ตามสื่อต่างๆ ก็มักจะเห็นข้อความเชิญชวนผู้คนให้เข้าร่วมบริจาคโลหิตกันเป็นประจำ แต่จู่ๆ คลิปของกลุ่มเพศที่ 3 ที่ถูกโพสผ่านเว็บไซต์ยูทูบ ชื่อว่า ‘สภากาชาดไม่รับเลือดตุ๊ด’ เนื้อหาแสดงออกถึงความไม่พอใจที่องค์กรแห่งนี้ปฏิเสธการรับบริจาคเลือดของพวกเขา ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ไม่มีนโยบายรับเลือดจากเพศที่สาม เนื่องจากมีความสุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี’
ทิ้งไว้เพียงคำถาม แค่เป็นเพศที่ 3 ก็ถูกตีตราว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง งดรับริจาคเลือดเชียวหรือ?
ทำความเข้าใจ เหตุงดรับเลือดเพศที่ 3
คลิปวีดีโอสั้นๆ ของกลุ่มเพศที่ 3 ที่ออกมาระบายถึงความอัดอั้นต่อกรณี ที่สภากาชาดไม่รับบริจาคเลือดของพวกเขา โดยให้เหตุผลว่าคนเหล่านี้มีความสุ่มเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีสูง หลังเผยแพร่สู่โลกออนไลน์ ได้สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนัก อาทิ
“ในวงการแพทย์มันไม่มีอะไร 100% มันก็ไม่ใช่ว่าในชายหรือหญิงจะไม่มีเชื้อ แต่ก็อย่างที่บอกเพศที่สามมันมีแนวโน้มสูงกว่าไง ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยง”
“ที่ทำก็ไม่ใช่เพราะเพื่อใครหรอก ก็เพื่อพวกคุณนั่นแหละ คงไม่มีใครอยากได้เลือดที่มีเชื้อหรอกเนอะ ว่ามั้ย?? ต้องชมเชยในการอยากทำความดีนะ เราทำดีด้วยการบริจากเลือดไม่ได้ แต่เราสามารถทำดีอย่างอื่นได้นะ??”
“ตุ๊ด ทอม เกย์ เลสฯ ชาย หญิง ก็เป็น HIV ได้เหมือนกันหมด แต่ผมผมรู้สึกดีที่ว่าเขามีความ?ตั้งใจในการบริจากเลือด”
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มคนหนึ่งในคลิป แจงว่าตนมีหลักฐานการตรวจเลือดว่าไม่ได้ติดเชื้อเอดส์ แต่การกรอกข้อมูลจริงว่าเป็นเพศที่ 3 ทำให้ความตั้งใจในการบริจาคเลือดเพื่อการกุศลในครั้งนี้ถูกทางเจ้าหน้าที่ของสภากาชาดปฏิเสธ
พร้อมฝากแง่คิดสำหรับกลุ่มเพศที่ 3 ที่ต้องการบริจาคโลหิต "ทีหลังใครเป็นตุ๊ดเป็นเกย์จะไปบริจาคเลือด ก็ไม่ต้องไปติ๊กตรงช่องเพศที่สามนะครับ จะได้ไม่ต้องถูกตีตราว่ามีเชื้อเอดส์ โดยอัตโนมัติ จะได้ไม่ต้องถูกจั่วหัวว่ามั่ว ให้ติ๊กว่าตัวเองเป็นผู้ชาย โอเคเนาะ จะได้รู้ไว้ว่าแค่ติ๊กเครื่องหมายตรงช่องผู้ชาย หรือผู้หญิง จะหมายความว่าไม่สุ่มเสี่ยง ไม่มั่วแค่นั้นสินะ เพราะว่าเป็นชาย เป็นหญิง ไม่ใช่เพศที่สาม"
ยึดปฏิบัติตามหลักสากล
ทีมข่าวฯ ทำการติดต่อไปยัง ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เพื่อสอบถามถึงข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ได้รับคำตอบและการยืนยันจากสภากาชาดว่า การดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามหลักสากล และไม่รับบริจาคเลือดจากกลุ่มเพศที่ 3 เพราะมีความเสี่ยงสูง
ซึ่งเบื้องต้นตามหลักของการบริจาคโลหิตนั้นจะมีแบบฟอร์มสอบถามเรื่องสุขภาพ และพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อคัดกรองโรคที่อาจติดต่อทางเลือดได้ ซึ่จิตกกุศลทุกคนจำเป็นต้องกรอกแบบฟอร์มนี้ตามความจริง เพราะข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลด้านความปลอดภัยเบื้องต้นของผู้ป่วยที่จะได้รับโลหิต
ตามสถิติที่สภากาชาดไทยไทำการสำรวจ พบว่าเลือดของกลุ่มที่มีรสนิยมเพศเดียวกัน 4 คน จะพบคนที่ติดเชื้อ 1 คน หรือ 25% ซึ่งเป็นอัตราการติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นเกือบ 50% และจากสถิตินี้เองสอดคล้องกับสถิติที่กระทรวงสาธารณสุขสำรวจ คือ มีกลุ่มผู้มีรสนิยมเพศเดียวกันติดเชื้อเอดส์ถึง 27%
อย่างไรก็ตาม นพ.แท้จริง ศิริพานิช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ประธานอนุกรรมการด้านสิทธิผู้สูงอายุ ผู้พิการ บุคคลหลากหลายทางเพศ และการสาธารณสุข แสดงทัศนะต่อ การที่สภากาชาดไทยไม่รับบริจาคเลือดของกลุ่มเพศที่ 3 โดยเฉพาะเกย์ กระเทย เพราะมีอัตตราการเสี่ยงติดโรคสูง
พฤติการเช่นนี้ ถือเป็นการริดรอนสิทธิในเรื่องมนุษยธรรม การรับบริจาคเลือด ในเรื่องเพศนั้นควรเป็นปัจจัยรอง สิ่งที่สำคัญที่ควรคำนึงถึงมากที่สุดเป็นในเรื่องพฤติกรรมของผู้ที่เข้ามาบริจาคเลือดต่างหาก การไม่รับบริจาคเลือดของกลุ่มเพศที่ 3 เพราะว่ามีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีสูง
นั่นเท่ากับว่ากลุ่มคนเหล่านี้ถูกเหมารวมไปเสียทั้งหมด ทั้งที่ตามหลักความเป็นจริงนั้นไม่ใช่ เป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณากันเป็นรายบุคคล
ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง
นพ.แท้จริง กล่าวเพิ่มเติม ใช่ว่ากลุ่มหญิงชายที่มาบริจาคเลือดจะไม่มีความเสี่ยง เพียงแต่มีอัตราเสี่ยงน้อยกว่าเพศที่ 3 แค่เล็กน้ยเท่านั้น
กลับมาให้ฉุกคิดว่า กรณีการปฏิเสธเลือดจากกลุ่มเพศที่ 3 ที่ไม่มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงนั้นเหมาะสมหรือไม่ เพราะหากวิเคราะห์ดูอีกที เลือดบริสุทธิ์ของพวกเขาสามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้อีกไม่น้อย
อีกอย่าง การคัดกรองเลือดก่อนนำไปช่วยเหลือผู้ป่วย แน่นอนว่าทางหน่วยงานเองต้องมีการตรวจสอบเลือดที่ได้รับบริจาคเข้ามาอย่างละเอียดก่อนจะนำไปช่วยเหลือผู้ป่วย
แต่เท่าที่ผ่านมาก็มีความผิดพลาดบ้าง เพราะข่าวคราวผู้ผ่วยรับบริจาคเลือดไปกลับพบว่าต่อมีติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งเมื่อสืนค้นถึงที่มาของแห่งเลือดก็พบว่าผู้ป่วยโชคร้ายกลุ่มนี้ได้รับเลือดมาจากกลุ่มเพศที่ 3 แทบทั้งสิ้น
แต่สิ่งที่สำคัญคือเมื่อรับเลือดจากผู้บริจาคมาแล้ว ทางหน่วยงานต้องมีมาตรการตรวจสอบคัดกรองที่คุมเข้มต่างหาก
ด้าน นที ธีระโรจนพงษ์ ประธานกลุ่มเกย์การเมืองไทยและผู้ประสานงานองค์กรเครือข่ายอัตลักษณ์ทางเพศ เปิดเผยว่าการบริจาคเลือดของกลุ่มเพศที่ 3 นั้นถือเป็นปัญหาค้างคามานานแล้ว และเห็นด้วยเหตุผลที่ทางสภากาชาดปฏิเสธการรับบริจาคของกลุ่มเพศที่ 3
เพราะก่อนหน้ามีเหตุการณ์ที่ผู้ป่วยรับเลือดจากสภากาชาด แล้วมาพบภายหลังมาติดเชื้อเอชไอชี นที เล่าด้วยความสัตย์จริงว่าเมื่อสืบค้นแหล่งที่มาของเลือดที่รับบริจาคแทบทั้งสิ้นเป็นเลือดของกลุ่มเพศที่ 3
“กรณีการไม่รับเลือดเกย์เขามีเหตุผล ซึ่งเราเองก็ยอมรับในเหตุผล เครือข่าวอัตลักษณ์ทางเพศก็ไม่ได้ดื้อแพ่ง
