เมื่อมีมติปรับเพิ่มเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการครู ขณะเดียวกันระบบการศึกษาไทยก็ยังไปไม่ถึงฝั่ง ดูไม่สมกับเงินเดือนที่มาจากภาษีของประชาชน แถมมีข่าวคาวรายวันให้เปรอะเปื้อนวงการเรือจ้าง “ข่มขืนแลกเกรด” “บังคับนักเรียนชายอมนกเขา” “มอมยาลูกศิษย์สาวเข้าม่านรูด” ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทั้งหมดนี้คือพฤติกรรมที่ทุกคนเรียกเขาว่า “ครู” และทำให้รู้ว่าศีลธรรมและจรรยาบรรณความเป็นครูไม่อาจเพิ่มขึ้นได้ด้วยเงิน
ถึงอย่างไรครูประพฤติดี มีจรรยาบรรณก็ยังมีอยู่ให้เห็น ครูที่ทำหน้าที่สั่งสอนให้ศิษย์เกิดความรู้ มีคุณธรรม จริยธรรม นำประโยชน์ให้แก่สังคมได้ในอนาคต และเป็นแบบอย่างที่ดี แต่ภาพลักษณ์ของครูดีๆ ทุกวันนี้ ถูกลบด้วยภาพครูเลวๆ ไม่กี่คน พร้อมกับลบความหมายของคำว่า “ครู” ที่แท้จริงให้หายไป
เพิ่มเงินเดือน แต่ไม่เพิ่มคุณภาพการสอน
ที่ผ่านมาครูเป็นอาชีพที่มีเงินเดือนไม่สูงมากนัก หากจะเอาร่ำเอารวยกับอาชีพนี้ เลิกคิดไปได้เลย จนกระทั่งถึงยุคทุนนิยม ค่าครองชีพที่สูงขึ้นเท่าตัว ครูก็เริ่มอยู่ไม่ได้ ต้องปากกัดตีนถีบหารายได้เสริมที่มาจากอาชีพเดิมของตัวเอง จึงมีการรับจ้างสอนพิเศษหลังเลิกเรียน บางคนได้ลู่ทางดีเปิดสถาบันติวเตอร์ ทำเงินเป็นล่ำเป็นสัน จนกลายเป็นอาชีพหลักกันไป
ขณะที่ครูมองการศึกษาเป็นเรื่องของธุรกิจมากขึ้น เด็กนักเรียน คือลูกค้าในคลาสสอนพิเศษนอกเวลาเรียนปกติ จนเกิดเป็นค่านิยม “ถ้าไม่เรียนพิเศษ จะสอบไม่ผ่าน” ทำให้ห้องเรียนถูกลดระดับความสำคัญลง และครูที่ไร้จรรยาบรรณมี่สุด คือครูที่แอบกั๊กวิชาแล้วเอาไว้สอนแค่ในที่เรียนพิเศษ
เห็นชัดเจนว่าอาชีพครูมีทางเลือก สามารถรับรายได้ก้อนใหญ่นอกเวลาราชการ และอาจดีกว่าการปรับเพิ่มเงินเดือนแรกบรรจุตามวุฒิทางการศึกษาของข้าราชการครูและบุคลากรการศึกษาทั่วประเทศรวม 8.63 หมื่นคน เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญ ที่ปรับขึ้นไปเป็นเดือนละ 1.5 หมื่นบาทเสียด้วยซ้ำ
มติเพิ่มเงินเดือนครูครั้งนี้รัฐบาลจัดมาเอาใจครูไทย ถึงแม้ว่าการขึ้นเงินเดือนจะทำให้คุณภาพชีวิตข้าราชการครูดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าคุณภาพการสอนจะดีขึ้นตามไปด้วย หากยังไม่มีการรื้อระบบการเรียนการสอนของไทยออกมาแก้ไขอย่างจริงจัง
“ทั้งสองสิ่งไม่ได้สัมพันธ์กัน ไม่ใช่ว่าเงินเดือนสูงขึ้น แล้วครูจะสอนอย่างมีคุณภาพ แค่เป็นผลระดับหนึ่ง”
สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงมติการเพิ่มเงินเดือนแรกบรรจุตามวุฒิการศึกษาของข้าราชการครู ที่ทางคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้านเศรษฐกิจ ออกมาเปิดเผยว่า ทำให้วุฒิปริญญาตรี หลักสูตร 4 ปี ครูตำแหน่งผู้ช่วยเงินเดือนเพิ่มจาก 8,340 บาท เป็น 11,920 บาทต่อเดือน วุฒิปริญญาตรี หลักสูตร 6 ปี ตำแหน่งครูผู้ช่วยเพิ่มจากเดือนละ 10,190 บาท เป็นเดือนละ 15,430 บาท ข้าราชการครู วุฒิปริญญาโทเพิ่มจาก 11,600 บาท เป็น 16,570 บาทต่อเดือน และปริญญาเอกตำแหน่งครูผู้ช่วยเพิ่มจากเดือนละ13,770 บาท เป็น 19,100 บาท โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555
“หากมองคุณภาพระบบการศึกษาในปัจจุบันนี้ เราควรมุ่งเน้นการเรียนการสอนที่มันมีความเฉื่อยในระบบ ควรลดภาระงานของครูในเรื่องที่ไม่จำเป็น อย่างการประชุม อบรมในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน โดยไม่ได้ดูพื้นฐานความต้องการของครูวิชาชีพคืออะไร มันสูญเปล่า
จุดบอดของระบบมันอยู่ตรงกระบวนเทรนนิ่ง การฝึกอบรม เราทำอย่างนี้กันทุกปี ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วไม่เห็นได้อะไรเลย ยิ่งทำให้ระบบเฉื่อยชา แทนที่จะเอาเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่นเพื่อนำมาพัฒนาการเรียนการสอนได้จริง”
กระบวนการสอบครู ไม่ใช่วิธีคัดเลือกคนดี
หากมองในภาพลักษณ์ของครู ถือว่าเป็นอาชีพที่น่าไว้เนื้อเชื่อใจที่สุด เพราะครูมีหน้าที่สอนคนให้เป็นคนดี มีศีลธรรม จริยธรรม ซึ่งเป็นอาชีพที่ทรงคุณค่า ควรแก่การเคารพยกย่อง แต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้แน่ชัดว่าข้าราชการครู ทุกคนจะเป็นคนดีอย่างที่หลายคนคิดและเข้าใจอย่างนั้นจริง
ปัจจุบันมีหลายเหตุการณ์ที่ครูทุบตีเด็กเกินกว่าเหตุ จนถึงขั้นทำอนาจาร ข่มขืนกระทำชำเราลูกศิษย์ของตัวเอง ทำให้ทุกคนมองภาพลักษณ์ของครูเปลี่ยนไป
อาจารย์สมพงษ์ จิตระดับ กล่าวว่า การสอบบรรจุเข้ารับราชการครู ดูไม่ได้ทั้งหมดว่าคนนั้นจะเป็นคนอย่างไร แม้แต่ข้อสอบวัดแววความเป็นครูก็ตาม ไม่ได้เป็นตัววัดจริยธรรมสูงต่ำได้ เรื่องละเมิดเด็กมันจึงควบคุมยาก เพราะครูกับเด็กอยู่ด้วยกัน 8 ชั่วโมงต่อวัน จึงเป็นช่องว่างที่เปิดโอกาสตลอดเวลา ครูออกอุบายหลอกให้ทำนู่นทำนี่เด็กก็ไป
ถึงแม้ว่าระบบการสอบวัดความรู้ วัดคุณภาพ จริยธรรม จะสามารถคัดเลือกคนที่เข้ามารับราชการครูได้ แต่ก็เป็นเพียงแบบทดสอบเบื้องต้นที่ให้ผลแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น
“การสอบสัมภาษณ์ สามารถตรวจสอบพฤติกรรมคนได้ จากการอ่านสายตา การตอบคำถาม เราอาจลองถามเคสครูข่มขืนนักเรียนดูว่ามีความคิดความเห็นยังไงบ้าง เชื่อว่าสามารถสแกนคนเข้ามาระดับหนึ่งได้ รวมทั้งตรวจสอบภูมิหลัง ประสบการณ์ที่ผ่านมา ใบประกอบวิชาชีพครู ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญเท่ากับการสอบคัดเลือกที่อาจเข้าไม่ถึงตัวตนของคนคนนั้นได้” อ.สมพงษ์ กล่าว
“จิตใจมนุษย์ยากที่จะหยั่งถึง” ทุกอาชีพย่อมมีทั้งคนดี และคนไม่ดีอยู่ปะปนกัน ไม่ใช่ว่าคนนี้รับราชการครูระดับสูง มีหน้ามีตา มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต แล้วจะเป็นคนดีเสมอไป จึงไม่มีอะไรมาวัดหรือทดสอบคุณธรรม ศีลธรรมที่อยู่ภายในจิตใจคนได้ แม้แต่แบบทดสอบที่วัดผลออกมาเป็นรูปธรรม
