xs
xsm
sm
md
lg

“มิว - ลักษณ์นารา เปี้ยทา” เงือกน้อยจอมแก่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แม้ละครเรื่อง รักนี้หัวใจมีครีบ จะเป็นละครตอนเย็น ทว่ากลับโกยเรตติ้งและความนิยมไปได้อย่างไม่ธรรมดา เหตุผลหนึ่งก็อาจจะมาจากความน่ารักของนางเอกตัวชูโรงของเรื่องอย่าง “มิว - ลักษณ์นารา เปี้ยทา”

หลังจากละคร วนาลี พาเธอสวมบทบาทสาวน้อยในป่าใหญ่พิชิตใจเสือมืดที่รับบทโดยพระเอกสุดเข้มอย่าง ป๋อ ณัฐวุติ สะกิดใจจนโด่งดังไปทั่วเมือง มาวันนี้ละครเรื่องใหม่พาเธอด่ำดิ่งลงกลางทะเลรับบทเป็นนางเงือก สิ่งมีชีวิตลี้ลับใต้ทะเลที่เต็มไปด้วยตำนาน เรื่องเล่าขาน และเสน่ห์อันน่าค้นหา

ในบทบาทเฉพาะตัวของนางเงื่อกที่ต้องพูดเป็นกลอน ดื่มน้ำใส่เกลือ และกินสาหร่ายเป็นประจำ ทำให้เมื่อละครออนแอร์และเริ่มเป็นกระแสพูดถึง สิ่งที่เกิดขึ้นคือมีเด็กๆ หลายคนซื้อสาหร่ายมาฝากเธอ

เราจึงนัดเธอมาพูดคุยถึงชีวิตช่วงที่ผ่านมา เธอยังคงน่ารักสมวัย แถมยังเต็มไปด้วยเสน่ห์น่าค้นหาแบบนางเงือกอีกด้วย

ยิมนาสติกสาวตีลังกาชีวิต

สิ่งหนึ่งที่เธอต้องเลือกเมื่อเข้าวงการก็คือการตัดใจจากกีฬายิมนาสติกที่เธอเล่นมาตั้งแต่ 9 ขวบ กีฬาที่เธอตัดสินใจเริ่มเล่นด้วยความชอบในชุดสวยมีสีสันปักเลื่อมระยิบระยับ และต้องเผชิญกับความเจ็บปวดของการดัดตัว ผ่านคืนวันของการฝึกซ้อม แม้จะเริ่มต้นในช่วงวัยที่ช้ากว่าคนอื่นๆ(ในกีฬายิมนาสติก) แต่เธอก็ทำได้ดีจนสามารถเป็นนักกีฬาเขตสมุทรปราการ

“มิวเรียนยิมนาสติกลีลา ใช้อุปกรณ์ ใช้ความอ่อนช้อย อ่อนตัว มีริบบิ้น บอล คทา ห่วง เชือก ต้องเล่นให้ได้ครบทุกอุปกรณ์ เรียนตั้งแต่ 9 ขวบ เรียนเพราะชุดค่ะ ปักเลื่อม วิ้งๆ แว้บๆ มันดูเด่นๆ ก็ชอบเลยไปเรียน ตอนนั้นตัวไม่อ่อนเลย โดนดัดตัวทีก็ร้องไห้ เจ็บมาก เรียนมาได้ประมาณ 4-5 ปีถึงจะชอบ แต่ยอมรับว่าหนัก ต้องคุมน้ำหนักตลอดเวลา กินช็อกโกแลตไม่ได้ กินของที่เราชอบไม่ได้ แล้วยังต้องดัดตัวอีก”

แต่เธอก็ต้องตัดใจเลิกเล่นเมื่อรับงานละครอย่างเต็มตัว ด้วยเพราะการเรียน งานละคร และยิมนาสติกเป็นสิ่งที่หากจะทำให้ได้ดี จำเป็นต้องทุ่มเทเวลาให้อย่างเต็มที่

“ตอนนั้นก็เสียดายอยู่ เพราะเล่นมาหลายปี แต่การจะรับงานละครไปด้วย เรียนไปด้วย และยังเล่นยิมนาสติกไปด้วย ถ้าจะทำให้ดีทั้งสามอย่างมิวต้องให้เวลากับมัน ทุ่มเทสมาธิกับมันอย่างเต็มที่ ก็เลยจำเป็นต้องเลือก”

ย้อนกลับไปถึงการก้าวเข้าวงการอย่างเต็มตัวครั้งแรกจากการได้รับบทนางเอกในวนาลี เธอก็ได้รับการคัดเลือกจากความโดดเด่นของการเป็นนักกีฬายิมนาสติกที่เปี่ยมความสามารถจนผู้ใหญ่สนใจ

“จริงๆ มิวเข้าวงการมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบแล้วค่ะ เคยถ่ายโฆษณามาก่อน มิวไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาเป็นดารา เพราะอยู่ในวงการโฆษณามาตลอด ไม่เคยคิดว่าจะก้าวกระโดดไปอีกขั้น แต่มีโฆษณาตัวหนึ่งของนมไทยเดนมาร์ค ทางพี่เอ(ศุภชัย ศรีวิจิตร) เห็นมิวแล้วเขาชอบก็เลยเรียกมิวให้เข้าไปดูตัว แล้วก็ให้มาเซ็นสัญญา พอรู้ว่าจะได้มาเล่นละคร ตอนแรกมิวก็ลังเล ปรึกษากับคุณแม่ว่าจะเล่นดีไหม”

จากผลตอบรับของ วนาลี ก็บอกได้แล้วว่าเธอเลือกไม่ผิด ส่วนหนึ่งที่ละครประสบความสำเร็จอาจมาจากที่บทบาทของสาวจอมแก่นในวนาลีตรงกับตัวตนเธอ เป็นนางเอกจอมแก่นที่ขโมยหัวใจของใครหลายคนไปแล้ว

“บทวิชชุดาในเรื่องวนาลีเป็นตัวหนูมากเลยค่ะ”

สังเกตจากการพูดคุยดูเธอจะเป็นเด็กที่ชัดเจนในเรื่องของความคิด ความชอบ และตัดสินใจทำอะไรได้ดี ไม่ได้ติดเที่ยวเล่นจนเกินไปเหมือนเด็กวัยเดียวกัน แต่เธอกลับบอกกับเราว่าเธอเป็นคนที่มีหลากหลายอารมณ์มาก นิสัยที่ไม่ดีก็ยังมีอยู่ แต่ก็พยายามปรับตัว แก้ไขนิสัยที่ไม่ดี เพราะต้องทำงาน และมีอะไรให้รับผิดชอบมากขึ้น

“ในหนึ่งวันมิวจะมีประมาณ 5 อารมณ์ได้ บางทีก็จะเป็นเด็ก อยากได้อะไรก็ต้องได้ บางทีก็เอาแต่ใจตัวเองยอมรับว่าเป็นคนนิสัยไม่ค่อยเวิร์กเท่าไหร่ ด้วยความที่แม่คอยดูแลมาตั้งแต่เด็ก เราอยากได้อะไรก็ต้องได้ พอโตมามันไม่ได้ ก็มีงอนๆ แม่นิดหนึ่ง เดี๋ยวนี้มิวก็พยายามปรับตัวไม่ค่อยเป็นแล้ว เพราะคิดว่าถ้าเรานิสัยแบบนี้คงไม่เวิร์กแน่ๆ ก็เลย เวลาที่มิวอยากได้อะไร แล้วถ้ามันไม่ได้จริงๆ ก็พยายามนึกว่าถ้าเราได้มาแล้วเราจะเอาไปทำอะไร อย่างอยากได้ของที่มันไม่จำเป็น มิวจะเหมือนเด็กไม่รู้จักโต”

กลายเป็นสาวขยัน

สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงตัวเธออย่างมหาศาลหลังจากละครเรื่องวนาลี ก็คือเธอกลายเป็นขยันขึ้นมาทันที ด้วยเพราะเวลา 8 เดือน ของละครเรื่องนั้น ทำให้เธอต้องตามบทเรียนจากเพื่อนๆ กองสมุดโน้ตของการเพื่อน และคะแนนของอาจารย์ที่ต้องตามเก็บรอคอยเธออยู่ เป็นช่วงชีวิตวุ่นวายไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว

“พอกลับมาจากถ่ายละคร เพื่อนจะมากองเป็นปึ๊งๆ เลย นี่จดไว้ให้นะ ก็ต้องตามงานต้องขยันขึ้นทันที”

อีกสิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือความเป็นห่วงของครอบครัว จากปกติที่บ้านเธอจะไม่ได้คอยตามรับ-ส่ง โดยให้กลับบ้านเองตั้งแต่ ป.2 ด้วยเพราะโรงเรียนใกล้บ้าน และมีรถเยอะที่กลับถึงบ้าน

“แม่มิวจะเลี้ยงแบบปล่อย ถ้าคุณดูแลตัวเองได้ ก็อยู่ไป แต่ถ้าไม่ไหวก็มาหาเราได้ ดูอยู่ห่างๆ แต่ก็มีกฎเกณฑ์ ไปไหนบอกก่อน กลับให้ตรงเวลา ถ้าทำผิดก็อย่าหวังว่าจะได้ไปที่อื่นอีก เราก็ต้องให้ความเชื่อใจเขา ที่บ้านก็จะเชื่อใจเรา”

ด้วยความที่มิวยังเด็กเมื่อเข้ามาทำงานในวงการ จึงเป็นเรื่องปกติที่ทางบ้านจะเป็นห่วง

“เขาจะบอกว่าถ้าจะอยู่ในวงการนี้ต้องมีความรับผิดชอบ พยายามให้ดูดารารุ่นพี่เป็นตัวอย่าง”

บางทีถ่ายละครเสร็จดึกๆ พ่อก็มานั่งรอหน้าบ้าน โทร.ตาม เมื่อไหร่กลับ? เวลาไปเที่ยวต้องขออนุญาตล่วงหน้า รอท่านตัดสินใจว่าจะให้ไปหรือเปล่า เวลาไปไหนก็ต้องบอกว่ากลับกี่โมง ตรงเวลา
นอกจากเวลาเรียนที่สามารถหยุดได้เกินจากที่กำหนดไว้ เป็นสิทธิพิเศษที่โรงเรียนให้การสนับสนุน ส่วนหนึ่งก็เพราะรายได้จากการแสดงละครก็เป็นส่วนสำคัญที่มาจุนเจือครอบครัวด้วย เพราะตอนนั้นพ่อแม่ของเธอก็มีรายได้เพียงวันละ 1000 - 2000 บาท

“ตอนนี้มิวเป็นคนที่หาเงินได้เยอะที่สุดในบ้าน มาถ่ายละครก็ได้เงินเป็นก้อนใหญ่ๆ พ่อแม่ทำอาชีพค้าขายก็ได้ประมาณ 1,000 - 2,000 บาทต่อวัน ซึ่งมันก็ไม่พอแน่ๆ สำหรับเดือนหนึ่งที่จะเลี้ยงคน 4 คน ด้วยความที่เรายังเป็นเด็กอายุแค่นี้ เรายังต้องการได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่อยู่ แต่นี่กลายเป็นว่ามิวต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ บางทีเขาก็มานั่งคุย แล้วบอกว่าขอโทษที่ต้องให้ลูกช่วยขนาดนี้ มิวก็บอกว่าไม่ต้องขอโทษเราเลย เราเต็มใจ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องตอบแทนท่านบ้าง เราดีใจมากที่เห็นแม่ยิ้มกับความสำเร็จของเรา”

