่ยวกับความมั่นคงด้านจิตใจของพระแจ๊ส เดซี่ บรรณาธิการบริหารนิตยสารบันเทิง Exclusive Star ซึ่งเคยร่วมงานกับอดีตมิสทิฟฟานี่รายนี้บ่อยๆ ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “อนุโมทนาด้วยจริงๆ ที่แจ๊สตัดสินใจบวชจริงๆ ครั้งแรกๆ ที่แจ๊สมาบอกจะบวชก็ตกใจ แต่ก็ไม่แปลกใจอะไรมากนัก เพราะก่อนหน้านี้ก็รู้ดีว่าแจ๊สเป็นคนที่ชอบธรรมะ ก่อนแจ๊สจะบวช ก็เคยไปนุ่งขาวห่มขาวศึกษาธรรมมาหลายปีแล้ว ยังเคยพูดกันเล่นๆ เลยว่าแจ๊สไม่เหมาะกับทางโลก เหมาะกับทางธรรมมากกว่า (ยิ้ม)”
ส่วน นุ-อนุสรณ์ จารุวัฒนานุกุล ออร์แกไนซ์ชื่อดัง ในฐานะที่เคยทำงานร่วมกันมา พอได้ทราบข่าวและเห็นภาพแจ๊สในคราบพระครั้งแรก บอกได้คำเดียวว่า “บอกไม่ถูก ถ้ามีจุดประสงค์เพื่อต้องการบวชจริงๆ เพื่อศึกษาธรรมะจริงๆ เราก็ร่วมอนุโมทนาด้วย แต่จะมีจุดประสงค์อื่นๆ อีกด้วยหรือไม่นั้น ไม่แน่ใจ”
และคนที่จะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุดก็คือผู้อยู่ในร่มเงาแห่งธรรม ณ ขณะนี้นั่นเอง พระแจ๊สยืนยันผ่านรายการ “โต๊ะข่าวบันเทิง” ว่าไม่ได้บวชเพราะหนีปัญหาเรื่องใดทั้งนั้น ทั้งยังบอกอีกว่าในอดีตที่เข้าประกวดมิสทิฟฟานี่ เป็นเพราะตามใจบิดามารดา แต่หลังจากศึกษาธรรมะอยู่ 2 ปี หาเงินทดแทนบุญคุณได้แล้ว จึงทำตามใจตัวเองในที่สุด
“บวชเพราะศึกษาธรรมะมาแล้ว เข้าใจธรรมะอย่างแท้จริง พระต้องการบวชจนวันตาย พระละทุกอย่างแล้ว พระสละวางหมดทุกอย่างเพื่อได้มาบวช พระอนุโมทนาบุญให้โยมทุกคน แต่ขอให้สังคมโลกเขาเข้าใจพระมากขึ้น ณ วันนี้เสียงคัดค้านมันมาก ซึ่งเขาไม่ได้ศึกษาธรรมวินัยโดยแท้จริง ในธรรมวินัยบัญญัติไว้ พระบวชได้ครับ” ท่านให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาสงบ
“ตุ้งติ้ง” อุปสรรคในผ้าเหลือง
ถึงแม้เสียงคัดค้านและตั้งคำถามจากคนในสังคมจะหนักกว่า แต่ยังถือว่ามีเสียงสนับสนุนการบวชของพระแจ๊สในครั้งนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียว บางส่วนไม่เห็นว่าจะต้องมานั่งจับผิดอะไร ในเมื่อมีผู้จิตใจฝักใฝ่ในธรรม ย่อมถือเป็นเรื่องดี น่าสนับสนุนมากกว่าจะมานั่งคัดค้าน เพราะทุกวันนี้ ข่าวคาวๆ เกี่ยวข้องกับเรื่องราวกามารมณ์ของพระภิกษุซึ่งระบุชัดเจนว่าเป็นชายแท้ก็มีปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ให้เห็นจนเหนื่อยหน่ายได้แทบทุกวัน ดังนั้น หากจะมีพระรูปหนึ่งที่จิตใจเบี่ยงเบนอยู่ในผ้าเหลือง ก็ยังถือว่าสร้างสรรค์เสียกว่า
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.อำนาจ ไม่ขอเถียง แต่ไม่ลืมชี้ให้เห็นว่า หากภิกษุสงฆ์มีจิตใจเป็นหญิง มีความตุ้งติ้ง ก็มีความสุ่มเสี่ยงในการสร้างความเสื่อมให้แก่ศาสนาได้ไม่แพ้กัน
