ยังไม่สิ้นเสียงลั่นเปรี๊ยะของเนื้อสาว 'มายด์ - วิรพร จิรเวชสุนทรกุล' นักแสดงดาวรุ่ง วัย 18 ปี จากซิตคอม เรื่อง น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ก็ตกเป็นข่าวฉาวต้นเหตุรักร้าวของซุปตาร์ 'โดม-ปกรณ์ ลัม' กับแฟนสาวคนล่าสุด
สาวน้อยผู้ถูกครหาว่าเป็นมือที่ 3 ของซุปตาร์ดัง เธอเป็นใคร มาจากไหน แล้วคดีรักที่ตกเป็นจำเลยเท็จจริงอย่างไร ทีมงาน M-Lite ขอเสิร์ฟร้อนคำให้การจากปาก น้องมายด์ ปลดแอกทุกข้อสงสัย!
เข็มไมล์นาฬิกาเดินย่องยังไม่ทันถึงเวลานัดหมาย เสียงเจื้อแจ้วก็ดังขึ้น “สวัดดีค่ะ” เจ้าตัวฉีกยิ้ม ตาหยี ไหว้พร้อมกล่าวทักทายพี่ๆ ทีมงานอย่างน่าเอ็นดู
ไอร้อนจากผิวกายถูกฉาบจากอากาศภายนอก แทนที่ด้วยสัมผัสเย็นของเครื่องปรับอากาศ แต่ดูท่าจะสยบความร้อนแรง กรณีที่เป็นมือที่ 3 แทรกแซงรักสุดสวีตของซุปตาร์รุ่นพี่ไม่ได้
เขาว่าหนูเป็นมือที่ 3 แล้วหนูว่าไง?
“โอ้! บางคนก็คิดว่าอยากจะไปเป็นมือที่ 3 เพราะเกาะกระแสพี่โดม คือหนูคิดว่าหนูคงไม่สร้างกระแสให้ตัวเองโดนมองในแง่ลบแบบนี้หรอกค่ะ เราก็ทำผลงานของเราให้เต็มที่ดีกว่า เราน่าจะมีชื่อเสียงจากผลงานของเรามากว่าไปเป็นมือที่ 3 ของคนอื่น” น้องมายด์ ตอบอย่างฉะฉาน
หน้านวลค่อยๆ คลี่รอยยิ้มบนใบหน้า ยืนกรานปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่น ด้วยความที่เธอเป็นเด็กอายุอานามก็ห่างกับซุปตาร์รุ่นพี่ไม่น้อย ที่สำคัญข่าวแพร่ออกไปไม่ได้เป็นความจริงเลย เรียวปากชมพู เล่าขึ้น
“ตอนแรกเพื่อนเห็นข่าวมาบอกเราเห็นหรือยัง? เราก็ขำ เห็นแล้วขำมาก มันเป็นไปไม่ได้เลย ไม่ใช่เรื่องจริงเลยนะ เพื่อนก็บอกรู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง แล้วมันมาได้ยังไง?” ทิ้งช่วงให้สงสัยครู่หนึ่ง แล้วเล่าต่อ
“มันไม่มีอะไรเลยคะ เหมือนกับช่วงที่เราไปแคส Mvพี่โดม แล้วเราไปขอถ่ายรูปแล้วมีพี่ทีมงานที่บรอดคาซท์ฯ ด้วยไปด้วย ก็คือแบบเราไปขอพี่โดมถ่ายรูป..เด็กไปเจอซุปตาร์ต้องขอถ่ายรูป แล้วเอามาลงอินสตาแกรมเรา พอถึงวันที่ถ่าย MV จริงๆ พี่โดมเค้าก็จะมาถ่ายรูปพระเอก ถ่ายรูปทีมงาน แต่แบบกลายเป็นรูปที่ถ่ายคู่หนูเค้าลงอินสตาแกรมแล้วมาเป็นข่าว(หัวเราะ)”