ด้วยสิทธิพิเศษในการหยุดเรียนเพื่อไปทำงาน ยิ่งทำให้เธอทำตัวเรียบร้อย และรักษาผลการเรียนเพื่อให้เป็นแบบอย่างไม่ให้ใครพูดได้ว่าเป็นดาราแล้วจะทำอะไรก็ได้

“อยู่โรงเรียนมิวจะเป็นคนที่เรียบร้อย ติ๋มๆ เงียบๆ เหมือนเด็กเรียน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ คือจะไม่ทำผิดกฎโรงเรียน เพราะว่าเราได้สิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ถ้าทำตัวผิดระเบียบมันจะดูเหมือนเราแรงแล้ว เหมือนคิดว่าเป็นดาราแล้วทำได้ทุกอย่างเหรอ”

แล้วเธอก็เลือกเรียนสายศิลป์ภาษาญี่ปุ่น เพราะเธอตั้งใจว่าจะเป็นแอร์โฮสเตสให้ได้

“หัวหนูมันไม่ค่อยเก่งด้านวิชาการ แต่ก็ชอบพวกภาษา เรียนแล้วมันเก่ง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเข้าคณะอักษรฯ แต่ก็มีความคิดว่าอยากจะเป็นช่างทำขนมปังอยู่เหมือนกัน เพราะพี่สาวเรียนอยู่ก็เร็วๆนี้พี่สาวเรียยจบด้านนี้ เร็วๆนี้ก็คงมีโอกาสได้ลองทำขนมบ้าง”

แต่บุคลิกห้าวๆ ลุยๆ ก็คือตัวเธอมาตั้งแต่เด็กแล้ว และฉายชัดออกมาในชีวิตริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีวีรกรรมซุกซนมากมายของเธอซุกซ่อนอยู่ ทั้งปีนต้นไม้ ว่ายน้ำ วิ่งเล่นก่อวีรกรรมแทบจะไม่เว้นวัน

“ตอนเด็กๆ จะดื้อ แต่พอโตขึ้นก็ไม่ค่อยดื้อ แต่จะออกแนวงี่เง่ามากกว่า บางทีตอนเช้าๆ เราเหนื่อยกลับมาจากถ่ายละคร ตี 1-2 ตอนเช้าต้องตื่นไปเรียนอีก ช่วงนั้นมันเหนื่อยมาก ไม่ไหวแล้ว แบตฯ หมด ขอแม่หยุดเรียนได้ไหม แม่บอกไม่ได้ เดี๋ยวเรียนไม่ทัน มิวก็งอนแม่ ไปเรียนก็ได้ แต่แม่โทร.มาก็ไม่รับนะ งอนอยู่”

วันหยุดก็จะไปเล่นที่สวนสาธารณะ ใกล้ๆ บ้าน พายเรือ ถีบเรือเล่น ปั่นจักรยาน บางทีก็อยู่บ้านอ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูการ์ตูน มีบ้างที่ไปเที่ยวกับเพื่อน

และด้วยความเป็นบ้านอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พ่อแม่สอนว่า เธอเป็นลูกเจ้าพระยา ดังนั้น ต้องว่ายน้ำให้เป็น เธอจึงถูกฝึกให้ว่ายน้ำตั้งแต่เล็ก และเธอก็สนุกไปกับการเล่นน้ำ ทั้งเล่นกับพี่สาว กับเพื่อนๆ ที่เป็นลูกเจ้าพระยาเหมือนกัน

“ตอนเด็กก็ใช้ห่วงยาง เล่นสนุกๆ พ่อแม่ก็มาเล่นด้วยบ้าง แต่น้อยมากที่จะเล่นพร้อมกัน เพราะถ้าพ่อมาเล่นด้วย แม่จะอยู่บนท่าคอยดูความปลอดภัย แล้วถ้าแม่ลงมาเล่น พ่อก็จะคอยดูแทน”

เธอไม่เคยเรียนว่ายน้ำอย่างจริงจัง แต่เธอก็ชอบว่ายน้ำมากจนได้เป็นนักกีฬาระดับโรงเรียน และการได้มารับบทเป็นนางเงือกก็ดูจะเหมาะสมกับเธอ จากที่เธอว่ายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาทำให้เธอรู้ว่า กระแสของน้ำเป็นอย่างไร วันไหนลงเล่นน้ำได้ ถ้าน้ำลงมาจากทางเหนือจะเป็นน้ำขุ่นๆ เหมือนน้ำโอวัลตินก็เล่นไม่ได้ บางวันเป็นวันที่มีการระบายน้ำหลายวัน น้ำที่ขุ่นๆ ก็จะหายไป วันนั้นเธอจะเล่นน้ำได้

อาจด้วยเหตุผลนี้ที่ทำให้เธอสามารถรับบทนางเงือกที่ต้องคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอยู่ในสายน้ำได้

นางเงือกน้อย 'มีนานุช'

หาก 'วิชชุดา' ที่แสนแก่นแก้วในวนาลีเป็นบทบาทที่ตรงกับตัวเธอที่สุด 'มีนานุช' ในละครเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้าม ด้วยบทบาทที่เรียบร้อยใสซื่อออกจะขี้กลัวนิดๆที่ไม่เหมือนกับตัวเธอเลยแม้แต่น้อย จนแรกๆ ที่อ่านบทเธอก็ไม่เข้าใจการตัดสินใจของตัวละครเหมือนกัน

“เรื่องนี้ต้องทำการบ้านหนักค่ะ ต้องอ่านบทหลายๆ รอบ ทำความเข้าใจกับตัวมีนานุช เพราะคาร์แลกเตอร์จะไม่ตรงกับตัวมิวเลย มิวเป็นคนห้าวๆ ลุยๆ แต่มีนานุชจะเรียบร้อย ใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรเลย เพราะเขามาจากเมืองที่ไม่มีการโกหก ไม่มีการหลอกลวงกัน เขาจึงเป็นแบบนั้น”

ความท้าทายอีกอย่างหนึ่งคือ การพูดเป็นกลอน อาจด้วยเพราะนางเงือกมีปรากฏตัวอยู่ในวรรณคดีไทยอย่างเรื่องพระอภัยมณี จึงเป็นไปได้ที่จะมีการพูดจาแตกต่างไปมนุษย์ทั่วไป จนมาเป็นบทกลอนที่เป็นเอกลักษณ์อันเป็นสีสันอย่างหนึ่งของเรื่อง

“โอ้ผืนน้ำท้องนทีที่เสนรัก เป็นประจักษ์พยานใจให้รู้ว่า
รักของเรายิ่งใหญ่ในธารา จึงนำพาตัวข้ามาเจอใจ”

มิวเอ่ยบทกลอนในท้องเรื่องที่ยังจำได้ขึ้นใจ โดยในเรื่องเธอจะพูดเป็นบทกลอนเฉพาะตอนอยู่กับนางเงือกพี่สาว มัสยาที่รับบทโดย แหม่ม - วิชุดา พินดั้ม

“พี่แหม่มนี่สนิทกันมาก ได้เจอกันก่อนที่จะเปิดกล้องด้วยซ้ำ เพราะว่าต้องไปหล่อหางด้วยกัน แล้วต้องซ้อมใส่หางด้วยกันอีกก็จะสนิทกันมาก สนิทกันตั้งแต่ก่อนเปิดกล้องแล้ว คอยคุยกัน แล้วพี่แหม่มก็จะคอยให้คำปรึกษาว่า มิวพี่มีทริกนะ ลองว่ายแบบนี้สิ พี่แหม่มก็จะคอยให้คำปรึกษา ทริกต่างๆ ในการแสดงด้วย

“การแสดงต้องยกนิ้วให้พี่แหม่มเลย เก่งมากๆ เวลาเจอกับพี่แหม่มด้วยพูดเป็นกลอน แล้วพี่แหม่มจำเก่งมาก มิวความจำก็โอเค กลอนมิวยาว ประมาณสัก4 - 6บรรทัดก็จะรู้สึกจะต้องจำบทในหัวให้ได้ จนบางทีลืมแอ็กติ้ง แต่ของพี่แหม่มไม่ว่าพี่เขาจะพูดผิดพูดถูกเขาก็จะยังคงแอ็กติ้งไว้ บางทีถึงพี่เขาพูดกลอนผิดแต่มันก็ได้ เพราะแอ็กติ้งพี่เขามันให้ แต่มิวลืมแอ็กติ้วเพราะมัวแต่คิดบทในหัวว่าต่อไปจะต้องพูดอะไร พี่แหม่มก็บอกไม่ต้องเครียดหรอก ท่องๆไปเลย ถึงตอนนั้นมันก็ผุดๆ ออกมาเอง”

หางนางเงือกนั้นเป็นสิ่งแปลกใหม่อย่างหนึ่งของละครเรื่องนี้และมันมีราคาแพงถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท! ด้วยความประณีตทั้งครีบหางที่พลิ้วไหว เกล็ดและสีสันที่ดูสมจริง รวมไปถึงการใช้งานที่หล่อแบบมาเพื่อสวมใส่เฉพาะคน ทำให้แม้จะได้เห็นแค่ตัวอย่างของละคร ก็ทำให้ได้ภาพออกมาราวกับว่ามีนางเงือกแหวกว่ายอยู่ในน้ำจริงๆ

อย่างไรก็ตาม แม้มีหางที่สมจริง แต่การที่อยู่ๆ ขาคนจะกลายเป็นหางนางเงือกเพื่อแหวกว่ายน้ำได้นั้น ก็ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ

“ต้องเตรียมการเยอะเลยคะ ต้องถ่ายใต้น้ำจริงๆ ก็ต้องว่ายโดยที่ไม่มีอากาศหายใจใต้น้ำ ต้องถ่ายใต้น้ำแล้วไปเอาออกซิเจนข้างล่าง แล้วก็ต้องมีการฝึกฝนไปเรียนคอร์สดำน้ำด้วย ไปฝึกเรียนดำน้ำด้วยนิดหนึ่ง โดยส่วนตัวมิวจะชอบดำน้ำมากกว่าว่ายน้ำอยู่แล้ว ปกติก็จะดำเล่นๆ แต่งานนี้ก็ต้องไปเรียนดำน้ำแบบใช้ถังออกซิเจนจริงๆ ต้องใช้ถังใต้น้ำด้วย ต้องฝึกใช้เครื่องมือช่วยหายใจใต้น้ำ หนึ่งวันก็ไปฝึกหลายรอบ ฝึกสักสาม - สี่วัน แล้วอีกอาทิตย์ก็ค่อยเริ่มมีการถ่ายทำใต้น้ำจริงๆ ต้องฝึกการใช้หางควบคู่ไปด้วยว่ามันจะได้มั้ย จะไหวมั้ย”

การถ่ายทำใต้น้ำนั้นถือว่ามีความเสี่ยงอยู่พอสมควร แต่ในกองถ่ายก็มีนักดำน้ำมืออาชีพคอยดูแลความปลอดภัย การถ่ายทำจึงเป็นไปอย่างราบรื่น ยิ่งเธอเป็นคนชอบเล่นน้ำอยู่แล้ว ทำให้ทุกฉากที่ได้ใส่หางนางเงือกเธอจะรู้สึกดีเป็นพิเศษ

