ปฏิเสธไม่ได้ว่า สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคร้ายแรงต่าง ๆ หนึ่งในสาเหตุหลักมาจากวิถีแห่งการ "รับประทาน" แทบทั้งนั้น โดยตลอดปีที่ผ่าน ๆ มา พบคนไทยจำนวนไม่น้อย มีโรครุมเร้าเพิ่มขึ้น ทั้งยังพบด้วยว่า โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และหลอดเลือด เป็นสาเหตุการตายหลักของคนไทยเวลานี้ นั่นแสดงให้เห็นว่า แม้คนไทยกำลังตื่นตัวเรื่องสร้างสุขภาพ แต่เอาเข้าจริงก็ยังตามใจปากกันอยู่ใช่น้อย
"มะเร็ง" แชมป์โรค..คร่าชีวิตคนไทย
ในบรรดาโรคร้ายต่าง ๆ "โรคมะเร็ง" ยังคงเป็นสาเหตุการตายสูงเป็นอันดับ 1 ของคนไทยต่อเนื่องนานกว่า 10 ปี จากสถิติที่เก็บรวบรวมในปี 2553 ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกชนิดที่เข้ารักษาในโรงพยาบาล จำนวน 269,204 คน มากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือ มะเร็งลำไส้ใหญ่ รองลงมา เป็นโรคมะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์หญิง ตามลำดับ ส่วนผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งทุกชนิดจำนวน 58,076 คน ตายอันดับ 1 คือมะเร็งตับ-ท่อน้ำดี รองลงมา ได้แก่ มะเร็งหลอดคอ-หลอดลมใหญ่ และปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก
ส่วนสาเหตุสำคัญ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "พฤติกรรมการบริโภค" ที่คนส่วนใหญ่มักจะตามใจปาก ขาดการออกกำลังกาย และการใช้ไมโครเวฟปรุงอาหาร โดยเฉพาะคนในยุคปัจุบันที่อยู่กับเทคโนโลยีที่รวดเร็วทำให้ไม่สามารถอดทนต่อการรอคอยได้ ก่อให้เกิดภาวะหงุดหงิดได้ง่าย เช่น การปรุงอาหารที่นิยมใช้ไมโครเวฟมากกว่าการปรุงสด นิยมอาหารแปรรูปที่ถูกดัดแปลงและปรุงแต่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยก่อให้เกิดมะเร็งทั้งสิ้น
นั่นตอกย้ำให้เห็นว่า คนไทยส่วนใหญ่มีโอกาสเจ็บป่วยจากพฤติกรรม "ตามใจปาก" กันอยู่ไม่น้อย
สอดรับกับข้อมูลที่ นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาเปิดเผยว่า คนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูง คิดเป็นร้อยละ 21.4 หรือ11.5 ล้านคน โรคไต ร้อยละ 17.5 หรือ 7.6 ล้านคน โรคหัวใจขาดเลือด ร้อยละ 1.4 หรือ 0.75 ล้านคน โรคหลอดเลือดสมอง โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ร้อยละ 1.1 หรือ 0.5 ล้านคน โรคกลุ่มนี้เกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง อาหารรสชาติเค็ม เป็นอาหารที่มีเกลือ หรือโซเดียมสูง ถือเป็นภัยเงียบที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพอย่างคาดไม่ถึง