เมื่อเรื่องอื้อฉาวของครูผิดวินัย ผิดจรรยาบรรณ เริ่มหนาหูหนาตามากขึ้น ทางคุรุสภาจึงมีโครงการ “หนึ่งแสนครูดี” เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติ และเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และเป็นแบบอย่างแก่ข้าราชการครูด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ภาพลักษณ์ของครูดีขึ้นได้ ซ้ำยังเลวร้ายลงกว่าเดิม เมื่อพฤติกรรมของครูนอกรีตถูกเปิดเผยซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ประณามครูหื่น ข่มขืน-อนาจารเด็ก
หากไล่เรียงเรื่องคาวๆ ของกรณีครูฉาวภายในหนึ่งหน้ากระดาษคงไม่หมด เพราะตั้งแต่ต้นปีมีเรื่องครูนอกรีตที่ถูกเปิดเผยเป็นระยะๆ ทำให้คนทั่วไปมีความคิดติดลบในเรื่องภาพลักษณ์ของครูไปโดยปริยาย แค่ปลาเน่าไม่กี่ตัว ตายไปทั้งฝูง เช่นเดียวกับครูไร้จรรยาบรรณไม่กี่คน ทำให้เสื่อมกันไปทั้งระบบ
อย่างกรณีเมื่อสัปดาห์ก่อน ครู กทม.สอนนาฏศิลป์ ได้กระทำวิปริตล่วงละเมิดทางเพศเด็กพิการทั้งชายและหญิง บางรายถูกกระทำเมื่อเดือน ก.ค. 55 บางรายถูกกระทำก่อนเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 55 ส่วนใหญ่ระบุว่าครูจะเรียกไปพบเพื่อให้บีบนวด ก่อนลงมือกระทำชำเราในห้องพักครู พ่อแม่เมื่อรับทราบข้อมูลถึงกับตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าครูที่ไว้ใจและรับรู้ว่าดูแลลูกตนเองอย่างดีจะมีพฤติกรรมดังกล่าว
“ไม่คิดว่าคนเป็นครูจะกระทำเช่นนี้ และยิ่งไม่อยากเชื่อว่าจะกระทำกับเด็กที่มีความพิการด้วยซ้ำ” เสียงจากผู้ปกครองกล่าวพร้อมทั้งน้ำตา
และก่อนหน้านี้ที่มีเรื่องอื้อฉาว ซึ่งทำให้สั่นคลอนไปทั้งระบบการศึกษา เมื่อมีนักศึกษาออกมาร้องเรียน ประท้วงขับไล่อาจารย์ คณะครุศาสตร์ สาขาศิลปกรรม แขนงดนตรีไทย ม.ราชภัฏ ชื่อดัง แฉพฤติกรรมสุดมั่ว หญิง-ชายไม่เว้น! ข่มขืนนักศึกษาแลกเกรด และขอร่วมหลับนอน โดยใช้เกรดมาเป็นข้ออ้างไม่ให้ผ่านการเรียน
แม้ว่าจะมีครูทำอนาจารหรือข่มขืนเด็กนักเรียน นักศึกษา หลายกรณีที่ถูกเปิดเผย แต่ก็ใช่ว่าที่ไม่ได้เปิดเผยจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเลย แต่เมื่อถูกจับได้ หากมีตำแหน่งใหญ่โตระดับ ผอ.ก็แค่โดนย้ายโรงเรียน ตัดเงินเดือน หยุดการสอนชั่วคราว ไม่นานก็กลับมาทำความผิดซ้ำอีก ไม่ต่างจากวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
อาจารย์สมพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาจะเห็นว่ามาตรการบทลงโทษครูที่ทำความผิดแบบนี้ค่อนข้างเบา บางครั้งได้รับการช่วยเหลือจากคณะกรรมการสอบวินัยด้วยซ้ำ หรือครูด้วยกันเองให้ความช่วยเหลือ กลายเป็นเรื่องเงียบซึ่งในวงการวิชาชีพครูเขาไม่พูดถึงกันด้วยซ้ำ
“ที่เลวร้ายไปกว่านั้น บางครั้งเขาให้เงินปิดปากเด็ก ผู้ปกครอง 2-3 แสน ชาวบ้านบางคนเกรงกลัวอิทธิพลมืด เรื่องก็เงียบไป ไม่มีใครจับได้ คนทำก็ได้ใจ ยิ่งทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก หากสังเกตนับวันเรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้นบ่อย มีให้เห็นตลอด จริงๆ แล้วคนแบบนี้อันตรายมาก ไม่ควรให้อยู่ในวิชาชีพครูได้อีก”
หลายต่อหลายเหตุการณ์ของครูที่กระทำฉาวต่อเด็ก ซึ่งเป็นลูกศิษย์ตัวเอง ถือเป็นความผิดจรรยาบรรณร้ายแรง ขณะเดียวกันได้มีหลายฝ่ายแนะนำให้ไปยื่นเรื่องถึงนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้ตรวจสอบและมีมาตรการลงโทษครูที่กระทำผิดอย่างจริงจัง แต่เมื่อผู้สื่อข่าวสายตรงไปยังปลัดกระทรวงดังกล่าวก็ยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้
บุญช่วย ทองศรี กรรมการคุรุสภา กล่าวถึงบทลงโทษครูที่กระทำต่อเด็กนักเรียนว่า การดุด่าด้วยคำหยาบ การตีสั่งสอนเกินกว่าเหตุ การพูดจาแทะโลม จนถึงขั้นทำอนาจารและข่มขืนเด็ก ถือเป็นการผิดจรรยาบรรณวิชาชีพครู ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เมื่อเกิดเรื่องต้องมีการสอบจรรยาบรรณข้าราชการครู โดยคุรุสภา ซึ่งทำหน้าที่เพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และถือเป็นโทษสูงสุดของข้าราชการครู นอกจากจะมีการสอบจรรยาบรรณแล้ว ทางกฎหมายจะมีการดำเนินคดี ซึ่งถือเป็นความผิดทางอาญาอีกด้วย
“ขั้นตอนในการตรวจสอบจะมีความละเอียด มีหลายกรณีที่เป็นเรื่องไม่ได้เกิดขึ้นจริง ครูถูกกล่าวหาก็มีเหมือนกัน การตรวจสอบจึงต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย แต่ถ้ามีการถ่วงเรื่อง ถ่วงเวลาเพื่อช่วยเหลือกันจริง ก็จะเป็นความผิด สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีต่อไปได้เช่นกัน
หากตรวจสอบแล้วว่ามีการกระทำผิดจริง จะโดนถอนใบประกอบวิชาชีพทันที ไม่สามารถเป็นครูสอนต่อไปได้อีก เหมือนอาชีพหมอ ถ้าไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ก็จะไม่สามารถทำอาชีพนั้นได้ ฉะนั้น ถ้าโรงเรียนไหนเอาครูที่ไม่มีใบอนุญาตมาสอนก็ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย”
ช่างเป็นเรื่องน่าอดสูกับระบบการศึกษาไทยที่ย่ำอยู่กับที่ เนื้องอกที่มีอยู่ในระบบก็ทำหน้าที่ครูแค่เปลือก ไม่ช่วยพัฒนา แถมยังซ้ำเติมให้วงการข้าราชการครูเสื่อมถอยลง เมื่อเรื่องแดงก็ช่วยกันปกปิดโยนบาปออกไปให้พ้นตัว ไม่คิดที่จะมีจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี
เนื้องอกที่จะเป็นมะเร็งในอนาคต จะช้าจะเร็วก็ต้องตัดทิ้ง หากยังอยู่ได้ในระบบการศึกษา มีแต่จะลามให้ตายไปทีละน้อย แล้วสักวันจะมีใครกล้ายกย่องเหมือนในอดีตไหมว่า “ครู” คือ พ่อพิมพ์-แม่พิมพ์ของชาติ หากไม่ได้เป็นต้นแบบที่น่าเคารพยกย่อง สมควรที่จะปฏิบัติตามอย่าง
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE