เสียงแผ่วเบาเจือสีหน้าเคร่งเครียดของชายวัยกลางคนชาวอัมพวา สะท้อนถึงความเจ็บปวดจากผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการโรงแรมหรูของเจ้าของร้านเพชรฯ ที่กำลังตกเป็นข่าวดัง นอกจากบ้านเรือนเสียหาย สุขภาพกายย่ำแย่ ซ้ำร้ายความตายยังพรากชีวิตแม่ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจอันเป็นผลพวงมาจากเร่งก่อสร้างโครงการฯ
ความเปลี่ยนแปลงของ ‘อัมพวา’ คงไม่ต้องสาธยายให้มากความ นับย้อนไปพ.ศ. 2547 ใครคงไม่อาจคาดคิดว่าปฐมบทของตลาดน้ำอัมพวาจะเฟื้องฟูแบบก้าวกระโดด ควบคู่มากับการเปลี่ยนแปลงแบบฉุกละหุกที่ไม่ว่าจะเป็นคนในพื้นที่ สัตว์ หรือทรัพยากรธรรมชาติ ก็ต่างมีรอยแผลเหวอหวะไว้เป็นอนุสรณ์
โครงการ ชูชัยบุรี ศรีอัมพวา โรงแรมหรู 5 ดาวของชูชัย ชัยฤทธิเลิศ เจ้าของร้านเพชรชื่อดัง เร่งรื้อถอนบ้านไม้เก่าอายุร่วมร้อยปีแพร่สพัดผ่านสื่อไม่นาน แรงต่อต้านจากมวลชนคนรักอัมพวาก็ถาโถมกดดันจนนายทุนใหญ่ถึงกับชะงักแม้จะเดินหน้ามาแล้วกว่า 70 เปอร์เซ็นต์แล้ว
เป็นเรื่องเก่าเล่าใหม่ที่ยังไม่มีจุดจบสิ้น วิถีคนเมืองที่เข้ายึดครองไม่เพียงเปลี่ยนบริบทของชาวบ้านหรือสภาพแวดล้อมริมคลองอัมพวา ยังซ้ำรอยแผลเก่าจุดชนวนฝันร้าย สัตว์เจ้าถิ่นอย่างหิ่งห้อย กุ้ง ปู ปลา ฯลฯ ลดจำนวนสูญหาย เทือกสวนต้นลำพูใหญ่ถูกโค่นล้ม ชาวอัมพวาปะทะคารมเพราะขัดผลประโยชน์กันเอง ชาวบ้านผู้เช่าอาศัยถูกไล่ที่พลัดถิ่น สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่คุกคามคุณภาพชีวิตคนในชุมชน ฯลฯ เป็นผลกระทบที่ยังไล่เบี้ยอัมพวาในวันนี้
แม่ผมตาย.. เพราะเขาสร้างโรงแรมหรู
“แม่ผมตายตอนเขามาตีเสาบล็อกเขาเริ่มมาตีตั้งแต่เดือนกุมภาฯพอประมาณกลางเดือนมีนาฯ ก็บรรทุกเหล็กบรรทุกของเข้ามาเรื่อยๆ เดี๋ยวขนเขาเดี๋ยวออก แม่ผมไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย แล้วแม่ผมเป็นโรคหัวใจ ตอนหลังผมก็ส่งโรงพยาบาลเข้า ไอ.ซี.ยู. อยู่ได้ 18 วันก็จบ เสียชีวิตที่โรงพยาบาลเมื่อเดือนเมษาฯ”
เฮียเปี๊ยง อาชีพช่างทำทอง ผู้พักอาศัยอยู่ในบ้านไม้ขนาดย่อมติดกับโครงการชูชัยบุรีศรีอัมพวา เล่าด้วยน้ำเสียงเข้ม ใบหน้าตึงเครียดยังคงเจ็บปวดเพราะผลพวงในการก่อสร้างโครงการฯ จนพรากชีวิตหญิงผู้ให้กำเนิดไป
เฮียเปี๊ยง เผยความใน “ทารุณยิ่งกว่าอะไร ใครมาบอกว่าบ้านนี้อยู่ได้ยังไง”
จากการลงพื้นที่สังเกตเห็นว่าระหว่างบ้านของเฮียเปี๊ยงกับตึกโรงแรมสไตล์โคโลเนียล หากวัดด้วยระยะสายตาห่างกันประมาณ 5 เมตรกว่าๆ เห็นจะได้ แม้ไม่ถูกไล่ที่แต่ครอบครัวของเขาก็เผชิญชะตากรรมที่ไม่สู้ดีนัก
“รัชกาลที่ 2 บ้านเกิดเมืองนอนเขา จะมาย่ำยีได้อย่างไร” เจ๊เกี๊ยะ กล่าว
ทีมงานได้มีโอกาสเข้าไปนั่งพูดคุยกับ เฮียเปี๊ยง - ปิยะ คลังวัฒนโชคชัย และเจ๊เกี๊ยะ น้องสาวสองพี่น้องชาวไทยเชื้อสายผู้พักริมคลองอัมพวาบริเวณศาลาริมน้ำหน้าบ้าน ขณะที่แรงงานต่างด้าวก็ทำเร่งก่อสร้างอาคารก่อเสียงดังเป็นระยะ
ครอบครัวของเขารวมทั้งชาวบ้านใกล้เคียงรอบบริเวณก่อสร้าง ล้วนเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากกรณีก่อสร้างโรงแรมดังกล่าว โดยเฉพาะมลพิษทางเสียงจากงานก่อสร้างส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย ส่งผลถึงขั้นหูดับ
“น้องสาวผมบอกหูเป็นอะไรไม่รู้ฟังไม่รู้เรื่องก็พาไปหาหมอที่ตลาดฯ หมอถามที่บ้านมีก่อสร้างหรือเปล่า เอ๊ะ..ทำไมเขารู้ ก็ให้ยาม่ากิน 5 วัน ยังไม่หายต้องไปหาหมอหูแม่กลองโดยตรง หมอก็ถามอีกที่บ้านมีก่อสร้างใช่ไหม..ทำไมไม่ไปฟ้องเอ็นจีโอ” เฮียเปี๊ยง เล่าพร้อมตัดพ้อขึ้นว่าในฐานะชาวบ้านคนเดียวจะไปต่อกรอะไรกับนายทุนใหญ่ได้ แถมชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็ยังถวิลหาความเจริญ
“คนแถวนี้เขาไม่ยินดียินร้ายถ้าเขาสร้างก็ดีเหมือนกันฉันจะได้ขายของ แล้วถ้าผมต่อต้านคนเดียวเขาบอก “แก่เนี้ยไปขัดขวางผลประโยชน์” คนเขาการท่องเที่ยวเขาจะมาทำตรงนี้ให้เจริญ เขาก็บอกดีนะ”
แรงสั่นเสทือนจนบ้านเรือนเสียหาย ต้องอาศัยอย่างหวาดวิตกเพราะเกรงส่งผลให้บ้านทรุดตัว มองไปรอบๆ สิ่งปลูกสร้างแถบนี้ต่างทำจากไม้อายุเก่าแก่ อย่างบ้านของเฮียเปี๊ยงทั้งผนังไม้หรือไม้ปูพื้นต่างเกิดรอยเลื่อน
“พอมีเรื่องโวยวายที ตอกเสาที่บ้านโยก เขามาดูเป็นตรงไหน จะมาดาม เอาไม้สนมาด้าม ..อย่างงี้ผมทำเป็น เอาไม้พาดตีตะปูเอาไม้ขวาง ทำเป็นพิธีไง
“แล้วก็อ๊อกเหล็ก แสงก็วับๆ จนอาแป๊ะบ้านฝั่งตรงข้ามเขาต้องปิดบ้านหนีเลย งานโป๊วละเอียดแล้วมันเจียดฝุ่นก็เข้ามาเนี้ย ปิดหน้าตาปิดประตูหมดก็เอาไม่อยู่”
เจ๊เกี๊ยะ น้องสาวพูดเสริมขึ้น “ทำภาษาอะไรไม่ได้หลับไม่ได้นอน เอารถเหล็กมาขน 3-4 ทุ่ม แล้วพอตีหนึ่งเอาเสาเข็มมาลง เสียงก็ดังปี๊ บ้านมันก็โยก ระหว่างตีเนื้อดินเต้นสั่นระริกๆ”
ฝุ่นละอองจากการก่อสร้างปลิ้วว่อนเข้ามาในบ้านส่งผลกระทบต่อระบบทางเดิอนหายใจ สร้างความสกปรกแก่บ้านตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าไม่ป้องกันทางเฮียเปี๊ยงเองก็มีการนำผ้าใบสีทึบมาปิดที่หน้าต่างปิดรั้วระแนงป้องกันฝุ่นเข้าบ้าน แต่ก็สู้มันไม่ได้อยู่ดี ต้องทนอยู่กับสภาพแวดล้อมอย่างนี้เป็นเวลา 1 ปีกว่านับตั้งแต่โครงการโรงแรมหรูเริ่มก่อสร้าง
เงินกองเท่าภูเขา เบียดเบียนธรรมชาติ
บ้านเรือนติดริมคลองอัมพวาส่วนมากชาวบ้านจะอยู่กันในลักษณะเช่ารายปี อาทิ ที่ดิน 2 ไร่ ก็ปลูกสร้างบ้านหลายหลังมีหลายครอบครัวที่พักอาศัยบนพื้นที่นั้นแต่เป็นเจ้าของเดียวกันทั้งหมด ครั้นนายทุนสนใจที่ดินก็มีนายหน้าเข้ามาติดต่อหากเจ้าของที่ตกลงปลงใจขาย ก็เท่ากับว่าผู้เช่าหลายหลังคาเรือนต้องย้ายออก นัยหนึ่งก็คือ โดนไล่ที่ นั้นเอง
เฮียเปี๊ยง เล่าว่าตนนั้นไม่ได้ถูกไล่ที่เหมือนเพื่อนบ้านเรือนไม้เก่าทั้ง 12 หลัง แต่บ้านที่พักอาศัยก็เช่าที่เขาอีกที แต่ทางเจ้าของที่เป็นคนใจดีมีเมตตาก็เลยยังไม่ยอมขายแม้จะมีผู้มาเสนอเงินให้กว่า 16 ล้านก็ตาม
“บ้านหลังสีฟ้า มีนายหน้ามาติดต่อถามว่า พี่ๆ ทำสวนใช่ไหมแล้ววันหนึ่งรายได้เท่าไหร่ เขาบอก อ้อ..ก็อยู่ได้ นายหน้าก็ถามมาอีกว่าสวนนี้จะขายไหม เขาบอกไม่ขายของพ่อแม่ให้ไว้ นายหน้ามันว่าไงรู้ไหม? คนแบบนี้ถ่วงความเจริญ”
เดิมนั้นริมคลองอัมพวามีสภาพเป็นสวนเป็นป่า มีต้นไม้ปกคลุมทั่วบริเวณ มีต้นลำภูใหญ่น้อยเป็นบ้านให้หิ่งห้อยได้อิงแอบ มีสวนมะพร้าวสูงชะลูดให้ลิ้มรสหวานนุ่มลิ้นอร่อยจากเนื้อและน้ำมะพร้าว ลำคลองมีกุ้ง ปู ปลา ให้ชาวบ้านได้ทำกินโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ
เกือบ 10 ปี ที่ตลาดน้ำอัมพวาอันเลื่องชื่อได้ถือกำเนิด การท่องเที่ยวโดยขายอัตลักษณ์อัมพวายังคงบูมอย่างต่อเนื่อง วิถีเก่าพายเรือขายของ บ้านเรือนไม้ริมน้ำสภาพตามกาลเวลา ความสงบร่วมเย็นของคุ้งน้ำสายเดิม เยี่ยมชมวิถีชีวิตชาวบ้าน นั่งเรือชมหิ่งห้อย ฯลฯ ล้วนเป็นจุดขายเรียกนักท่องเที่ยวจนอัมพวาป่วยเกินจะเยียวยา
ในปี 2550 วิกฤตการณ์ท่องเที่ยวอัมพวาเริ่มเด่นชัด ขณะที่ชาวบ้านส่วนหนึ่งปล่อยตัวไปตามกระแสเงินที่เข้ามากับการท่องเที่ยว แต่ชาวบ้านพื้นถิ่นอีกส่วนหนึ่งก็เริ่มต่อต้านทุนนิยมที่ใช้การท่องเที่ยวเชิงนิเวศเข้ามาบังหน้า การล่องเรือชมหิ่งห้อยยามค่ำคืน เสียงเรือยนต์ เสียงอึกทึกของนักท่องเที่ยว เป็นสาเหตุให้ชาวบ้านอดรนทนไม่ไหวตัดสินใจโค่นต้นลำพูเพื่อเลี่ยงไม่ให้การท่องเที่ยวเข้ามาคุกคาม
ไหนจะเสียงดังจากเครื่องยนต์เรือ คลื่นกัดเซาะชายฝั่ง ยังมีเรื่องของไอน้ำมันจากเครื่องยนต์เรือที่นำเที่ยว การทิ้งขยะ การปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำ ก็เป็นปัญหาที่คลองอัมพวาแบกรับตลอดมา
พื้นที่ริมเคยเป็นบ้านไม้เรียบง่ายถูกดัดแปลงเป็นโฮมสเตย์ บางก็ถูกปรับเปลี่ยนเป็นบ้านพักพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแก่นักเดินทาง ตลิ่งที่เคยเป็นสวนโดนกว้านที่ดินเก็งกำไร เกิดสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่เป็นที่ขัดหูขัดตากับธรรมชาติแวดล้อม
อัมพวาเปลี่ยนไป(ตั้งนานแล้ว)
“อัมพวา.. วันจันทร์-พฤหัสฯ เปรียบเทียบเป็นสวรรค์ แต่ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ คือนรกแท้ๆ ถ้าเทศกาลหยุดยาวนะคนเป็นหมื่น” เฮียเปี๊ยง ช่างทองแห่งอัมพวา เปรียบเปรยให้เห็นภาพในวันธรรมดาและวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เป็นวันเปิดทำการของตลาดน้ำ จะคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว พ่อค้าแม่ค้า ฯลฯ
เดินสำรวจต่อก็ยังพบชาวบ้านจำนวนหนึ่งถกถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในอัมพวา ที่สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้ทั้งคน สัตว์ และธรรมชาติ
ป้าสมคิด ชาวอัมพวาดั่งเดิมได้เปิดใจกับทีมงานด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ถึงความกังวลว่าโครงการโรงแรมหรูจะกินอาณาบริเวณที่พักอาศัยที่อยู่เยื้องไปอีกฝั่งคลอง
“กลัวอยู่นี่ เราเช่าที่ถ้าเขาไม่ทำอะไรเราก็ยังอยู่ได้ ถ้าเขาเกิดทำอะไรขึ้นมาเราก็ต้องไป ถ้าเขาให้ไปเรายังไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน”
บางทีพ่อค้าแม่ค้าที่พายเรือขายของก็เกิดทะเลาะกันเพราะแย่งลูกค้าบ้างละ ขวางทางเรือกันบ้างละ เรื่องเงินเรื่องทองทำให้วิถีคนที่นี่เปลี่ยนไปจริงๆ
หญิงสาวอีกคนหนึ่ง ผู้พักอยู่ตรงข้ามโครงการใหญ่ เล่าขึ้นว่า บ้านของตนร่มรื่นข้างบ้านยังมีลำพูต้นเล็กๆ เป็นพื้นที่ให้สรรพสัตว์สร้างสมดุลตามระบบนิเวศ
“ลงจากบ้านยังมี นกแซก นกฮูกบิน บินผ่านตลอด แล้วถ้าโรงแรมขึ้นแสงสว่างกระจ่างจ้า ไม่มีทางเห็นได้แน่”
ผู้หญิงเชื้อสายจีนชาวอัมพวา พูดเสริมขึ้น “เมื่อก่อนจับหอยจับปูจับปลากินกันเลยละ แต่เดี๋ยวนี้ฝาหอยยังไม่มีเลย สมัยก่อนตกเย็นนั่งคุยกันหน้าบ้าน งมกุ้งงมหอยกันไป”
เป็นเวลานาน ที่สัตว์นานาชนิดได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่นเดียวกันทรัพยากรธรรมชาติก็รุกรานเสียจนเหลือน้อยเต็มที่ ซึ่งถ้าสำรวจกันจริงๆ ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็กลายเป็นคนอัมพวาพลัดถิ่นไปแล้ว
ส่วนที่ยังอยู่ก็อยู่แบบกังวลเพราะไม่รู้ว่าวันดีคืนนี้ใครจะมาไล่ที่ไล่ทางพวกเขาหรือไม่
“ความเจริญมันไม่ได้สร้างให้คนเจริญไปด้วย มันเจริญแต่วัตถุ..แต่จิตใจต่ำชิบหาย” คำกล่าวทิ้งท้ายของ เจ๊เกี๊ยะ ชาวบ้านริมคลองอัมพวา
...........................................
ตลาดน้ำอัมพวา ไม่ใช่บทเรียนแรกของความเละเทอะในการจัดการการท่องเที่ยวของประเทศไทย ไม่รู้ในส่วนของการท่องเที่ยวจะไปบูมที่ใดอีกแต่สิ่งที่ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องเร่งทำอย่างจริงจังเสียที คือการวางแผนงานสร้างข้อตกลงระหว่างภาครัฐ เอกชน และชาวบ้าน ให้อยู่ร่วมกันในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างเข้าใจและเห็นใจกัน ทุกพื้นที่มีเรื่องราวมีความเป็นมาอย่ารุกรานชาวบ้าน อย่าทำลายวิถีธรรมชาติ แนวคิด ‘การท่องเที่ยวอย่างยั้งยืน’ ช่วยทำให้เป็นรูปธรรมเสียที
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE
…..................
ขอบคุณภาพประกอบจาก sky report ch3, แฟนเพจประชาคมคนรักแม่กลอง, pig-o-nine และอื่นๆ