เรื่องของเรื่องก็คือไม่มีอะไรเลย เป็นเพียงการร่วมงานกันแล้วแชะภาพเป็นที่ระลึกเท่านั้นเอง น้องมายด์ เผยที่มาที่ไปของข่าวที่ตกเป็นจำเลยถูกกล่าวหาว่าเป็นมือที่ 3 ของ โดม อย่างหมดเปลือก
เข้าวงการแบบตกกระไดพลอยโจน
น้องมายด์ เป็นนักแสดงรุ่นใหม่ จากเรื่อง น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ (ออนแอร์ทาง ไทยทีวีสีช่อง 3) ซิมคอมน้ำดีที่อยู่คู่สังคมไทยมาเนิ่นนาน เปลี่ยนนักแสดงมาหลายรุ่น จนล่าสุดก็กลับสู่ยุคของวัยรุ่นมัธยมปลาย กลุ่มเพื่อนชายหญิงที่เกี่ยวเนื่องกับดนตรี สะท้อนหลายๆ แง่มุมของวัยรุ่นในยุคปัจจุบัน
เท้าความกลับไปเสียหน่อย น้องมายด์ เริ่มต้นเข้าวงการเมื่อครั้ง ม.5 มีโอกาสเข้าร่วมประกวดโครงการ ยูทิป เฟรชชี่ บิวตี้ ครองตำแหน่งผู้ชนะประจำภาคตะวันออก หลังจากนั้นบรรดาผองเพื่อนก็จัดการทำแฟนเพจทางเฟสบุ๊คเพราะเห็นว่าสาวน้อยเริ่มมีแฟนคลับบ้างแล้ว แน่นอนงานก็ค่อยๆ ติดต่อเข้ามา
น้องมายด์ เล่าว่า งานชิ้นแรกที่ติดต่อเข้ามาคือ ถ่ายแบบเว็บไซต์เด็กดีเว็บไซต์วัยรุ่นยอดนิยมของวัยเรียน ตามติมาด้วยมิวสิควีดีโอ พรีเซ็นเตอร์ และผลงานซิตคอม น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ของบรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น
สำหรับการเข้ามาแสดงเรื่องน้องใหม่ฯ นั้น เรียกว่าตกกระไดพลอยโจนเลยทีเดียว เป็นเพราะเพื่อนๆ เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
“เพื่อนอีกแล้วเพื่อนไปเห็นทีวีประชาสัมพันธ์ ตามล่า คริสตัลหาน้องแก๊งค์ใหม่ เห้ย! มายด์ไปประกวดเลย หนูก็ตอนแรกไม่ได้จะมา เพื่อนบอกลองดูที่สำคัญความสูงเค้าไม่ได้ฟิกนะ ส่วนใหญ่จะ 160 ซม. แต่อันนี้ 155 ซม.ขึ้นไป หนูก็ไม่ใช่คนสูงมาก ซึ่งเพื่อนก็บอกไม่เอาสูงมาก อันนี้แหละก็เลยไปลองสมัครดู”
น้ำขิง น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์
ดวงตาเปล่งประกายพรางกระพริบ ริมฝีปากบางค่อยๆ เปรยความนัยเกี่ยวกับงานแสดงในวงการบันเทิง
“ตอนแรกคือไม่ชอบ ขี้อาย แบบไม่ชอบแสดงออกเลย แต่พอมาเริ่มมาเข้าตรงนี้ เรียนการแสดงเรียนแอคติง ก็รู้สึกดีขึ้น”
ถามว่ากดดันหรือเปล่า เพราะเราเป็นนักแสดงหน้าใหม่มากๆ ไม่มีประสบการณ์ แถมยังขี้อายอีกต่างหาก น้องมายด์ พูดตอบขึ้น
“กดดันค่ะ กดดันมาก คือหนูก็ไม่กล้าแสดงออกเท่ากับคนอื่นๆ หนูไม่ได้มีหน้าตาที่โดดเด่นมาก ช่วงนั้นหนูก็เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างอวบด้วย จนพี่เค้าบอกเนี้ยอย่ากินเยอะนะ มันจะอ้วน (หัวเราะ) ก็ทำให้เราต้องแบบปรับปรุงตัวเอง เข้าฟิตเนสออกกำลังกายบ้าง”
แน่นอนว่า การเฟ้นหานักแสดงแก๊งค์น้องใหม่ฯ ในครั้งนี้ มีวัยรุ่นจำนวนมากตบเท้าเข้าร่วม
“เยอะมาก เยอะมากค่ะ (ยิ้มตาหยี) ไม่คิดเลยว่าจะได้รับบทนี้ ถือว่าโชคดีมากจริงๆ ในเรื่องหนูรับบทเป็น น้ำขิง บุคลิกเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าชมรมดนตรี เป็นคนแบบว่าช่างเพ้อฝัน เป็นสาวแบบโหดๆ นิดนึง ในเรื่องจะเป็นคู่กัดกับ ภูผา เพราะเค้าเป็นหัวหน้าชมรมเปียโน จะมาทะเลาะแย่งห้องกัน ไม่ถูกกันเลย”
ถามว่าบท น้ำขิง มีความคล้ายเจ้าตัวหรือเปล่า เธอตอบขึ้น “คล้าย เราจะเป็นคนช่างเพ้อฝันอยู่แล้ว แล้วคือข้างนอกจะดูหวานๆ แต่เราเป็นคนห้าว(หัวเราะ)”
สาวเสียงใส หลงรักเสียงดนตรี
จะว่าไปเพราะเนื้อเรื่องมีมีความเกี่ยวเนื่องกับดนตรี ก็เลยเป็นปัจจัยที่ทำให้เด็กสาวผู้นี้ได้รับการคัดเลือกอย่างเสียงไมได้ น้องมายด์ เล่าว่า ตอนแคสบทนี้พี่ทีมงานให้แสดงความสามารถพิเศษ ซึ่งตัวเองก็เลือกที่ถนัดคือ ร้องเพลง
“เคยเรียนร้องเพลงด้วย ช่วงสมัย ป.5 - ป.6 ที่โรงเรียนสยามกลการ แล้วก็ประกวดของเค้าก็แบบเหมือนได้เกียรตินิยม คือเราถนัดร้องเพลงอยู่แล้วก็เลยเลือกร้องเพลงไป”
อย่างในช่วง ป. 6 ก็มีโอกาสเข้าชมรมกีตาร์ แต่ก็เว้นช่วงมากหลายก็มีลืมไปบ้าง สำหรับช่วงนี้ น้องมายด์ มีเครื่องดนตรีชิ้นใหม่ อูคูเลเล่ “อูคู ง่ายกว่าเยอะเลย ไม่เจ็บมือด้วย(ยิ้ม)”
แม้จะเพิ่งเล่นได้ไม่นานแต่ความที่เป็นเครื่องดนตรีที่เล่นง่ายก็เลยทำให้เจ้าตัวรู้สึกสนุก แล้วเริ่มเรียนรู้คอร์ทเล่นเพิ่มเติม “คือที่เริ่มเล่นอูคู เหมือนกับตอนนั้นจะมีซ้อมดนตรีที่บ้านผู้กำกับ แล้วบ้านผู้กำกับจะมีเครื่องดนตรีเยอะ เราก็เลยไปหยิบมาเล่นๆ ดู”
น้องมายด์ กระซิบบอกว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีเสียงดนตรี คนก็คงขาดที่ระบายอารมณ์ไปอย่างหนึ่ง จากเล่นดนตรีคลายเครียดๆ ถ้าไม่มีเสียงดนตรีบางทีอาจจะระบายอารมณ์ด้วยการไปปล้นไปฆ่ากันก็เป็นไปได้