“ถ้ายังมีจิตใจเป็นหญิง จิตยังผิดปกติอยู่ก็อาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการทำอะไรไม่ถูกไม่ควรได้ อยู่กับพระรูปอื่นอาจจะมีความเสี่ยง อาจจะเข้าพระวินัยเรื่องการเสพเมถุน มันล่อแหลมเพราะจิตใจเบี่ยงเบนไปแล้ว เรื่องอย่างนี้มันเป็นเฉพาะตัวบุคคล เราจะไปกล่าวหาทั้งหมดก็ไม่ได้ ต้องดูเป็นกรณีๆ ไป เรื่องนี้มีพระวินัยห้ามไว้อยู่แล้ว เวลาอยู่ร่วมกันกับพระรูปอื่นๆ ก็ให้ระมัดระวัง ให้อยู่ด้วยกันหลายๆ รูป คอยตรวจเช็คซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ไปอยู่กันเดี่ยวๆ แค่ 2 รูป เพราะเวลาอยู่ร่วมกันจะทำให้ไม่สามารถทำอะไรเสียหายได้ โดยเฉพาะเรื่องการเสพเมถุน”
ตัวอย่างมีให้เห็นดาษดื่น กลุ่มเณรตุ้งติ้งมีถมไป ตอนมาบวชแรกๆ วางกิริยาเป็นเด็กเรียบร้อย แต่พอบวชนานวันเข้า ชักเริ่มแตกสาวออกมา ปิดไม่มิด แต่อย่างไรเสีย ก็ถือว่าเข้ามาอยู่ในร่มเงากาสาวพัสตร์แล้ว จึงมักใช้ไม้อ่อนเข้าแก้ปัญหา ให้พระพี่เลี้ยงและครูบาอาจารย์ช่วยกันดูแล ห้ามไม่ให้ออกมาแต่งหน้าทาปากหรือแสดงออกประเจิดประเจ้อเอาไว้ก่อน
ส่วนในกรณีของพระแจ๊สนั้น หากท่านสามารถปฏิบัติได้อย่างเข้มงวด ทำจิตใจให้เข้มแข็ง ดำรงอยู่ในธรรมได้ ก็ถือเป็นกุศลที่ดี น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง แต่หากปรากฏพฤติกรรมไม่เหมาะไม่ควรในภายหลัง คงให้อยู่ในผ้าเหลืองต่อไปไม่ได้ เพราะมีแต่จะถูกสังคมตำหนิ ทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย
“ก็อาจจะขอให้สึกดีกว่าเพื่อเห็นแก่พระพุทธศาสนา เชื่อว่าหากผู้ใดตั้งใจจะบวชเพื่อค้ำจุนพระพุทธศาสนา ใช้ศาสนาเป็นที่พึ่ง ก็คงไม่อยากทำให้ที่พึ่งของตนเองต้องเสียหาย แต่ผมเชื่อว่าคนเรามันเปลี่ยนกันได้ หรือถ้าเปลี่ยนไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะต้องมีข้อต่อรองกันว่า ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ขอให้สึกเถอะนะ และถ้ายังติดใจในรสธรรมะอยู่ ก็อาจจะถือศีล 8 หรือศีล 227 ข้อก็ได้ แต่คงไม่เหมาะจะอยู่ในสมณะของพระแล้วทำให้มัวหมอง อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับการคุยกันครับ”
ขอบวชไม่สึก อนุโมทนาบุญ
หากมองข้ามคำถามเรื่องความเหมาะสมออกไป ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นก็คือปรากฏการณ์การหันหน้าเข้าสู่ทางธรรมกันอย่างจริงจังมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนบนโลกทุกวันนี้ช่างเต็มไปด้วยความทุกข์
โดยเฉพาะในกรณีของพระแจ๊สที่ยอมสละเรือนร่างความเป็นหญิงที่เคยเป็น เพื่อให้ได้เข้าสู่สมณสงฆ์ โกนหัว มุ่งสู่นิพพาน ค้นหาหนทางดับทุกข์ แต่คนที่กำลังจมอยู่กับปัญหาชีวิต ต้องการค้นหาความสุข อาจไม่จำเป็นต้องเลือกทางเดินเดียวกับพระแจ๊สก็ได้ ยังมีอีกหลายวิธีที่จะสามารถเข้าถึงธรรมะ
