xs
xsm
sm
md
lg

'แพ็ตตี้ - พริษฐ์ชยาดา' กับ 3 วัน 2 คืน ที่คุณต้องรักเลย!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ต่อให้สวยน่ารักบาดใจแค่ไหน ถ้าไม่มีเสน่ห์ดึงดูดคงขึ้นแท่นนางเอกได้ยาก แต่สำหรับสาววัยใส 'แพ็ตตี้ - พริษฐ์ชยาดา พิริยะเมธา' พกพาเสน่ห์ครบสูตร น่ารักสดใสแถมใบหน้าจิ้มลิ้มพริมใจ จึงไม่แปลกเลยที่เธอครองตำแหน่งนางเอกใหม่ป้ายแดง ในภาพยนตร์เรื่อง '3วัน 2 คืน รัก..เลิก..เลย' (เข้าฉาย5ธ.ค.) เปิดประสบการณ์รักต้องเลือกผ่านการเดินทาง ภูกระดึง จ.เลย ที่คุณต้องตัดสินใจแล้วว่าจะเลือก 'รัก' เธอหรือเปล่า?

ก่อนออกเดินทางไปยังภูกระดึงกับนางเอกสาวเนื้อหอม ทีมงาน M-lite ขอคว้าตัวเธอมาพูดคุยทำความรู้จักเสียหน่อย ไม่แน่ว่าสาวแบ๊วตากลมผู้นี้อาจทำให้รู้สึกหลงรักโดยไม่รู้ตัวก็ได้


ไปเลย! ไปเป็นนางเอก
ริมฝีปากรูปกระจับ ค่อยๆ ขยับเผยเรื่องราวที่ทำให้หญิงสาวธรรมดาๆ ผู้หนึ่ง แพ็ตตี้ - พริษฐ์ชยาดา ได้เข้ามาเป็นนางเอกหน้าใหม่ในแวดวงหนามเตย รับบทนำ ในภาพยนตร์เรื่อง 3วัน 2 คืน รัก..เลิก..เลย

“มันก็คงเป็นความบังเอิญมาก คือผู้กำกับเขาไปก๊อปปี้ไฟล์งานจากพี่คนนึงแล้วมันดันมีมิวสิควีดีโอที่แพ็ตเคยแสดงติดมาด้วย ก็หาเบอร์ติดต่อแล้วก็เรียกไปแคส แล้วเรื่องนี้เขาหานางเอกมานานมาก ประมาณ 400-500 คนแล้วด้วย”

เรียกว่านางเอกเรื่องนี้แทบพลิกฟ้ากันเลยทีเดียว เธอ เล่าต่อว่าทีมงานใช้เวลาหานางเอกอยู่ราวๆ ครึ่งปีได้ พอได้แล้วก็หาพระเอกที่เคมีตรงกันเข้ามาประคู่ต่อไป

แต่ใช่ว่าแว็บแรกที่เหล่าผู้กำกับทั้ง 3 ท่าน ของภาพยนตร์เรื่องนี้เห็น แพ็ตตี้ แล้วจะถูกใจอย่างไม่ติติง

“ตอนแรกที่เลือกเรา มี 2 คน แต่มีอีกคนไม่ชอบเลย คือตอนที่ดูในรูปมันไม่เหมือนตัวจริงแล้ว ตอนที่มาแคส เขาก็บอกดูอ้วนมาก ไม่สวยเลย แต่พอมาเจอตัวจริงแล้วมาเล่น พี่คนที่รู้สึกไม่โอเคกับเราเขากลับเป็นคนที่รู้สึกโอเคที่สุด ชอบที่สุด เหมือนกับว่าเราเป็นช้อยย์ที่เขากับบทที่สุด ได้ยินมาเหมือนกันว่าบางคนเป็นดารามีชื่อเสียงมาแคส แต่คาแรคเตอร์อาจจะไม่เข้า”

จริงๆ แล้วเข้าวงการตั้งแต่เด็ก
ก่อนหน้าจะมารับเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ แพ็ตตี้ ก็มีผลงานในวงการบันเทิงมาบ้าง อย่างพวกถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา ก็ติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนกับว่าตอนนั้นพี่ชายของเธอก็ทำงานอยู่ในวงการด้วยก็เลยลองมาหาประสบการณ์ตรงนี้ดู