แล้วการทำงานกับพี่ๆ เพื่อนๆ ในกองฯ เป็นอย่างไรบ้าง “พี่แต่ละคนเค้าจะให้ความช่วยเหลือเราตลอดเวลา เหมือนเราเป็นน้องใหม่เพิ่งเข้าวงการแรกๆ เค้าก็จะมาคอยอยู่ด้วยดูแล สมมุติจะไปงานไหนก็จะมีพี่ไปด้วยคอยดูแล เพื่อนๆ ก็เข้ากันดี ส่วนใหญ่จะมีแต่เด็กผู้ชาย เพราะว่าจะมีผู้ชาย 6 ผู้หญิง 2 ก็จะสนิทกัน”
แน่นอน เพราะพี่ทีมงานฯ ใจดี ทำให้สาวหมวยคลายความกังวลในเรื่องการแสดงลงไปได้เยอะ
“เหมือนกับว่าคงเป็นกองน้องใหม่ฯ ด้วยเราคุ้นเคย พี่เค้าใจดี ถ้าเรามีความรับผิดชอบ เราทำการบ้านเราอ่านบทมายังไงก็ไม่มีทางโดนว่าอยู่แล้วคะ(ยิ้ม)”
อาหมวย อยู่กับ อากง อาม่า
เติบโตขึ้นมาในครอบครัวคนจีน น้องมายด์ เล่าว่า อากงอาม่าเป็นชาวจีนที่ข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาตั้งรกรากสร้างชีวิตในแผ่นดินไทย ก็คืออย่างที่คุ้ยเคยกันว่าชาวจีนในสมัยก่อนที่เข้าในไทยก็มีเพียงเสื่อผืนหมอนใบ อากง เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวจนกลายเป็นเจ้าของกิจการใน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา
น้องมายด์ เล่าว่า อาศัยอยู่กับอากงอาม่ามาตั้งแต่เล็กๆ เป็นครอบครัวคนจีนครอบครัวใหญ่ ส่วนคุณพ่อคุณแม่ของนั้นทำงานอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร คุณพ่อคุณแม่สอนเสมอว่าอยู่กับอางกงอาม่าก็เหมือนกับอยู่กับท่าน ท่านก็เป็นดังพ่อแม่เหมือนกัน
คำสอนหนึ่งที่ ครอบครัวจิรเวชสุนทรกุล คอยพร่ำสอนลูกหลาน คือในเรื่องของความกตัญญู น้องมายด์ ค่อยๆ อธิบายขึ้น
“เรื่องรู้จักกตัญญู ต่อพ่อแม่ให้มากๆ เค้าจะสอนแบบคนจีนทุกอย่างเลย และต้องมีความรับผิดตรงต่อเวลา ตอนเด็กอากงจะดุ แต่พอโตมาเหมือนเรารู้เรื่องใช้การเจรจาด้วยคำพูดรู้เรื่อง สำหรับอากงเค้าจะมีไม้เรียวซ่อนไว้หลังตู้ คือที่บ้านมีเด็กทั้งหมด 11 คน อากงมีลูก 5 คน แล้วลูกอากงมีลูกคนละ 2 คน คนสุดท้าย 3 คน บ้านจะเป็นตึกแถว 5 แถวติดกันทำเชื่อมกัน”
เห็นใบหน้าหวานเสียขนาดนี้ แต่นิสัยจริงๆ แล้ว เจ้าตัวเฉลยว่าทั้งซนทั้งห้าวเชียวละ น้องมายด์เล่าถึงวีรกรรมวัยเด็ก
“ซนเหมือนกันคะ ข้างหลังบ้านจะเป็นตลาดของอากง แล้วก็เช้าๆ จะมีพี่เลี้ยงไปเก็บค่าเช่าแผง เราก็แบบชอบไปขอโกโก้เค้ากิน เพราะเค้ารู้ว่านี่เป็นหลานอากงนะ เอาโกโก้เค้ามากินหลายๆ ถุง แล้วเค้าจะชอบตามมาเก็บตังค์ที่บ้าน(หัวเราะ)”
ซนจนกระทั่งโดนตีกันเลย “เคย 1-2 ครั้ง ด้วยความที่เป็นเด็กผู้หญิงด้วย หนูไม่เคยโดนไม้เรียวนะ เคยโดนฝาลังแล้วก็พับๆ เพราะบ้านมีลังเยอะไงค่ะ ตอนนั้นไปปีนลังที่ตั้งเรียงแบบสูงๆ ก็เลยโดนทำโทษ เพราะถ้าตกลงมาก็เป็นเรื่องอีก เค้าก็ทำโทษเพราะเป็นให้เราจำเพราะเป็นห่วง(ยิ้ม)”
ถูกเลี้ยงอย่างมีระเบียบวินัย
น้องมายด์เล่าว่า ที่บ้านจะเลี้ยงแบบให้มีอิสระในขอบเขตที่อากงอาม่ากำหนดไว้ ยกตัวอย่างเรื่องเลิกเรียนแล้วต้องกลับบ้าน 5 โมงจะมีรถไปรับ 6 โมงทุกคนต้องอยู่ในบ้าน 2 ทุ่มปิดบ้านแล้ว
แต่ตามประสาวัยรุ่นก็มีอยากไปเที่ยวกับเพื่อนเป็นธรรมดา “ก็มีบ้าง เราก็เข้าใจที่บ้าน ถ้าเกิดมีโอกาสไปกับเพื่อนก็จะไป แต่ส่วนใหญ่อาม่าจะไม่ค่อยให้ไปค้างที่ไหนจะบอกให้ชวนเพื่อนมาค้างที่บ้านไม่ต้องไปค้างบ้านเค้า เราก็เลยไม่ค่อยไปนอนบ้านเพื่อนอยุ๋ ไม่ได้ไปเที่ยว เราเข้าใจ”
ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ค่อยๆ เผยวีรกรรมเก่าๆ “มีจุดนึงที่อยากออกไปเที่ยวมาก ก็เคยแบบว่าโกหกว่าไปเรียนพิเศษ แล้วเค้ามาจับได้ว่าโกหกเพราะหนูโกหกไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่หรืออะไรไม่รู้เค้าไม่เชื่อ เค้าก็เลยบอกว่า พอเราโตขึ้นเค้าก็ให้อิสระเรา คือจริงๆ พอโตแล้วเราก็ได้อิสระอย่างที่ท่านสอนคะ ปัจจุบันนี้อยากไปไหนก็บอกแม่ แม่จะไปส่งรถไฟฟ้าให้ แล้วเราก็แบบไปเที่ยวได้ เหมือนกับตอนนั้นความคิดเรายังเด็ก พอโตแล้วเค้าก็ให้อิสระเรา(ยิ้ม)”
ส่วนตอนนี้เธอก็ย้ายเข้ามากับคุณพ่อคุณแม่ ในจังหวัดสมุทรสาคร ปัจจัยหลักๆ เลย คือเพื่อสะดวกกับการเดินทางมาทำงานแสดงที่มีคิวถ่ายทำทุกอาทิตย์ และก็เรื่องศึกษาต่อในรั้วมหาวิทยาลัยฯ เร็วๆ นี้
แน่นอนว่าชีวิตในเมืองกรุง ย่อมทำพิษกับเด็กสาวจากลุ่มน้ำบางปะกงรายนี้ น้องมายด์เล่าถึงการเดินทางด้วยตัวเองในกรุงเทพฯ
“อยู่ในกรุงเทพฯ การเดินทางมันสะดวกมากนะ เพราะว่ามีรถไฟฟ้าเราก็ไปไหนมาไหนสะดวก แต่แรกๆ เราก็เห้ย! ประตูรถไฟฟ้ามันมีหลายประตูมาก เราจะออกผิดประจำโดยเฉพาะสยาม เวลาเพื่อนนัดเราจะไปไม่เคยถูกเลย เกตเวย์ลงประตูไหน พารากอนลงประตูไหน (หัวเราะ)”
หนูให้ความสำคัญเรื่องเรียน
น้องมายด์ เป็นคนที่ให้ความสำคัญเรื่องเรียนมาเป็นอันดับแรก แน่นอนว่าการปลูกฝั่งของทางครอบครัวส่งผลต่อความคิดดีของเด็กสาว ไม่นานนี้ก็จะเข้าเป็นเฟรซซี่ในรั้ว มหาวิทยาลัยรังสิต สาขาภาพยนตร์ฯ
นับดูจริงๆ เธอเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงไปประมาณเกือบปี ซึ่งเป็นช่วงปีสุดท้ายของชีวิตนักเรียน แน่นอนครอบครัวเป็นห่วงเรื่องการเรียนของเธอไม่น้อย
“อาม่า เป็นห่วงมากคะ เพราะว่ามันต้องกระทบกับเรื่องเรียนแน่ๆ ซึ่งมันไม่มีมีทางที่จะทำอะไรสองคู่กันได้ด้วยดีอยู่แล้ว เราก็แบบต้องอธิบายให้เค้าเข้าใจ เข้ามาตรงนี้เราต้องรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น เราก็บอกเค้าว่าถึงอย่างไรเราก็ไม่ทิ้งอยู่แล้วก็พยายามเรียนให้จบ แต่อาจจะไม่ได้ดีเท่าตอนแรกๆ ที่ยังไม่ได้เข้าวงการ ปกติเรียนจะเกรดประมาณ 3.7-3.8 แต่พอเข้ามาก็จะลดลงมาถึง 3.5 ก็ถือว่าโอเคอยู่(ยิ้ม) อาม่าก็ไม่บ่นเพราะเห็นว่าเราโตแล้ว มีความรับผิดชอบมากขึ้น การเรียนก็ไม่ได้กระทบอะไรมากก็ให้อิสระเต็มที่”
น้องมายด์ เล่าถึงการตัดสินใจเลือกเรียนด้านนิเทศศาสตร์ อย่างแรกเลยตรงกับสายงานที่ทำอยู่ ซึ่งก็ได้โควต้านักแสดงด้วย ก็ได้คุณคุณพ่อคุณแม่ประหยัดค้าใช้จ่าย แต่เมื่อตอนเด็กๆ ก็ฝันอยากเป็นโน้นเป็นนี่เหมือนกัน
“ตอน ม.2 คือไปตอนนั้นเราเป็นรอยปานแดงแล้วเราไปรักษา แล้วคุณหมอผู้ชายหน้าใสตัวใส แม่บอกเค้าเป็นหมอผิวหนัง เราก็เลยอ๋อเป็นหมอผิวหนังจะได้ผิวสวยๆ ก็อยากเป็นหมอผิวหนัง ตอนนั้นยังเด็กไงคะ
“พอ ม.4 มาค้นพบว่าถ้าเราเป็นหมอต้องมีความอดทนมีความขยันมากกว่าคนอื่นหลายเท่า แล้วไปเห็นคุณแม่ท่านเป็นผู้จัดการบัญชี มีห้องทำงานส่วนตัวมีห้องแอร์ด้วย ก็เลยอยากทำงานบัญชีเหกมือนคุณแม่ เพราะเราชอบคณิตศาสตร์กับภาษาอังกฤษ แต่พอโตขึ้นมาถึงตอนนี้ก็เลือกเรียนนิเทศฯ เพราะเริ่มทำงานด้านนี้ด้วย ใจนึงก็คิดว่าถ้าเรียนแล้วไหว ก็จะไปลงเรียน บัญชี ที่ ม.ราม เรียนคู่กันไป”
น้องมายด์ เล่าว่า คุณแม่เป็นผู้ที่มีอิทธิต่อความคิดในเรื่องการเรียนเป็นอย่างมาก “คุณแม่เค้าแสดงให้เราเห็นว่าเค้าทำงานเยอะ เป็นผู้จัดการบัญชีต้องทำงานเยอะ แต่เค้ายังสามารถจบ มสธ. (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช) ได้ ทำงานไปด้วยและก็เรียนไปด้วยได้”
เพราะเริ่มทำงานก่อนเพื่อน
เริ่มทำงานด้วยวัย 18 ปี อาจจะเป็นช่วงที่เริ่มต้นก่อนเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน น้องมายด์ เล่าว่า หน้าที่ที่เพิ่มเข้านั้นสอนให้เราโตขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น
“แน่นอนคะ อันดับแรกการเดินทางด้วยตัวเองทำห้เราโตขึ้นรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น และก็ความคิดก็เปลี่ยนไปจากเดิมพอเราเข้ามาจุดนี้มาอยู่ในวงการ เราต้องมีความคิดที่โตขึ้น ไม่ใช้จะคิดเด็กๆ แล้วเพราะเราทำงานกับคนส่วนใหญ่ เราต้องรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ผู้กำกับ คอสตูม ทุกคนที่เสนอแนะเรา คือเราก็ยอมรับฟังจะมาเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ ไม่ได้(ยิ้ม)”
จะว่าไปเธอมีความนอบน้อมในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะสั่งอะไร ให้ทำอะไรก็ทำหมด ไม่แปลกเลยที่ทำให้สาวน้อยรายนี้เป็นที่รักที่เอ็นดูของเพื่อนๆ พี่ๆ ทีมงาน
เห็นหมวยๆ ดูหวานๆ แบบนี้ ก็มีฉายาฮาๆ ให้เพื่อนๆได้หยอกล้อเหมือกัน “เพื่อนจะเรียกกัน ยัยหมู คือที่มาจะมีเพื่อนคนนึงที่กลัวเสียงหมูร้องอ่ะ คร๊อก..คร๊อก เราจะไปชอบทำใส่เค้าแล้วเค้าจะเรียกเรา ยัยหมู ตลอด แล้วตัวเองเวลาหัวเราะมากๆ จะมีแบบ คร๊อก.. เสียงเหมือนหมูร้องโดยธรรมชาติออกมากจากเรา ทุกคนเรียก ยัยหมู ตลอด มายด์หมู (หัวเราะ)”
ย้อนกลับไปสมัยเด็กๆ เจ้าตัวเผยว่าตัวเองเป็นหัวโจ๊กในกลุ่มเพื่อนเลยทีเดียว “คือเด็กผู้หญิงทั่วไปจะกลัวพวกจิ้งจก หนู แมลงสาบ แต่ตอนเด็กเราจะเป็นพวกชอบแกล้งสัตว์พวกนี้มาก เหมือนตอนเด็กๆ เราจะไปเล่นกับแก๊งค์เพื่อนที่ตลาด มันจะมีอยู่ร้านนึงที่เค้าขายโกโก้ เค้าจะเอากระป๋องนมวางไว้ใต้ตู้ เราเอากระป๋องนมนั้นมาเล่น ต้มน้ำแล้วก็เอาจิ้งจกมาใส่ แล้วก็เอาหินมาวางเอาใบไม้แห้งมา เอาไม้ขีดจุดไฟ พอเริ่มโตขึ้นเราก็รู้ว่ามันเล่นไม่ได้นะ แต่โตแล้วเราก็ไม่เอาแล้วไม่แกล้ง”
เรื่องเล่าของเชฟขนมหวาน
น้องมายด์ เล่าว่าชอบทำขนมมาก ย้อนกลับไปช่วงมัธยมหลังเลิกเรียนก็จะมาช่วยคุณน้าทำขนม เป็นกิจการเบเกอรี่เล็กๆ ที่ร่วมแรงระหว่างทั้ง 2 คน
“ทำขนมมาตั้งแต่ม. 2 เป็นร้านของคุณน้า พอเลิกเรียนปุ๊บก็จะมาทำขนม ถ้าสมมุติน้าทำขนมปัง หนูก็ทำเค้ก เพราะว่าเหมือนกับขนมปังใช้เวลาทำนานมากกว่าขนมปังแป้งจะขึ้นฟู ทำกันสองคน แพกเอง ขายส่งโรงพยาบาล เอาไปขายที่โรงเรียนด้วย(ยิ้ม)”
น้องมายด์ เล่าด้วยความภูมิใจเล็กๆ ถึงขนมสูตรอร่อยของตัวเอง “โอ้! บราวนี่ บราวนี่ของหนูขึ้นชื่อมากจะเป็นสูตรของคุณน้าทำไม่เหมือนที่อื่น ที่อื่นจะเป็นนิ่มๆ ของเราจะเป็นช็อกโกแลตกรอบๆ ด้านบน ส่วนข้างล่างเป็นเค้กช็อกโกแลต อร่อยมากค่ะ(หัวเราะ) คือถ้าหนูกลับไปที่บ้านนู้นทีก็จะไปทำบราวนี่เพราะมันทำไม่ยากค่ะ แล้วก็เอามาให้พี่ๆ ทาน”
นอกจากทำขนม สาวน้อยหน้าหมวย เล่าให้ถึงงานอดิเรกอื่นๆ ให้ฟังด้วยว่าชอบอ่านหนังสือโดยเฉพาะแนวสืบสวน
“อ่านการ์ตูน อ่านนิยายสืบสวนฆาตกรรม จำได้ว่าตอนไปงานสัปดาห์หนังสือ เราเป็นคนชอบทำขนมด้วยไงคะแล้วมันมีนิยายสืบสวน เจ้าของที่เป็นตัวเอกเค้าทำขนมด้วย หนูก็อ่านแล้วมีสูตรทำขนมอยู่ในนั้นด้วย เราก็ชอบแนวนี้สนุกชอบอ่านตั้วแต่นั้นมา คือจะเป็นแบบสายลับคุ๊กกี้ สายลับชอกชิพ สายลับสตรอเบอรี่ จะเป็นเมนูขนมข้างใน”
นอกจากเป็นเชฟทำขนม น้องมายด์ ยังชื่นชอบการชิมของหวานเลิสรสด้วย “จะชอบกินของหวาน เราเป็นคนทำขนมใช่มั้ยค่ะ เราก็อยากไปชิม แรกๆ ชิมของตัวเองที่ตัวเองทำ เราก็อยากไปชิมขนมของที่อื่นแล้วเรามาดัดแปลงบ้าง”
ไม่แน่ว่าอนาคตอันใกล้ อาจจะได้ชิมขนมหวานของเธอกันด้วย เพราะร้านเบเกอรี่ก็เป็นอีกหนึ่งความฝันที่รอวันก่อร่างในโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อทุกอย่างพร้อมและลงตัว แน่นอนทุกท่านจะได้ลิ้มชิมรสหวานละเมียดโดยเชฟน้องมายด์แน่นอน
….............
ขอบคุณภาพประกอบ Facebook fanpage : Mild Jiravechsoontornkul, Instagram @wjmild
ข่าวโดย : ASTV ผู้จัดการ LITE
**ประวัติส่วนตัว**
ชื่อ-สกุล : วิรพร จิรเวชสุนทรกุล ชื่อเล่น : มายด์
วันเดือนปีเกิด : 7 ธันวาคม 2537
น้ำหนัก-ส่วนสูง : 44 ก.ก. / 160 ซม.
การศึกษา : มัธยมต้น โรงเรียนเซ็นหลุยส์ ฉะเชิงเทรา
มัธยมปลาย - โรงเรียนชลกันยานุกูล
ปริญญาตรี - กำลังศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ความสามารสพิเศษ : ร้องเพลง, กีตาร์, อูคูเลเล่
ผลงาน : MV เพลงบทเพลงรักแห่งแผ่นดิน แด่ในหลวง, MV เพลงแค่ของเลียนแบบ, MV เพลงของวง Whatever, mv เพลง ฉุน ของ โดม-ปกรณ์ ลัม, ถ่ายแบบเว็บไซต์เด็กดี, นิตยสาร Kazz,,โฆษณาฟาร์มเฮ้าส์, โฆษณา Penny Wafer Roll, ซิตคอม เรื่อง น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์
แนะนำตัวน้องมายด์
Gwiyomi ท่าเต้นน่ารักน่าหยิก