ขณะที่ ผลการศึกษาค่าประมาณการโรคภายในอีก 20 ปี หรือระหว่างปี 2552-2572 ที่ ดร.สุรีย์พร แสงกระจ่าง นักวิจัยจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ออกมาระบุ พบว่า โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และหลอดเลือด เป็นสาเหตุการตายหลักของประชากรไทยในอนาคต ซึ่งปัจจัยหลักที่ก่อโรคเหล่านี้ก็คือ อาหารและลักษณะนิสัยการกินนั่นเอง
"ฟาสต์ฟูด-ปิ้งย่าง" อาหารก่อสารพัดโรคร้าย
ทุกวันนี้ อาจกล่าวได้ว่า "ฟาสต์ฟูด" ได้เข้ามาตอบสนองความสะดวกในการรับประทานอาหารของใครหลาย ๆ คน แต่เมื่อมองถึงผลเสียทางด้านสุขภาพแล้ว อาหารประเภทนี้ ถือเป็นต้นเหตุสำคัญให้คนเจ็บป่วยเป็นโรคเส้นเลือดอุดตันและโรคหัวใจเลยก็ว่าได้ ยิ่งหากเป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงร่วมด้วยแล้ว ก็จะยิ่งก่อให้เกิดโรคเส้นเลือดอุดตันและโรคหัวใจได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังรวมไปถึงการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันอย่างต่อเนื่องด้วย
ไม่เพียงแต่อาหารดังกล่าวข้างต้น เชื่อว่าหลายคนรู้กันดีอยู่แล้วว่า อาหารรสเค็มจัด หวานจัด ตลอดจนอาหารประเภทปิ้งย่าง หรือแม้กระทั่งอาหารที่ผ่านกระบวนการทอด เช่น หมูทอด ไก่ทอด หรืออาหารที่ผ่านการต้มเคี่ยวเป็นเวลานาน ๆ เช่น การตุ๋นไก่ ตุ๋นเนื้อเปื่อย ขาหมู เป็นตัวการให้เกิดสารก่อมะเร็งได้ แต่หลาย ๆ คนก็ยังตามใจปาก และไม่เกรงกลัวต่อโรคร้ายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมาในระยะยาว ไม่แปลกที่คนยุคนี้จะมีโรครุมเร้าเพิ่มขึ้น
ส่วนอีกหนึ่งประเด็นที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับ "อาหารฟาสต์ฟูด" ในปัจจุบัน คงต้องยอมรับว่า ไม่ใช่แค่ความสะดวกอย่างเดียว แต่ได้กลายเป็นความจำเป็นในยุคข้าวยากหมากแพงไปแล้ว เหตุที่เป็นเช่นนั้น มาจากอาหารมีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตรอย่างผักสด
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลาย ๆ ฝ่ายต่างวิตกกันไปว่า ครอบครัวยุคหน้าอาจหันไปเลือกกินอาหารฟาสต์ฟูดกันมากขึ้น โดยเฉพาะครอบครัวที่มีฐานะยากจนไปจนถึงครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง เนื่องจากพ่อแม่ที่มีฐานะดีมักจะมีกำลังจ่ายเพื่อเลือกซื้อวัตถุดิบดี ๆ มาปรุงอาหารให้ลูกรับประทาน ขณะที่ครอบครัวฐานะไม่ค่อยดี มักจะเน้นให้ลูกบริโภคอาหารฟาสต์ฟูดเป็นหลัก เพราะนอกจากจะสู้ราคาวัตถุดิบที่แพงขึ้นไม่ไหวแล้ว ยังต้องทำงาน และไม่มีเวลาปรุงอาหารให้ลูกรับประทานได้ตลอด
เมื่ออาหารรับใช้ "ตลาด" แทน "คน"
อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งสาเหตุที่คนไทยจำนวนไม่น้อยถูกโรครุมเร้ามากขึ้นกว่าแต่ก่อน ส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจอาหาร ไม่ได้รับใช้คนอย่างที่ควรจะเป็นอีกต่อไปแล้ว แต่กลับไปรับใช้ตลาดแทน ทำให้อาหารเกือบทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ผัก หรือผลไม้มีสารพิษเจือปนเพื่อทำให้สด ใหม่ และอยู่ได้นาน