“งานในวงการนับจริงๆ ตั้งแต่อายุ 12-13 ปี ก่อนหน้านี้พี่ชายเขาทำอยู่ก่อนด้วยไงคะ ตอนเขาเริ่มทำเรายังเด็กมาก พอเราเริ่มโตเขาก็ชวนมาแคสโฆษณาบ้าง ตอนช่วงแรกๆ ก็ไม่ได้เลยเหมือนกัน แอคติ้งไม่ค่อยดี แต่ตอนหลังเริ่มทำได้บ้าง ตอนเด็กๆ ผลงานค่อนข้างน้อยเพราะว่าเราดูเป็นสาวกว่าตัวจริงด้วย คือเหมือนหน้ายังเด็กอยู่แต่ตัวโต ก็จะจำกัดนิดนึง พอโตขึ้นมาก็งานเยอะขึ้น โฆษณาเยอะขึ้น แล้วก็หยุดไปพักใหญ่เลย”

แพ็ตตี้ เล่าว่าที่พักงานบันเทิงในช่วงนั้น เพราะตัดสินใจไปศึกษาต่อยังต่างประเทศในช่วงไฮสคูล แต่ระหว่างที่หายไปก็คนติดต่อผ่านคุณแม่เรียกไปแคสงานเหมือนกัน จนกลับมาก็มีโอกาสในงานแสดงเข้าก็รับไว้


สาวบ้านๆ จากหนัง3 วัน 2 คืนฯ
สำหรับในภาพยนตร์เรื่อง 3 วัน 2 คืนฯ เธอรับบท กิฟ หญิงสาวที่สุดแสนจะธรรมดาแต่ประสบการณ์รักของเธอนั้นคงโดนใจใครหลายคน ความรักที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผลแต่แปลกที่การยุติความสัมพนธ์ลงกลับมีเหตุผลมากมาย เธอเป็นตัวแทนของผู้หญิงคนนึงที่กำลังจะบอกเลิกผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องไร้อนาคต ที่สำคัญมีชายหนุ่มสุดเฟอร์เฟครอเธออยู่ การเดินทางสู่ภูกระดึง จ.เลย จึงเริ่มขึ้น เพราะที่นี่มีความเชื่อว่าถ้าคู่รักไปด้วยกันแล้วกลับมาจะต้องเลิกรากัน

“เล่นเป็นผู้หญิงชื่อ กิฟ เป็นตัวดำเนินเรื่องเลย จะเป็นผู้หญิงสุดแสนจะธรรมดามาก ถ้าเกิดให้เปรียบเทียบทุกอย่างที่ผู้หญิงเรามี คือจะเป็นคนขี้งอน เอาแต่ใจตัวเอง ฟอร์มเยอะ แบบขี้หึงปากแข็ง ชอบดูดวง ซื้อของลดราคา(หัวเราะ)”

“ถามว่าเหมือนตัวแพ็ตมั้ย มันก็จะมีความเป็นผู้หญิงที่คล้ายๆ กัน แพ็ตคิดว่าผู้หญิงทั้งโลกก็คงใกล้เคียงกันแล้ววัยของกิฟก็ 25 แล้ว ทำงานแล้ว ด้วยอินเนอร์ของเขาอาจจะสู้ชีวิตและคิดถึงอนาคตมากกว่าเราด้วย วัยวุฒิ ฐานะของเขาที่เป็นคนที่ต้องผ่อนคอนโด ผ่อนรถ เองเขาจะมีอินเนอร์ที่ไม่เหมือนเรา”

ถึงหนังจะสะท้อนถึงความเชื่อในเรื่องคู่รักไปภูกระดึงแล้วกลับมาจะเลิกรากัน แต่เธอมองว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป เพียงแต่การเดินทางขึ้นภูกระดึงนั้นจะพิสูจน์นิสัยใจคอของกันและกัน ตรงนี้เองจะรักหรือจะเลิกก็ตอบตัวเองได้แล้ว

“แพ็ตรู้มาก่อนนะ เพราะว่าพี่สาวก็เคยไปมากับเพื่อนๆ โห..บางคนนี่รู้สันดานกันเลยนะ พอเหนื่อยมาก ความเห็นแก่ตัวทุกอย่างมันจะปรากฏขึ้นมาให้เราได้ดูหมดเลยว่าเราเป็นอย่างไร คือเวลานั้นแค่เสื้อตัวเดียวยังรู้สึกหนักเลย ตอนแรกใส่เสื้อคลุมไปกลัวหนาว พอถึงตอนนั้นฉันทิ้งได้แพงเท่าไหร่ก็ทิ้งได้ แค่กระเป๋าที่เราถืออยู่ในห้างเราไม่รู้สึกหนัก แต่ขึ้นไปสัก 2-3 ซำมันจะหนักมาก ถึงเวลานั้นมันจะปรากฏความเห็นแก่ตัว”