“เราต้องเข้าใจในฐานะที่เป็นเก็นเกย์ เป็นกระเทย เป็นตุ๊ด สิทธิของเราก็มีอยู่ แต่ในเรื่องนี้สถิติที่บ่งชี้ว่าสิ่งที่เราจะกระทำไปส่งเสียต่อร่างกายผู้อื่นที่จะมารับโลหิตได้ มันมีการเสี่ยงสูง และมีสถิติชชัดเจน เราต้องถอยนะ เราอยาไปดื้อแพ่ง ไปเอาชนะไม่ได้”
เข้าใจ ยอมรับ ด้วยเหตุผล
ประธานกลุ่มเกย์การเมืองฯ อธิบายว่า การที่ปฏิเสธการรับบริจาคเลือดไม่ว่าจะกลุ่มใดก็แล้วแต่ เจ้าหน้าที่ต้องอธิบายอย่างละมุนละมอมให้เขาเข้าใจถึงปัจจัยที่ทำให้ไม่สามารถบริจาคเลือดได้ แน่นอนว่าเกินครึ่งมีจิตอันเป็นกุศลอยากทำบุญแก่เพื่อนมนุษย์
“ประเด็นคือเจ้าหน้าที่มีความรู้ความเข้าใจจะอธิบายความได้ดีแล้วหรือยัง หรือแค่ว่าคุณเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ไม่รับนะ พวกคุณมีอัตราติดเชื้อเอดส์สูง ตรงนี้มันทำร้ายจิตใจกัน ถ้าพูดดีๆ อธิบายความดีๆ ทุกคนก็เข้าใจ ไม่มีใครอยากมีปัญหากับสภากาชาด เพราะรู้ว่าเขาก็ทำงานเพื่อประชาชน”
อย่างไรก็ตาม ก็มีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่บริจาคเลือดโดยให้ข้อมูลไม่ตรงความจริงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว อย่างเช่น ต้องการทราบผลตรวจเลือดของตนพราะหลังการบริจาค ทางหน่วยงานจะมีเอกสารแจ้งผลตรวจเลือดไปยังบุคคลนั้นๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมเสียเท่าไหร่
นที เปิดเผยว่า ในประเทศอเมริกาก็งดรับบริจาคเลือกจากกลุ่มเพศที่ 3 เช่นกัน ต่างจาก อิตาลี หรือกลุ่มยุโรปตะวันตก ที่ยกข้อห้ามดังกล่าวออกไปแล้ว
เมื่อมีเหตุผล มีสถิติมายืนยัน เพื่อลดอัตราเสี่ยงต่อผู้รับบริจาคโลหิต ส่วนตัวของ ประธานกลุ่มเกย์การเมืองฯ รวมถึงเครือข่ายฯ มีความเข้าใจและยอมรับได้ ถึงตามหลักปฏิบัติควรจะมองที่พฤติกรรมทางเพศมากว่าอัตลักษณ์ทางเพศก็ตาม
“สิทธิเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่คนที่บริจาคโลหิตเขาควรจะมีสิทธิในการมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย ไม่ใช่เอาเลือดของคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงไปให้เค้าแล้วเค้ากลับติดโรค แล้วตัวเลขการติดเชื้อของกลุ่มเกย์มันก็ 1 ใน 4 ทางที่ดีคือสกรีนไม่เอาเสียดีกว่า เรื่องนี้บอกตามตรงว่าส่วนตัวขอยืนอยู่ฝ่ายชีวิตของคนรับเลือด”
แน่นอน ไม่ใช่ว่าการปฏิเสธจะเหมารวมว่ากลุ่มเพศที่ 3 ทั้งหมดจะติดเชื้อเอชไอวี เพียงแต่สถิติออกมาในรูปแบบนั้น เพื่อความปลอดภัยผู้ป่วยก็ควรมีสิทธิได้รับความเป็นธรรมจากการรับบริจาคเลือดเช่นกัน
“อยากขอเรียกร้องให้พวกเราที่มีความหลากหลายทางเพศ ได้โปรดทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ชัดเจน รู้สึกน่ะรู้สึกได้แต่อย่าไปเครียดแค้นชิงชัง ขอให้มองว่านี่มันคือความเป็นความตายของผู้อื่น ซึ่งในเมื่อมันมีสถิติแบบนี้ แล้วเขามีความจำเป็นแบบนี้ตัวเองอาจจะต้องพิจารณาทำบุญด้วยวิธีอื่น เมื่อกลุ่มพวกเรามีปริมาณการติดเชื้อเอชไอวีลดลงเหมือนหญิงชายทั่วไปแล้ว เมื่ถึงวันนั้นเลือดเราก็จะมีประโยชนมีคุณค่ากับเพื่อนร่วมชาติ”
…....................
ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ LIVE