เรื่องนี้ อโณทัย ก้องวัฒนา ผู้ผลิต และทำการเกษตรอินทรีย์แบบอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในไร่ปลูกรัก จ.ราชบุรี เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ผ่าน "ASTVผู้จัดการ" อย่างตรงไปตรงมาว่า เมื่อก่อนบ้านเราไม่ได้ใช้สารเคมีมากขนาดนี้ พอมาในช่วงหลังอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมการเกษตรมีอิทธิพลกับชีวิตมนุษย์มากขึ้น จึงจำเป็นต้องใช้สารเคมีค่อนข้างสูงทั้งในอาหาร เครื่องนุ่งห่ม หรือเครื่องสำอาง แต่อาหารคือสิ่งที่เข้าไปในร่างกายเราโดยตรง หากไม่ใส่ใจในสิ่งที่รับประทานเข้าไป ย่อมมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้มากกว่าคนที่รู้จักเลือกรับประทานอาหาร
ดังนั้น หนึ่งในทางเลือกเพื่อเป็นทางรอดด้านสุขภาพที่เธออยากจะแนะนำก็คือ การหันไปรับประทาน "อาหารออร์แกนิค" เพราะเป็นอาหารที่ทุกขั้นตอนการผลิตจะไม่ใช้สารเคมี และยาฆ่าแมลงสังเคราะห์เลย เริ่มตั้งแต่การเตรียมดิน การปลูก การเก็บเกี่ยว ไปกระทั่งถึงการแปรรูป เมื่อกินแล้วจะดีต่อสุขภาพ รวมทั้งดีต่อสภาพแวดล้อมที่จะนำพาระบบนิเวศน์ให้คืนกลับมาดังเดิม แต่ทว่ายังมีข้อเสียอยู่ตรงราคาจำหน่ายที่ค่อนข้างสูง และหาซื้อได้ยาก
ด้วยเหตุนี้ ทำให้คนฐานะไม่ค่อยดี ไม่มีกำลังจ่ายในการซื้ออาหารเพื่อสุขภาพเหล่านี้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคได้เลย เพียงแค่รับประทานอาหารที่สุก สะอาด หลีกเลี่ยงอาหารประเภทปิ้ง ย่าง เน้นผัก และผลไม้ ซึ่งจะเป็นตัวเพิ่มความสามารถในการขับสารพิษต่าง ๆ ออกไปจากร่างกาย
กัลยารัตน์ เครือวัลย์ นักวิชาการสถาบันโภชนาการ ม.มหิดล เคยบอกถึงเรื่องนี้เอาไว้ว่า คนเราสามารถเพิ่มความสามารถในการขับสารพิษต่าง ๆ ออกไปจากร่างกายได้เร็วยิ่งขึ้นด้วยการรับประทานผัก ผลไม้ ซึ่งอุดมไปด้วยใยอาหารซึ่งทำให้การเคลื่อนที่ของกากอาหารในลำไส้ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น ทำให้สารพิษที่อาจมีอยู่ในทางเดินอาหารมีโอกาสดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้น้อยลง อย่างผักบางชนิด เช่น ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น ดอกกระหล่ำ กะหล่ำปลี บรอกโคลี มีสารบางอย่างที่ช่วยให้ระบบทำลายสารพิษทำงานได้มากขึ้น
ทางที่ดี เวลารับประทานอาหารปิ้ง ย่าง ไม่ว่าจะเป็นปลาดุกย่าง ไก่ย่าง คอหมูย่าง ควรรับประทานคู่ไปกับส้มตำ เพราะผักแกล้มส้มตำนั้นจะมีกะหล่ำปลีอยู่ หรือรับประทานควบคู่ไปกับยำต่าง ๆ ที่อุดมไปด้วยผักมากมายก็สามารถลดการเกิดอันตรายจากสารก่อมะเร็งจากการรับประทานปิ้งย่างดังกล่าวได้
"มังสวิรัติ" อีกหนึ่งทางรอดเพื่อสุขภาพ
ปัจจุบัน อาหารมังสวิรัติ กลายเป็นเทรนด์สุขภาพของบุคคลที่มีชื่อเสียง รวมไปถึงใครอีกหลาย ๆ คน เพราะทราบถึงโทษมากกว่าผลดีของการรับประทานเนื้อสัตว์ หนึ่งในนั้นคือ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา บุคคลที่ตระหนักถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ "มังสวิรัติ" ซึ่งท่านเคยให้ข้อเท็จจริงไว้ว่า มนุษย์ไม่เหมาะกับการกินเนื้อสัตว์ เพราะหากพิจารณาลักษณะทางกายภาพของมนุษย์แล้ว เราไม่เหมือนกับสัตว์กินเนื้อตรงที่ระบบการย่อยของมนุษย์มีความยาวมากกว่าร่างกาย 9 เท่า ในขณะที่สัตว์กินเนื้อมีเพียง 3 เท่า ซึ่งเป็นผลดีสำหรับพวกมันเพราะจะทำให้เนื้อสดที่กินเข้าไปย่อยสลายได้เร็วและขับถ่ายออกมาก่อนที่มันจะบูดเน่าอยู่ในท้อง แต่สำหรับมนุษย์ การกินเนื้อสัตว์เข้าไปมาก ๆ ยิ่งทำให้เนื้อเหล่านั้นเน่าเสียอยู่ในท้องเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดโรคร้ายต่าง ๆ ตามมาในภายหลัง
"การกินเนื้อสัตว์ เหมือนเราเอาซากศพเข้าไปไว้ในท้อง เนื่องจากลำไส้มนุษย์จะยาว ผิดกับสัตว์กินเนื้อที่มีลำไส้สั้นแค่ 3 เท่าของร่างกาย นั่นเป็นผลดีสำหรับพวกมัน ในขณะที่สัตว์กินพืชมีความยาวของลำไส้ประมาณ 12 เท่าของร่างกาย ทำให้อาหารที่กินเข้าไปมีเวลาอยู่ในท้องได้นาน แต่เมื่อมันกินแต่พืชผักก็ไม่เป็นปัญหา เพราะอาหารเหล่านั้นย่อยและขับออกมาจากร่างกายได้ง่าย มนุษย์ก็เหมือนกับสัตว์กินพืชที่มีลำไส้ยาว การกินผักจึงดีกว่าเนื้อสัตว์อย่างแน่นอน"
เช่นเดียวกับ นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ ผู้เขียนหนังสือแนวส่งเสริมสุขภาพ "ปฏิวัติชีวิต ปฏิวัติสุขภาพ" เคยกล่าวเอาไว้ว่า "มนุษย์ไม่ควรทานสัตว์ตระกูลเดียวกับเรา กล่าวคือ ไม่ควรทานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ดูลิงกอริลล่าเป็นตัวอย่าง มันยังเป็นสัตว์กินพืช คนเราทานอาหารไม่ถูก คนอเมริกันเป็นโรคหัวใจกันเยอะ เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ 40 เปอร์เซ็นต์ และ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง 35 เปอร์เซ็นต์ เพราะรับประทานเนื้อสัตว์พวกวัวและหมูมาก สัตว์เมื่อจะถูกฆ่าจะกลัวและเครียด ก็จะหลั่งสารก่อมะเร็งออกมา และเมื่อเรากินเข้าไป จะสะสมไปเรื่อยๆ พอถึงวันหนึ่งก็ป่วยเป็นมะเร็ง"
แม้ปีที่ผ่าน ๆ มาเราอาจกินอะไรที่ก่อให้เกิดโทษกันมาบ้าง ก็ยังไม่สายที่จะตั้งต้นใหม่ในปี 2013 นี้ เริ่มง่าย ๆ จากการมีสติตั้งมั่นที่จะใช้ชีวิตอยู่กับความจริงมากกว่าความชิน และความอยาก แต่ก็ขึ้นอยู่ที่ตัวคุณเองด้วยว่าจะเลือกเชื่อ เลือกทำหรือไม่ ถ้ายังบอกว่า เรื่องกินเรื่องใหญ่ เรื่องตายเรื่องเล็ก เชื่อเถอะว่าไม่ตายเร็วก็อาจตายทั้งเป็นจากโรครุมเร้าได้
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live