“มันเป็นเรื่องจริงของมนุษย์อยู่แล้ว มันไม่ได้เป็นเพียงตำนานหรอกแพ็ตว่านะ เพราะมันได้เห็นนิสัยไง พอเหนื่อยหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ เขาเป็นอย่างไร”

ภูกระดึง ทริปสั้น โหด มันส์ ฮา
ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำระหว่าง กรุงเทพฯ และ ภูกระดึง จ.เลย นางเอกสาวเปิดใจว่าก่อนจะรับเล่นนั้นชั่งใจอยู่นานเหมือนกัน เพราะต้องออกเดินทางไกล หนทางข้างหน้าก็แสนลำบาก แต่ท้ายที่สุดก็ตอบตกลงและออกเดินทางสู่ยอดภูแห่งนี้

“ตอนแรกชั่งน้ำหนักอยู่นานมาก คิดเหมือนกัน ตอนแรกก็ไม่รู้ยังไงดี ภูกระดึง หรอ? ลำบากมากฉันไม่ชอบลำบาก แต่บทมันดีมากเลย เห้ย!ถ้าไม่ได้เล่นเรื่องนี้โอกาสที่เราจะได้บทดีๆ แบบนี้มันก็น้อยแล้ว แล้วเรื่องมันสนุก ตอนแพ็ตอ่านครั้งแรกน้ำตาไหลใหญ่เลย แล้วเป็นเรื่องที่แบบว่าเดาไม่ได้ คือผู้หญิงคนนี้จะไปบอกเลิกผู้ชาย เดี๋ยวเลิกหรือไม่เลิก มันมีหลายจุดที่ทำให้รู้สึกสับสน”

แต่งานนี้นางเอกสาวออกตัวว่า ไม่ได้เดินเท้าขึ้นไปนะเพราะความที่เป็นคนเลือดน้อยด้วยถ้าเกิดเดินแล้วไปเป็นลมเป็นแล้งจะกลายเป็นภาระทีมงานเอา

“แพ็ตไม่ได้เป็นคนเดินขึ้นไป แพ็ตมีเสลียงนั่งขึ้นไปเหมือนแม่นาง(หัวเราะ) ตอนแรกๆ ก็จะกลัวซักพักจะเริ่มชิน แต่ก็มีช่วงสุดท้ายที่ต้องเดินขึ้นนะ สรุปเราต้องปีนขึ้นเพราะมันไม่มีทางเลยมันเป็นหินๆๆ ต้องปีนขึ้นไป แค่นั้นก็แทบตายแล้ว ภูกระดึงมันจะแบ่งเป็นซำและซำสุดท้ายจะโหดที่สุด แต่คนอื่นเดินมาแล้ว 6-7 ซำ แล้วมาเดินซำนี้น่าสงสารมาก คือแพ็ตเป็นคนเลือดน้อยไงคะ ก็เลยบอกเขาไม่กล้าเดิน กลัวเป็นลมระหว่างทางเดี๋ยวจะเป็นปัญหากับเขาด้วย”

เธอเล่าว่า ลูกหาบ 4 คนที่แบกนับน้ำหนักตัวเธอบนเสลียงก็หน้าตายิ้มแย้มกันตลอดทาง แต่เหงื่อนี่ซกเลยท่าทางเหนื่อยเอาการ

“ปกติแล้วน้ำหนักตัวเราประมาณ 50 เฉลี่ย 4 คน คนละ 10 กว่ากิโลฯ ถ้าเค้าไม่รับงานหาบคน เค้าจะรับงานหามของ 50 กิโลคนเดียว ตรงนี้มันก็จะเบากว่าที่ปกติเขาเดินแล้ว อาจจะบ่นน้อยหน่อย(หัวเราะ)”

ส่วนสถานที่หลักนั้นถ่ายทำที่ ภูกระดึง แพ็ตตี้ เล่าว่า ใช้ชีวิตอยู่บนภูนานกว่า 2 อาทิตย์ “รู้สึกว่านานนมากคะ ลำบากมากคะ ประมาณ 2 อาทิตย์”


มีปัญหาจุกจิกตลอดเวลา
แพ็ตตี้ เล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่าระหว่างถ่ายทำที่ ภูกระดึง เรียกว่าเกิดปัญหาจุกจิกขึ้นตลอดเวลาเลย

“ปัญหาเยอะ เรียกว่าเป็นปัญหาจุกจิกทุกเรื่องเลย เราเป็นกองเล็กๆ ตั้งแต่เรื่องรองเท้าแล้ว ทีมงานก็ไม่ได้นึกว่าต้องใช้รองเท้าปีนเขาเราเองก็ไม่ได้นึกไม่ได้เตรียม เตรียมแต่รองเท้าเข้าฉากไป ซึ่งใส่แล้วเจ็บอีกต่างหาก พอใส่ถุงเท้าแล้วโคสอัพไม่สวยก็ถอดออกอีก กลายเป็นยิ่งกัดใหญ่เลย(ยิ้ม)”

“เหมือนกับมันมีปัญหาเฉพาะหน้าเยอะ บนนั้นมันพยากรณ์ไม่ได้ เดี๋ยวฝน เดี๋ยวหมอก บางทีมีช้างป่าต้องวิ่งหนีอีก บางทีถ่ายๆ อยู่กวางเข้าฉากซะงั้น มีปัญหาเรื่อยๆ บนนั้นก็ลำบากดีคะ น้ำไฟไม่มีใช้ คล้ายๆ เข้าค่ายลูกเสือนิดนึง(หัวเราะ)”

เป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ใช่ว่านักแสดงทุกคนจะได้มาสัมผัส แพ็ตตี้ เล่าถึงความเป็นอยู่บนภูกระดึง “อยู่กับธรรมชาติเลยคะ บ้านนักแสดงมันจะห่างประมาณ 2 กิโลฯ ไม่มีไฟฟ้าอารมณ์คล้ายๆ หนังผีทุกคนจะเกาะกลุ่มกัน มีไฟฉายหน้า-หลัง เดินเกาะกลุ่มกัน ช้างมาเมื่อไหร่ไม่รู้ ลิงมาเมื่อไหร่ไม่รู้ บ้านนักแสดงจะเนบ้านเดียวที่มีน้ำอุ่น แต่!มีก็ไม่มีประโยชน์ เพราะถ่ายเสร็จ 4 ทุ่มไฟตัดแล้ว บรรยากาศโรแมนติกมากมาจุดเทียนอยู่กัน(หัวเราะ)”

เนื่องถ่ายทำช่วงต้นปี ฤดูหนาวที่ภูกระดึงนั้นหนาวมาก แต่ทีมงานต้องการให้ภาพออกมาคล้ายๆ ว่า อากาศกำลังเย็นๆ สบายๆ

“ถ่ายเดือนมกราฯ หนาวคะ หนาวมาก แล้วเสื้อเข้าฉากก็บางได้อีก เหมือนกับเขาอยากให้มันดูแค่หนาวนิดๆ แต่ความจริงมันไม่นิดอะ คือทุกใส่โอเวอร์โค้ทกันหมดเลย แต่งตัวเหมือนอยู่เมืองหิมะกันมาก แต่นักแสดงจะเป็นเสื้อแขนยาวเบาๆ ทะมัดทะแมงแลดูอยู่ป่า”

ถึงจะเหนื่อยกับการทำงานบนภูสูงเสียงฟ้า ขาดแคลนสาธารณูปโภคที่สะดวกสบาย แต่หญิงสาวก็ยังฮึดสู้ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
“อารมณ์เหนื่อยท้องอแงมันก็มีหมด แต่เอาเอาจริงก็รู้ว่ามันต้องถ่ายต่อ เราก็อยากทำให้ดีที่สุด”

ประสบการณ์ดีๆ ที่นี่..ภูกระดึง
เห็นท่าทางเป็นคุณหนูสาวหวานแบบนี้ เธอเปิดเผยว่าร่วมเดินทางไปถ่ายทำกับทีมงานเพียงลำพัง แน่นอนว่าทางบ้านเป็นห่วงแต่ก็เข้าใจในการตัดสินใจของเธอ

“เราไปกับทีมงานเอง มีทีมงาน 30 คน ตอนแรกสมัยถ่ายโฆษณาที่บ้านก็ไปเฝ้าบ้าง แต่ตอนหลังเราก็อายุ 20 แล้ว โตแล้ว เค้าก็ชินกับการที่เราไปทำงาน รับผิดชอบได้เองแล้วเขาก็ไม่ห่วง โทรมาถามบ้าง ถึงแล้วก็โทรบอกเขา”

นักแสดงหน้าใหม่ และทีมงาน ร่วมเดินทางไปพร้อมๆ กัน ถ่ายเก็บบรรยากาศทิวทัศน์ของภูกระดงตั้งแต่ตีนเขาจรดยอดภู เรียกว่างานนี้คนดูเต็มอิ่มกับความงดงามของภูกระดึงแน่นอน เธอกระซิบว่าออกเดินเท้าตั้งแต่ 6 โมงเช้า กว่าจะถึงยอดภูก็ล่อไป 6 โมงเย็น

สำหรับคนอื่นอาจจะรู้สึกประทับใจกับสถานที่ บรรยากาศดีๆ ธรรมชาติสวยๆ แต่นางเอกสาวของเราเล่าว่า รู้สึกประทับใจชาวมากๆ

“เขาต้อนรับดีมาก ถ้าถามว่าประทับใจอะไรในภูกระดึงมากที่สุด ต้องบอกประทับใจคนเลยคะ ไม่ใช่สถานที่ไม่ใช่บรรยากาศ หรืออากาศหนาว คือคนที่นั่นน่ารัก บ้างก็แบบเป็นนางเอกหรอลูก..กินน้ำเต้าสิน้าให้ฟรี คือเขาน่ารักกับเรา(ยิ้ม)”

ข่าวคราวการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงนั้นยาวนานมากกว่า 10 ปี สำหรับในปีนี้ก็แววว่าอนุมัติเดินเครื่องโครงการฯ สาวแพ็ตตี้ เปิดใจต่อเรื่องการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง

“มีข้อดีคือคนเฒ่าคนแก่ก็อาจจะสะดวกขึ้น แต่ลูกหาบจะต้องตกงาน เขาจะไปทำอะไร แพ็ตรู้สึกว่าแค่เราเดินขึ้นที่นี่จะเป็นที่ที่น่าจดจำมากกว่าที่อื่น” ก็คือไม่อยากให้มีการก่อสร้างกระเช้า “เว้นไว้สักทีนึงก็ได้คะ ที่อื่นมันก็ขึ้นไปง่ายๆ อยู่แล้ว”

ชีวิตต่างแดนช่วงไฮสคูล
จะว่าไปการออกเดินทางไปกับทีมงานฯ หนังเรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเดินทางไกลไป หรือใช้ชีวิตกับคนแปลกหน้าเป็นครั้งแรก เพราะเมื่อช่วงจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เธอตัดสินใจขอทางบ้านไปเรียนระดับไฮสคูลที่ สหรัฐอเมริกา

“ตอนนั้นเรียนอยู่ รร.สาธิตฯประสานมิตร เป็นช่วงม.3 นะคะ แล้วเพื่อนๆ หลายคนก็แบบไม่ไปต่ออินเตอร์ ก็เป็นต่างประเทศกันเยอะ เรารู้สึกเหมือนอยู่ๆ เพื่อนหายไปครึ่งนึง ก็เลยตัดสินใจไปหาประสบการณ์ที่เมืองนอกบ้าง แต่ว่าไม่ได้ไปที่เดียวกับเพื่อนนะ คือแยกไปกันคนละประเทศ

แน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องห่วงอยู่แล้ว ยิ่งลูกสาวไปเรียนต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ แต่ปฏิกิริยาที่แสดงออกถึงความห่วใยของท่านนั้นต่างกัน

“คุณแม่คือพื้นเดิมเขาเป็นคนต่างจังหวัด อารมณ์ก็เล่นน้ำคลองปีต้นไม้มา เขาก็จะดีไปลำบากเสียบ้างอยู่บ้านไม่ทำอะไรเลย เป็นคุณหนูมีคนขับรถ มีคนใช้ แต่คุณพ่อเหมือนว่าแพ็ตเป็นลูกสาวคนเล็กไงคะ เขาจะเป็นห่วงมาก ค่อยถามกลับบ้านมั้ยลูก ไม่สบายหรือเปล่ากลับบ้ายมั้ยลูกเดี๋ยวจองตั๋วให้เลย แต่แม่แบบจะไม่ต้องเลยนะอยู่ให้จบเสียตังค์ไปแล้วนะเขาจะคนละแนวกัน”

ไปเรียนต่างแดนแบบนี้ ได้ประสบการณ์มากมายแน่ๆ “ถามว่าได้อะไรเรื่องความรู้มันก็ได้ทั่วๆ ไป ก็อาจจะได้ประสบการณ์ชีวิต อยู่บ้านเราก็ไม่ต้องทำอะะไรเลยนะมีแม่บ้าน อยู่นู้นก็ต้องทำเองช่วยเหลือตัวเองเยอะ”

แน่นอนจากที่อยู่ประเทศไทยมีพี่เลี้ยงคอยดูแลทำนู้นทำนี่ให้ แต่เมื่อไปใช้ชีวิตในต่างแดนเธอต้องปรับตัวทำทุกอย่างด้วยตัวเอง

“ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองมากขึ้น อย่างตอนเช้าพี่เลี้ยงก็มาปลุกไปเรียน ต้องดูแลตัวเองอเยอะขึ้น อยู่บ้านเราไม่เคยทำอะไรเลย”

ในส่วนของสังคมเพื่อนก็ต่างไป ความที่ต่างชาติพันธ์ก็ต้องอาศัยการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด แพ็ตตี้ เองก็ปรับตัวได้ไม่ยาก

“อยู่เมืองไทยนี่เรียกว่าค่อนข้างซ่าส์นิดนึง สมัยอยู่ม.ต้น เหมือนเป็นก๊วนใหญ่ในโรงเรียนด้วยไง แต่พอไปอยู่นู้นจาก ซัมวัน กลายเป็น ซัมบอดี้ เราต้องปรับวิถีเยอะมาก เราต้องลดอีโก้ลงมาเยอะมาก ต้องมาปรับวิถีชีวิต ปรับตัวกับเพื่อนใหม่หมดเลย อยู่ที่นู้นเราคือกระเหรี่ยงที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ก็สนุกนะคะ ไปถึงก็เจอเพื่อนดีๆ หลายคน ตอนนี้ก็ยังติดต่อกัน”

แพ็ตตี้ เล่าเรื่องขำขันที่เพื่อชาวต่างชาติเข้าใจผิดต่อเมื่อไทย ว่า คือพวกเขาได้ดูหนังเรื่องนึง แล้วเห็นว่าประเทศเรากินแมลงสาบ ใช้ช้างเป็นพาหนะอยู่เลย แต่พอเปิดภาพกรุงเทพฯ ให้ดูเขาก็ตื่นตาตื่นใจได้เห็นประเทศไทยที่เป็นจริงมากขึ้น

เรียนดนตรี เพราะความชอบ
หลังจากเรียนจบไฮสคูล แพ็ตตี้ก็กลับมาศึกษาปริญญาตรีที่ประเทศไทย ซึ่งตอนนี้เธอก็ทำงานในวงการควบคู่กับการเรียนที่ วิทยาลัยดนตรี สาขาวิชาแจ๊สศึกษา มหาวิทยาลัยรังสิต สาวตาโตพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ถ้าเกิดคนไม่ชอบก็เรียนด้านนี้ไม่ได้”

เธอเล่าว่าตั้งแต่เด็กนั้นทางบ้านส่งให้เรียนพิเศษแทบทุกอย่าง เท่าที่เด็กคนนึงจะสามารถเรียนได้

“ที่บ้านแพ็ตเป็นบ้านที่ส่งให้ลูกเรียนทุกอย่างที่เด็กคนนึงจะสามารถเรียนได้(หัวเราะ) เรียนตั้งแต่ ลูกคิด คาราเต้ ศิลปะ ว่ายน้ำ ขลุ่ย บัลเลย์ เปียโน แต่ก่อนจะให้แพ็ตเรียนกีต้าร์กับไวโอลีนด้วย แต่รู้สึกว่ามันเยอะเกินไป”

ตรงนี้เองก็เป็นเหมือนทำให้ได้เรียนรู้ว่าตัวเองชอบอะไร “ใช่คะ เกี่ยวมาก เพราะบางคนเหมือนมาหาตัวเองเจอช้า จริงๆ ถามว่าคิดเสียดายเงินมั้ยการที่คุณแม่ส่งเรียนคาราเต้ ส่งเรียนเทนนิส แล้วทุกวันนี้ยังเล่นไม่เป็นเลย เสียดายเงินเหมือนกัน แต่มันก็มีข้อดีที่ทำให้เรารู้ว่าเราชอบอะไรจริงๆ เพราะเราได้ลองทำหลายอย่าง”

จากความชอบด้านดนตรี จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะตัดสินใจเข้าศึกษาโดยตรง

“ถ้าใครบอกว่าเรียนดนตรี มีความสุขเนอะ ดูชิล ไม่เลย..คณะแพ็ตหาคนจบ 4 ปี ยากมาก คือต้องทำความเข้าใจก่อนวิชาดนตรีมันจะไม่เหมือนวิชาอื่น บางคนจบม.ปลาย มาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดนตรีเลย อ่านโน้ตก็ไม่เป็น ดนตรีมันไม่เหมือนกับเลขที่เราบวกลบคุณหารเป็นมาตั้งแต่เด็ก บางคนมาเรียนดนตรีมันเหมือนต้องมาเริ่มใหม่แล้วทีนี้มันต้องจบภายใน 4 ปี เนื้อหามันจะแน่นมากคะ เหมือนกับสอนตั้งแต่อนุบาลจนจบปริญญาตรีในเวลา 4 ปี ประวัติดนตรีก็ต้องเรียน แล้วมันจะมีวิชาที่เป็นการฝึกทักษะของเรา บางทีเขาจะให้ฟังเสียงลิฟ ติ๊ง..หน่อง เราต้องตอบให้ได้ว่านี่คือโน้ตอะไร”

ถามว่าพื้นฐานดนตรีที่ แพ็ตตี้ เรียนมาช่วยทำให้ไปได้เร็วว่าเพื่อนร่วมชั้นหรือไม่ เธอ ตอบขึ้น

“เรียกว่าน้อยค่ะ เด็กๆ เป็นพื้นฐานเชิงปฏิบัติที่เรียนมานะคะ จะไม่ได้เรียนดนตรีจริงๆ ตอนนั้นหลักๆ คือให้เป็นความสามารถพิเศษให้ได้ตามประสาคุณพ่อคุณแม่ส่งลูกไปเรียน คือมันไม่ได้ลงลึกขนาดนี้ มันเหมือนคนเราพูดได้มานานแล้วแต่ไม่เคยอ่านไม่เคยเขียนมาก่อนเลย”

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แพ็ตตี้ ยิ้มปริแล้วเอ่ยความนัยถึงวิชาดนตรีที่ร่ำเรียน “ยากแต่ก็สนุกคะ”

โตมาในครอบครัวนักธุรกิจ
แต่ย้อนมาดูปูมหลังของครอบครัวช่างไกลลิบกับสาขาวิชาดนตรีที่เธอเลือกศึกษาเสียจริง ครอบครัวของแพ็ตตี้เรียกว่าเป็นครอบครัวนักธุรกิจ เธอเป็นลูกคนเล็กในบรรดาพี่น้อง 3 คน

ด้วยความที่คุณแม่คุณแม่ต้องทำงาน เวลาของท่านเรียกว่าเป็นเงินเป็นทอง แพ็ตตี้ จึงเติบโตมากับการดูแลของพี่เลี้ยง

“อยู่กับพี่เลี้ยง เหมือนเป็นแม่คนที่สองเลย พี่เลี้ยงแพทจะแบบไม่ได้เหมือนในเหมือนพี่เลี้ยงในละครนะ คุณหนูคะ คุณหนูขา เค้าจะประมาณว่า นี่!แพ็ตตี้ อาบน้ำยัง ทำการบ้านยัง เค้าจะพูดภาษาไทยภาษาลาวปนกันด้วย(หัวเราะ) บ่นเรายิ่งกว่าแม่อีกนะ อย่างเมื่อก่อนจะมี 2-3 คน แต่ตอนนี้เขาออกไปแต่งงานกัน มีเหลืออยู่คนเดียวอยู่มาตั้งแต่เลี้ยงพี่สาวแพ็ตตั้งแต่ 3 เดือน อยู่มาจะ 30 ปีแล้วคะ”

ถามว่ารู้สึกน้อยใจหรือเปล่าที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้ สาวตากลม ตอบว่า ตอนเด็กๆ เลยแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมคนอื่นเขามีพ่อแม่มาค่อยรับที่โรงอาหาร แล้วพ่อแม่เราไปไหน พอโตมาเริ่มเข้าใจว่าท่านต้องทำงาน แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีเวลาให้นะ กลับมาจากทำงานดึกๆ ท่านก็แวะมาหามาคุยด้วย

ดูเหมือนชีวิตของหญิงสาวผู้นี้จะรายล้อมไปด้วยความสุขสบาย มีพี่เลี้ยงดูแล มีคนคอยขับรถให้

“ถามว่าโอ๋มั้ย คุณหนูมั้ย ก็ไม่ได้เวอร์ขนาดนั้น แต่อาจจะด้วยความที่เขาเป็นนักธุรกิจ จริงๆ มันก็ไม่ใช่หรอก ที่มีพี่เลี้ยง มีคนขับรถ เพราะว่าเขาไม่มีเวลาไปส่งมากกว่า เขาก็เลยต้องเอาตรงนี้มาแทน เขาก็ไม่ได้โอ๋เรา ปล่อยให้เราไม่ให้ทำอะไรเอง เรียนรู้ด้วยตัวเอง”

อนาคตอยากเป็น.. แม่ของลูก
เด็กๆ ทุกท่านคงมีความฝัน สาวผู้นี้ก็มีความฝันหลายต่อหลายเรื่องเช่นกัน เรียกว่าเป็นสาวช่างฝันก็ว่าได้

“ถ้าตอนเด็กเลย อยากเป้นเจ้าหญิง อยากเป็นราพันเซล พอโตขึ้นมาก็เริ่มเรียลลิสติกมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจะอยากเป็นนายกรัฐมนตรี จะฝันยิ่งใหญ่มาก พอซักพักจะเริ่มเล็กเรื่อยๆ (หัวเราะ)”

ส่วนงานในวงการบันเมิง บทบาทนางเอกภาพยนตร์ เรื่อง 3วัน 2 คืน รัก..เลิก..เลย จริงๆ ไม่เคยอยู่ในความฝันเลย ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาเป็นนักแสดงเลย

“ไม่เคยคิด ทุกวันนี้ก็รู้ว่าเราแค่มีโอกาสเข้ามาทำงานในวงการ แต่มันก็เป็นอาชีพที่ไม่ยั้งยืน ทุกวันนี้เราเรียนอยู่มันก็โอเคทำควบคู่กับเรียนไปด้วยได้บ้าง เรารู้ว่าถึงยังไงวันนึงก็ต้องกลับไปทำธุรกิจ ตรงนี้เรียกว่าเป็นสีสัน เป็นกำไรของชีวิตมากกว่า”

ทีมงาน ถามว่านอกจากธุรกิจครอบครัวที่ต้องกลับไปดู อนาคต แพ็ตตี้ อยากทำอะไรหรือเปล่า เธอยิ้มอ่ำอึ้ง แล้วค่อยๆ เผยความนัย

“ตอบแล้วเขินจังเลย ถ้าเกิดเอาความฝันสูงสุดเลยนะ แพ็ตอยากเป็นแม่คน แพ็ตว่าเกิดมาเป็นผู้หญิงมันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากเลยนะ ที่จะมีอีกชีวิตนึงเกิดขึ้นในตัวเรา แล้วแพ็ตเป็นคนรักเด็กมาก(ยิ้ม)”

…..........................
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพประกอบ Instagram @Pritshayada

ประวัติส่วนตัว
ชื่อ : พริษฐ์ชยาดา พิริยะเมธา (แพ็ตตี้)
วันเกิด : 30 มกราคม
ส่วนสูง : 173ซม. น้ำหนัก 51 กก.
การศึกษา : กำลังศึกษา สาขาวิชาแจ๊สศึกษา วิทยาลัยดนตรี มหาวิทยาลัยรังสิต
ผลงาน : ถ่ายแบบ, ถ่ายโฆษณา, ภาพยนต์เรื่อง 3 วัน 2 คืน รัก เลิก เลย










ก๊วนนักแสดง ภ. 3 วัน 2 คืนฯ






กับคุณพ่อ และพี่ชาย
ถ่ายคู่กับคุณแม่คนสวย
หลานสาวสุดที่รัก


กำลังโหลดความคิดเห็น