“มิวเป็นคนชอบเล่นน้ำ เวลาฉากไหนมีให้ได้ลงน้ำก็จะรู้สึกดี๊ด๊าเป็นพิเศษ ก็จะประทับใจแทบทุกฉากที่ได้เป็นนางเงือก”

วิธีการทำงานของผู้กำกับอ๊อด - บัณฑิต ทองดีก็มีส่วนช่วยในด้านกรพัฒนาการแสดงของเธอด้วย โดยเขาจะให้เธอคิดตีความบทและแสดงออกมาเอง

“ถ้าเป็นเรื่องที่แล้ว ผู้กำกับจะอธิบายชัดเจนว่าอยากได้แบบไหน แต่พี่อ็อดเขาจะสบายๆ จะเปิดให้เราลองเล่นดูก่อนว่าเป็นแบบไหนถ้าได้เขาก็เอาเลย แต่ถ้าเขาอยากได้แบบไหน เขาก็จะเพิ่มเติมอีกที เป็นผู้กำกับที่ทำงานจริงจังแต่ก็ทำให้บรรยากาศการถ่ายทำไม่ซีเรียส ค่อนข้างเป็นคนตลกเลย”

ส่วนพระเอกของเรื่องอย่างป๊อป - ฐากูร การทิพย์ก็เป็นพี่ชายในกองถ่ายที่คอยดูแลเป็นอย่างดี ดูเหมือนการถ่ายทำทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี แต่แล้วก็มีฉากหนึ่งที่เธอต้องว่ายน้ำในชุดนางเงือกอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยฉากที่อยู่ท่ามกลางท่าเรือที่มีคลื่นแรง ทั้งยังเป็นช่วงน้ำขึ้นที่กระแสน้ำเอาแน่เอานอนไม่ได้ เธอต้องเข้าฉากนั้นด้วยตัวเอง เพราะหางนางเงือกที่ทำมานั้นนักแสดงแทนไม่สามารถจะใส่ได้พอดี

“มันหล่อมาสำหรับขาหนู พี่สตั๊นต์เขาเลยใส่ไม่ได้ ก็เลยต้องเล่นเอง ตอนนั้นก็รู้สึกกลัว กลัวมากๆ เลย แล้วคือบ้านมิวติดอยู่กับแม่น้ำเจ้าพระยา มิวก็รู้อยู่แล้วว่ากระแสน้ำเจ้าพระยามันเป็นแบบไหน จะขึ้นจะลงแบบไหน มิวรู้อยู่แล้ว แต่ช่วงที่มิวไปถ่ายมันเป็นช่วงน้ำขึ้น กระแสน้ำมันจะเปลี่ยนตลอดเวลา แล้วมันจะแรงบ้างเบาบ้าง แต่ส่วนใหญ่มันจะแรงเสียมากกว่า และที่มิวไปถ่ายมันเป็นท่าเรือหลักที่คนเยอะๆ”

ท่ามกลางกระแสน้ำ และทีมงานต่างลุ้นระทึก จากกล้องมุมกว้างทำให้ทีมช่วยเหลือต้องอยู่ห่างๆ แล้วช่วงนาทีที่ลุ้นระทึกก็ผ่านพ้นไป เธอผ่านพ้นฉากนั้นมาได้ด้วยดี มาถึงตอนนี้เมื่อละครออนแอร์ ผลตอบรับที่แฟนคลับกลุ่มเด็กๆ เอาสาหร่ายมาให้เธอ ในฐานะที่เธอเป็นนางเงื่อกสำหรับพวกเขาก็ไม่ทำให้เธอผิดหวังที่ได้ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่

ชื่อจริง : ลักษณ์นารา เปี้ยทา
ชื่อเล่น : มิว
เกิดวันที่ : 16 สิงหาคม พ.ศ. 2538
อายุ : 16 ปี
การศึกษา : กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์


ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์

ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน

ขอบคุณภาพจาก www.facebook.com/laknaraclub










กำลังโหลดความคิดเห็น