“ถ้าอยากจะใช้ธรรมะชำระล้างจิตใจจริงๆ ก็อาจจะให้บวชเป็นพราหมณ์ บวชชุดขาว ถือศีล 8 พิจารณาตัวดูก่อน ถ้าพบว่าอยากห่มเหลืองจริงๆ ก็ค่อยบวช ถ้าจะให้ดี พระอุปัชฌาย์ส่วนใหญ่จะให้ผู้ขอบวชมาลองปฏิบัติก่อนบวช 5 วัน 7 วัน 10 วัน มาลองฝึกดูก่อน ไม่ใช่มาถึงแล้วก็กล่าวคำบวชได้เลย พระอุปัชฌาย์จะเป็นคนตัดสิน ถ้าเห็นว่าบวชไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ให้บวช”
คนที่ตัดสินใจเข้ามาบวชเท่าที่เคยพบเจอมา รอง ผอ. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ บอกว่ามีหลายระดับอยู่เหมือนกัน ถ้าเป็นคนที่เขาศึกษาหลักธรรมมาดีแล้ว มองเห็นแล้วว่าศาสนาจะช่วยเปลี่ยนแปลงให้เขาดีขึ้นได้ จึงหันมาพึ่งทางธรรม ประเภทนี้ก็ถือว่าดีไป แต่จะมีอีกประเภทหนึ่งซี่งมีจำนวนไม่น้อยที่ยังคิดทบทวนอะไรไม่ได้เอง รู้สึกแค่ว่าชีวิตที่เป็นอยู่วุ่นวายเกินไป ตัดสินใจหนีไปเข้าวัดดีกว่า ถ้าเป็นแบบนี้อาจจะต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์ที่ต้องจะคอยสอนคอยบอก คอยดูว่าสมควรแก่การบวชหรือยัง
“ถ้ายังมีจิตใจวุ่นวายอยู่ จะให้มาบวชเลยก็คงไม่ได้ แต่ถึงจะสับสนแค่ไหน ก็ถือว่าดีทั้งนั้นที่มีความทุกข์แล้วหันหน้าพึ่งทางธรรม ดีกว่าไปมั่วสุม หมกมุ่นในทางไม่ดี”
ดังนั้น จึงไม่อยากให้คนในสังคมปิดกั้นโอกาสในทางธรรมของพระแจ๊ส “อย่าเพิ่งไปปรามาสเขา เราคงต้องให้โอกาสเขาก่อน คนเราให้โอกาสมาหลายครั้งแล้ว ให้โอกาสตัวเองได้ก็ต้องให้โอกาสคนอื่นด้วย ถ้าเขาตั้งใจจะทำดี จะกลับตัว ก็ต้องให้โอกาสเขาทำดี เขาก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เพียงแต่ถ้าไม่สามารถทำได้ อาจจะเป็นผลเสียในศาสนาในจุดเล็กๆ แต่ผมคิดว่าเราควรเอาใจช่วยเขาให้ปฏิบัติให้ได้ ให้ธรรมะสามารถหล่อหลอมจิตใจให้เขากลับมาสู่เพศเดิมที่กำเนิดเกิดขึ้นมา อย่าไปมัวแต่ตั้งคำถามกับเขาว่า จะบวชทำไมให้อาบัติ”
และนี่คือเจตนาที่พระแจ๊สได้ประกาศเอาไว้อย่างชัดเจน ตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้วโดยการส่งจดหมายไปยังสื่อมวลชนทุกสำนัก มีเนื้อความตอนหนึ่งบอกเอาไว้ว่า
“ข้าพเจ้าขอยุติบทบาทจากตำแหน่งอดีต Miss Tiffany Universe ปี 2009 และขอยุติบทบาททางวงการบันเทิงทั้งหมด นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอบารมีแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ลมหายใจแห่งความสุขและความพ้นทุกข์ พึงบังเกิดกับตัวข้าพเจ้าและทุกท่านนับแต่บัดนี้ ตราบเข้าสู่พระนิพพานในอนาคตอันใกล้นี้... ด้วยความเคารพ นาย สรวีย์ นัดที” ขอทุกฝ่ายร่วมอนุโมทนาบุญ
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE