xs
xsm
sm
md
lg

'ป้อน – ลีลา' แก้วตาดวงใจของ 'เสี่ยวีที - วิทวัส สุนทรวิเนตร์'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เธอผู้นี้เป็นหนึ่งในบรรดาหญิงสาว ของเจ้าพ่อวาไรตี้ทอล์กโชว์เมืองไทย 'เสี่ยวีที - วิทวัส สุนทรวิเนตร์' หากบอกว่าเป็นแก้วตาดวงใจ ก็คงไม่ต้องอธิบายถึงสถานะให้ยืดยาว ใช่! 'ป้อน - ลีลา สุนทรวิเนตร์' เป็นลูกสาวคนรองในบรรดาพี่น้อง 3 ใบเถ้า ของ 'เสี่ยวีที' เป็นลูกไม้ใกล้ต้น

อดีตเด็กสาววัย 14 ปี ที่ไปเติบโตในแดนจิงโจ้ ประเทศออสเตรเลีย ร่ำเรียนปริญญาตรีมาทางด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ่วงดีกรีปริญญาโทด้านไฟแนนซ์ แต่ก็ไม่วายจับพลัดจับผลูเข้ามาทำงานในสายงานบันเทิง

ป้อน ได้ทดลองงานในรูปแบบที่ต่างไป ในฐานะ 'ดีเจ' ประจำคลื่นเพลงสากล COOLcelsius 91.5 เปล่งเสียงหวานเคล้าเสียงดนตรีให้ผู้ฟังได้เคลิ้มไปตามๆ กัน แล้วจะรู้กันว่าความสามารถของเธอกลบทุกเสียงครหา ไม่ว่าจะเข้าวงการเพราะคุณพ่อ หรืออาศัยนามสกุลดังเป็นใบเบิกทาง

ไฟสีนวลสาดแสงอุ่นในร้านกาแฟกลางเมือง ล่วงเวลานัดหมายไม่นานหญิงสาวเจ้าของริมฝีปากที่อาบด้วยลิปสติกสีแดงสดก็ตรงปรี่เข้ามาทักทายทีมงาน M-Lite

บทสนทนาค่อยๆ เริ่มต้นขึ้น พร้อมเสียงดนตรีแจ๊ซที่อบอวลไปด้วยกลิ่นกรุ่นของกาแฟ

ยี่ห้อ 'เสี่ยวีที' ใบเบิกทางงานบันเทิง?
“กดดันมาก” ป้อน พูดแทรกขึ้นก่อนจบประโยคคำถาม

โดยเฉพาะโอกาสที่หยิบยื่นบทบท นักจัดรายการวิทยุ คลื่น COOLcelsius 91.5 ทำให้รู้สึกว่าอยากแสดงออกมาให้ดี เพราะมีชื่อ คุณพ่อวิทวัส สุนทรวิเนตร์ พิธีกรชื่อดัง เป็นเครื่องการันตี

“พูดตรงๆ เลยว่ากดดัน เพราะดีเจเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องโดยตรง ชื่อพ่อก็แปะอยู่ นามสกุลก็แปะอยู่ คนก็คาดหวัง เห้ย! ไม่เหมือนพ่อเลยนะ ลูกสาวทำได้แค่นี้เองหรอ แต่ป้อนว่าคนคงเข้าใจ พ่อทำมาเกือบ 30 ปี ป้อนทำได้ 2เดือน ณ ตอนนี้ก็พอใจกับเสียงตอบรับมีกำลังใจ(ยิ้ม)”

อีกอย่างหนึ่ง ส่วนตัวเป็นคนขี้อายจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับเธอ ซึ่งความสนใจส่วนตัวก็ไม่ได้มีสายงานบันเทิงเข้ามาเกี่ยวข้องเลย แต่เมื่อมีโอกาสเข้ามาก็ไม่ได้ปิดกั้นตัวเอง ป้อนเล่าถึงนิสัยตัวเองและการตัดสินใจมองชิมลางงานในสายบันเทิง

“เป็นคนที่ค่อยข้างมุ่งมั่น แต่ว่าก็ไม่ได้มั่นใจ แต่มีลูกฮึด อยากทำอะไรให้ดีไม่อยากมานั่งเสียใจภายหลังว่าเราน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ออกมามันไม่เท่ากับที่เราคาดหวัง โอเค..มันไม่ใช่ทางของเรา ป้อนค่อนข้างแฟร์กับตัวเองและคนรอบข้าง” กลายๆ ว่าหากได้ทดลองทำแล้วทำได้ไม่ดี หรือรู้สึกว่าไม่ใช่ ก็จะถไมล์อยออกมา

อย่างไรก็ตาม ก็นำความกดดันความคาดหวังของผู้คนเพราะเป็นลูกพิธีกรมากความสามารถ มาเป็นแรงขับเคลื่อนในงานรูปแบบที่ต่างไปจากงานประจำด้านการตลาด

“เมื่อเค้ามีความเชื่อมั่นอย่างนั้น ป้อนว่าก็เอามาเป็นแรงผลักดันที่ดีแล้วกัน (ยิ้ม)”

ในเรื่องของกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อเข้ามาอยู่ในวงการนี้ก็เป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง

“ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่สนใจ เพราะเราก็เซนซิทีฟ อย่างคุณพ่อก็จะบอก ดีแล้วนะแต่จะดีกว่านี้ถ้า.. เราก็จะพร้อมรับฟัง แต่ถ้าไม่รู้จักเราแล้วมาว่าเราป้อนไม่สนใจนะ”

เกลียดงานหน้ากล้อง ชอบงานหลังไมค์
ก้าวแรกในสายงานบันเทิง หลายคู่สายตาต่างจับผิดว่าเข้ามาเพราะเส้นสายคุณพ่อ คาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่ความเป็นจริงแล้ว เธอเล่าว่าเป็นเพราะโอกาสที่ทางผู้ใหญ่หยิบยื่นให้ต่างหาก

เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ป้อน ได้รับโอกาสให้เข้ามาเป็น DJ จัดรายการที่คลื่น COOLcelsius 91.5 คลื่นเพลงสากลของผู้รักเสียงดนตรี ซึ่งเธอออกตัวกับทางผู้ใหญ่แต่แรกเลยละ “หนูพูดไม่เก่งนะ”

“อยู่ในบ้านป้อนจะเป็นที่พูดน้อยสุด เป็นดีเจหรอ..ฉันต้องพูดคนเดียว พูดอะไร ไม่ไหวมั้ง เราก็อึกๆ อักๆ แต่ป้อนรู้สึกว่าเค้าก็ไว้ใจให้เราทำ ป้อนก็มีลูกฮึดก็เลย พอเริ่มจริงๆ พี่ๆ เค้าก็ชม คุณพ่อก็ชม ไม่รู้อวยกันเองหรือเปล่า(หัวเราะ) แต่ก็ชมแบบโอเคนะพูดชัด น้ำเสียงโอเคพอฟังได้” ป้อนเล่า

เป็นความท้าทาย เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ต่างออกไปจากงานประจำ เธอเล่าว่า ถึงจะเคยคิดเรื่องงานในสายบันเทิงแต่ก็ไม่ได้จริงจังเพราะดูจะเป็นอริกับนิสัยขี้อายของเธอ

ป้อน เคยลองไปช่วยคุณพ่อทำรายการตีสิบ และรู้สึกว่างานตรงนี้เหนื่อยมาก ยิ่งตัวเองไม่ใช่นักแสดง เป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาๆ แน่นอนอาการงอแงก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง ยิ่งออกทีวี จัดรายการยิ่งขัดกับตัวเองเหลือเกิน

“เราไม่ได้ฝึกมาเป็นอย่างนั้น ก็จะงอแงจะรู้สึกว่ามันเหนื่อย คือป้อนไม่ได้มีความรู้สึกสนใจตรงนี้มาก เป็นคนขี้อาย ไม่มั่นใจ ประหม่าตลอดเวลา กลัวว่าเราจะพูดผิดบ้าง”

เธอสารภาพความรู้สึกอึดอัดต่องานพิธีกรหน้ากล้อง ซึ่งต่างกับงานดีเจที่ใช้แค่เสียง ยิ่งเมื่อได้ทดลองก็รู้สึกแฮปปี้ขึ้นเรื่อยๆ

“ดีเจ มีแค่เสียงอ่ะ ถามพี่เค้าว่าไม่มีเว็บแคมใช่มั้ยคะ(หัวเราะ) เค้าก็บอกไม่มี..งั้นเราโอเค(ยิ้ม) ป้อนชอบนะ เป็นดีเจเราได้พูดในส่วนของเรา แต่ว่ามันก็ไม่มากเกินไปเพราะเราเน้นเพลง เพลงก็เป็นเพลงที่เราฟังอยู่แล้ว เราก็เป็นทาร์เกตกรุ๊ป เราเข้าใจคนฟังเพลง สิ่งที่เราพูดเราเหมือนคุยกับเพื่อน รู้สึกว่ามันไม่ได้ฝืนตัวเองมากเกินไป ไม่ต้องแสดง สบายๆ”

'สุนทรวิเนตร์' เกียรติที่ต้องรักษา
ม่านตากระพริบเผยให้เห็นดวงตากลมสีดำขลับ หญิงสาว พูดด้วยน้ำเสียงฉะฉาน ยอมรับโดยดีในฐานะลูกสาวของตระกูลสุนทรวิเนตร์ ทำให้มีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต

ก็คงปฏิเสธไม่ได้ เพราะการที่นามสกุลเป็นที่รู้จัก โอกาสหลายๆ อย่างมาทางเรามากขึ้นถ้าเทียบกับคนที่ไม่มีเลย แต่ถามว่ามันเป็นเครื่องการันตีมั้ยว่าสิ่งที่เค้าทาบทามเข้ามาเราทำได้หรือเปล่า ป้อนว่ามันเป็นแค่ใบเบิกทาง ท้ายที่สุดแล้วจะอยู่ได้หรือไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับตัวเองมากกว่า แล้วสักวันนึงคนก็จะมองป้อนเป็นป้อนมากกว่านามสกุล” ป้อน เน้นย้ำโอกาสในส่วนของงานสายบันเทิง

ถามว่าทางบ้านเลี้ยงอย่างตามใจหรือเปล่า คุณพ่อคุณแม่ของเธอนั้นเลี้ยงลูกสาวทุกคนด้วยเหตุผล ที่สำคัญให้อิสระในเรื่องการคิดการตัดสินใจ

“ไม่ได้ตามใจแต่ก็ไม่ได้บังคับ ที่จริงส่วนใหญ่ที่บ้านจะเป็นแนวคนจีนหน่อย จะไม่พูดกันตรงๆ ไม่ได้หวาน แต่หลายๆ ที่ป้อนเห็นคุณพ่อชมนะ แต่ไม่ได้ชมต่อหน้า เราจะไปอ่านเจอในแมกกาซีน คุณพ่อพูดถึง (ยิ้ม)”

ค่อยดูแลอยู่ในสายตา ถ้าเห็นลูกๆ เริ่มออกนอกลู่นอกทางพวกท่านก็จะดึงให้กลับมา แล้วปล่อยใช้ชีวิตอย่างอิสระต่อไป

“คุณพ่อคุณแม่สอนให้รักตัวเอง ไม่ใช่เห็นแก่ตัวนะ ในแง่ที่ว่ารักดี ถ้าเราทำอะไรผลมันก็ตกอยู่ที่ตัวเรา”

นอกจากความภูมิใจในส่วนของทายาทตระกูลสุนทรวิเนตร์ ชื่อจริงของเธอ 'ลีลา' แม้เป็นชื่อภาษาไทยแต่นัยที่มาของชื่อนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ลีลา ในที่นี้ไม่ได้หมายความท่วงท่าลีลาแต่อย่างใด เธอเล่าเมื่อครั้งถูกถามถึงที่มาชองชื่อว่า ลีลา เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า Leila แปลเป็นไทยก็คือ ความมืด ซึ่งในตอนเด็กๆ เจ้าตัวเองก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับชื่ออยู่ไม่น้อย

เพราะป้อนเกิดในช่วงเดือนพฤศจิกายน ตรงกับที่ ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย กำลังมีเทศกาลแข่งม้า แล้วม้าสีดำชื่อว่า ลีลา นำโด่งทะยานสู่เส้นชัยเป็นอันดับ 1 บวกกับในภาษาอาหรับ ลีลา แปลว่าท้องฟ้าในยามค่ำคืน คำอธิบายของคุณพ่อได้สร้างความเข้าใจจนเธอรู้สึกภูมิใจในชื่อนี้

น้ำตา-รอยยิ้ม11 ปี ที่เมืองซิดนี่ย์
ป้อน เป็นหนึ่งในบรรดาเด็กไทยที่ทางบ้านส่งให้ไปศึกษายังต่างประเทศ เพื่อให้เรียนรู้การอยู่ด้วยตัวเอง เธอถูกส่งไปศึกษาไฮสกูลที่ ซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย ตอนประมาณอายุ 14 ปี

“จำได้เลยคุณพ่อส่งพี่ไปก่อน คุยแบบจริงจังมาก วูบแรกป้อนร้องไห้เลย แค่นึกถึงตัวเองไปอยู่ในที่ๆ ไม่เคยอยู่ คุณพ่อก็บอกส่งให้ไปฝึกตัวเองนะ เรื่องการเรียนก็เรื่องนึง เรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเอง ต้องดูแลตัวเอง คือไม่มีใครมานั่งแบบ คือเราต้องช่วยเหลือตัวเอง อยากได้อะไรเราต้องกล้าบอกกล้าพูด” ป้อน เล่าถึงความทรงจำแรกหลังถูกส่งไปอยู่ยังต่างบ้านต่างเมือง

“ไปเมืองนอกมาทั้งหมด ตั้งแต่เจอรุ่นน้องรุ่นพี่ ยังไม่มีใครร้องไห้เท่าป้อนเลย เป็นเด็กที่ขี้แงที่สุดแล้ว เด็กๆ เป็นลูกแหง่ไม่เคยจากบ้าน ไปค่ายก็แค่คืนสองคืน ไม่เคยไปซัมเมอร์อะไร อยู่ดีๆ ก็โดนปล่อยเกาะ ตอนนั้นฟังภาษาอังกฤษก็ไม่รู้เรื่อง เขาถามชื่อเราก็ตอบ yes, no ไม่รู้เรื่อง(หัวเราะ) ตอนนั้นใครถามถึงที่บ้านก็ร้องไห้ เห็นรูปคุณพ่อคุณแม่ก็ร้องไห้ คุณพ่อคุณแม่โทรมาก็ร้องไห้ ปรับตัวลำบากเหมือนกันแรกๆ”

ก็ค่อยๆ ปรับตัวไปทีละเล็กทีละน้อย เธอ กระซิบว่าเป็นเด็กขี้แง่อยู่ 2-3 ปี กว่าจะเลิกร้องไห้คิดถึงบ้านได้ อีกอย่างด้วยวัยที่โตขึ้น ช่วงม. ปลาย ก็เริ่มเรียนหนักขึ้นด้วย

“เด็กไทยเหมือนกับว่าถูกสอนมาให้อ่านออกเขียนได้ แต่เรื่องการพูด การกล้าที่จะคุยกับชาวต่างชาติ คือเราอาจจะไม่มีโอกาสพูดเยอะทำให้เรากลัว ภาษาเราฟังได้นะแต่พูดเนี้ย คำตอบอยู่ในใจแต่จะพูดด้วยสำเนียงเค้าเราก็เขิน ถ้าเขียนพอได้ แต่เรื่องการกล้าพูด กล้าแสดงออกหน้าห้องยากที่สุดสำหรับป้อนในตอนนั้นเลย”

เธอเล่าประสบการณ์ในวัยเด็กด้วยแววตาเปล่งประกาย “ตอนแรกฝรั่งมาถามก็นิ่งเลย จะแบบกลัวแบบพูดผิด กลัวเค้าฟังเราไม่รู้เรื่อง กลัวหน้าแตก ป้อนว่ามันไม่ใช่ป้อนคนเดียวนะ เคยสังเกตน้องๆ หลายคน เขียนอีเมลล์เค้าจะค่อนข้างคล่องแต่มาเจอด้วยแล้วพูดไม่คล่องเท่าเขียน เด็กไทยหลายๆ คนเจอปัญหานี้(ยิ้ม)”

ป้อน เล่าถึงเหตุผลที่ทางบ้านเลือกให้บรรดาลูกสาวทั้งหมดไปศึกษาที่ประเทศออสเตรเลีย เรื่องของเรื่องก็คือที่นี่เป็นสถานที่พบรักกันของคุณพ่อคุณแม่นั้นเอง

“คุณพ่ออยู่เพิร์ล คุณแม่อยู่ซิดนี่ย์ เพราะว่าคุณพ่อคุณแม่เคยอยู่ แล้วเจอกันที่นู้นแล้วแต่งงานกันที่นู้น”

เพราะความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม จึงเป็นเหตุผลที่ทางครอบครัวสุนทรวิเนตร์ ส่งลูกสาวไปศึกษาร่ำเรียน

ปริญญา 2 ใบ ต่างกันแบบสุดขั้ว
ทางบ้านนั้นให้อิสระในการคิดการตัดสินใจของบรรดาลูกๆ เช่นกัน ในเรื่องการเรียนก็ไม่ได้ชักนำให้เรียนในสาขาวิชาใด ปล่อยให้ลูกสาวตัดสินใจตามความชอบความสนใจมากกว่า

หลังจากจบไฮสกูล ป้อน ศึกษาในระดับปริญญาตรีทางด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ที่ University of New South Wales

“ตอนเด็กๆ จะค่อนข้างเป็นเด็กเรียน อาร์ทเราก็ชอบ ชอบศิลปะ ชอบวาดรูป ชอบเรียนวิทย์ด้วย ชอบเคมี แล้วก็เลือกไม่ถูก แต่สาขานี้เหมือนกับว่ามันผสมกลมกลืนกับทุกวิชาที่เราชอบ เราต้องรู้เอนจิเนีย รู้ฟิสิก รู้เคมี ต้องเรียนมาร์เกตติ้ง มันเหมือนมีทุกอย่างที่เราชอบรวมไว้ด้วยกัน ที่สำคัญเป็นอาร์ทด้วย ชอบวาดรูป ก็เลยจบมาทางด้านนี้”

แม้ที่บ้านจะให้อิสระในการตัดสินใจในเรื่องเรียน แต่ทางโรงเรียนกลับรู้สึกลังเลในการตัดสินใจของนักเรียนไทยผู้นี้

“โรงเรียนป้อน (Boarding School) จะค่อนข้างเป็นโรงเรียนที่แกร่งเรียน หมายความว่าเด็กที่จบไปก็จะไปเป็นทนายเยอะ เป็นวิศวะเยอะ ทั้งๆ ที่เป็นโรงเรียนผู้หญิงล้วน พอ อ.ใหญ่ เรียกไปคุยว่าอยากทำอะไรเราก็บอกอยากเรียนดีไซน์ เค้าก็จะแบบยูไม่คิดจะเป็นวิศวะหรอ ยูชอบวิทย์ไม่ใช่หรอ คือตอนนั้นป้อนก็คิดนะ

“แต่คุณแม่ถามคำนึงถ้าป้อนจบออกมาป้อนอยากอยู่โรงงานหรอ? เราก็เครียด คุณพ่อคุณแม่เป็นคนผลักดันว่าลูกทำอะไรที่ชอบดีกว่า อย่าไปเครียดเลย”

ในเรื่องเรียนนอกจากให้อิสระในการตัดสินใจ เรื่องผลการเรียนก็เป็นประเด็นรองที่ทางบ้านไม่ได้คาดหวังกับทางลูกสาว

“คือเด็กๆ ป้อนจะเรียนเลขค่อนข้างดี แล้วป้อนจะเครียดเวลาที่คะแนนมันไม่ดีเท่าที่เราคิดไว้ จะกลับบ้านร้องไห้ คุณพ่อคุณแม่ก็จะแบบเครียดขนาดนั้นเลยหรอ ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ก็แค่นิดหน่อยทำไมต้องจะเป็นจะตาย คือฝั่งคุณพ่อคุณแม่จะเป็นคนปลอบมากกว่าว่าไม่ต้องไปเครียดเรื่องเรียนมากหรอกลูก”

พอจบปริญญาตรี เธอก็ตัดสินใจศึกษาต่อระดับปริญญาโท ซึ่งสาขาวิชาที่เลือกนั้นทางบ้านก็รู้สึกเป็นห่วงไม่น้อย “เป็นห่วง(หัวเราะ) เรียนไฟแนนซ์จะไหวหรอ เราก็ไม่รู้ไม่รู้ต้องลองดู”

“4 ปี พอจบปริญญาตรี ก็ต่อปริญญาโท ทุกคนก็งง ทำไมหันไปเรียนไฟแนนซ์ เพราะว่าป้อนรู้สึกว่าวิชานี้มันรวมทุกอย่าง คะแนนถึงป้อนสามารถเรียนเริ่มโทได้ ตั้งแต่ยังไม่จบตรี ทีนี้ไหนๆ จะอยู่ต่อแล้ว ก็เรียนอะไรที่มันฉีกไปเลย อะไรที่เราไม่เคยรู้ ไม่สามารถเรียนหนักสือเองได้ ก็เลยฉีกไปเรียนไฟแนนซ์เพราะว่าเป็นอะไรที่เรายังไม่รู้” ป้อน อธิบายขึ้น

ทำงานท้าทายความสามารถ
เป็นลูกสาวพิธีกรชื่อดังระดับประเทศ การกลับมาเมืองไทยของเธอยอมได้รับความสนใจไม่น้อย สื่อหลายสำนักก็ตบเท้าขอสัมภาษณ์เป็นระวิง เธอค่อยๆ เปรยความในใจ

รู้สึกยังไงหรอ..ตอนนั้นก็เขินนะ เพราะรู้สึกว่ายังไม่อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ยังไม่มีผลงานเป็นของตัวเอง ไม่มีอะไรน่าชื่นชมให้คนอื่นเค้ามาดู มีประเด็นที่มันน่าสนใจ เรารู้สึกไม่ได้ภูมิใจหรือรูสึกดีที่มีคนมาสนใจ รู้สึกประหม่า เขิน เรายังไม่มีประเด็นให้คนสนใจ จริงๆ การเป็นดีเจก็เป็นงานแรกที่เป็นชื่อป้อนจริงจัง เป็นงานแรกที่ออกสื่อ”

เธอยอมรับว่าหลังเรียนจบ กลับมาประเทศไทยแรกๆ ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะเรียนมาหลายอย่าง

“ตอนจบมาใหม่ๆ เคว้งนิดหน่อย เพราะความที่เราเรียนมาหลายอย่างมาก ถ้าคุณแม่จะพูดว่าดีนะทำได้หลายอย่าง แต่อย่างป้อนมองตัวเอง เห้ย!เราทำได้หลายอย่างแต่ไม่เก่งซักอย่าง ก็เลยลองไปช่วยพ่อแปบนึง ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีนะ”

ทีมงานฯ ถามว่า เคยคิดหรือเปล่าไม่ว่าจะเรียนอะไรมา สุดท้ายแล้วก็ต้องกลับมาช่วยธุรกิจคุณพ่อ

ป้อน ตอบทันที “ที่จริงคุณพ่อคุณแม่ไม่เคยฝังความคิดนี้ไว้ในหัวเลย ไม่เคยพูด ไม่เคยปูทาให้ลูกเลยว่าต้องมาทำ ทำให้เราไม่เคยมีในหัวว่าต้องกลับมาช่วย จนกระทั่งหลังๆ มานี้เองพอเข้ามาลองทำดีเจคุณพ่อเริ่มพูดขึ้น(ยิ้ม)”

ไม่นาน เธอก็ตัดสินใจปลีกตัวออกมาจากบริษัท ทเวนตี้ ทเวนตี้ เอนเตอร์เทน เมนท์ จำกัด ของคุณพ่อ แล้วเริ่มมองหางานที่สนใจ ท้าทายความสามารถ และถนัด ซึ่งตอนนี้ ป้อน ก็ทำงานประจำด้านการตลาดของธนาคารรายใหญ่แห่งหนึ่ง

แน่นอน งานนี้ใช้ความรู้ความสามารถส่วนบุคคลล้วนๆ

ชีวิตดำเนินไปตามพรหมลิขิต
หลังยิ้มบางที่ใบหน้าจางคน หญิงสาวค่อยๆ พูดถึงนิยามความรักของเธอ “เป็นเรื่องศาสตร์และศิลป์ ป้อนมีความเชื่อเล็กๆ คนเราเหมือนถูกกำหนดไว้แล้ว ทุกอย่างที่เลือกไปมันทำให้เรามาพบกับอะไรบางอย่าง”

เธอยังเชื่ออีกว่า คนเราแม้คบกันมา 10-20 ปี แต่เลิกราไปแต่งงานกับคนที่เพิ่งเจอกันไม่นาน ทุกอย่างมันมีเหตุผลของมัน ทุกอย่างมันมีทางของมัน เป็นเรื่องที่นำเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ แต่ถ้าจะซักไซ้หาคำตอบคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามรู้สึก

มุมมองความรักในวัยเด็ก เปลี่ยนผ่านไปตามกาลเวลา เมื่อเราโตขึ้น เรียนรู้ความรู้สึกที่เรียกว่ารักมากขึ้น เมื่อเราเข้าใจมัน เมื่อนั้นแหละที่จะสัมผัสความรักที่แท้จริง

ป้อน เชื่อในพรหมลิขิต และเชื่อว่าลำพังแค่ความรู้สึกรักไม่สามารถทำให้คน 2 คน ใช้ชีวิตคู่กันได้ตลอดรอดฝั่ง

“แน่นอนรักต้องเป็นรากฐานอยู่แล้ว แต่มันจะมีปัจจัยเยอะมาก ถ้าคุณรักแต่ไม่บริหารมันก็จบ ป้อนเพิ่งอ่านหนังสือเล่มนึงเขียนไว้ว่า ถ้าคุณอยากจะมีคู่ที่แข็งแรง แต่เวลาที่คุณมี กำลังที่คุณมี กลับไปลงที่งานทั้งหมด อย่างอื่นที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตของคุณ ต่อให้คุณจะรักยังไงก็ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะว่าสิ่งที่คุณทำมันตรงข้าม”
….....................
ขอบคุณภาพประกอบInstagram @leila_pon, COOLISM
ภาพโดย : วชิร สายจำปา
ข่าวโดย : ASTV ผู้จัดการ LITE

ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล : ลีลา สุนทรวิเนตร์ ชื่อเล่น : ป้อน
วันเดือนปีเกิด : 6 พ.ย. 2527
การศึกษา : High school - Boarding School / Sydney, Australia
Bachelor of Industrial Design - University of New South Wales / Sydney, Australia
Master of Commerce - University of New South Wales / Sydney, Australia
ตำแหน่งงานปัจจุบัน : Sales Manager Payment & Cash Management HSBC
ผลงาน : อดีตเลขาธิการของสมาคมนักเรียนไทย (TSA), COOLJ. Celsius 91.5 ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ 14.00-18.00 น.
















กำลังโหลดความคิดเห็น