xs
xsm
sm
md
lg

ถอดรูปนางตัวดำ ผีเจ้าหอมจันทร์ “กุ๊กกิ๊ก - กชนันท์ นุตบันเทิง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โผล่ออกมาให้เห็นหน้าแค่ไม่กี่ฉากของละครโศกนาฏกรรมรักสยอง “บ่วง” แต่ก็แย่งซีนนักแสดงคนอื่นได้ไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับผีสาวรูปชั่วเพราะตัวดำ “เจ้าหอมจันทร์” ที่แม้จะเคลือบตัวเสียจนดำปิ๊ดปี๋ประหนึ่งก้อนถ่าน แต่คนตามีแววทั้งหลายยังมองเห็นทะลุว่าเธองามหยดย้อยขนาดไหน ซึ่งเมื่อถอดรูปออกมาก็จริงอย่างว่า เพราะเธอกุ๊กกิ๊ก - กชนันท์ นุตบันเทิง ได้ปรากฏโฉมสาวงามให้เราเห็น จนใครๆคงนึกเปลี่ยนใจอยากจะพุ่งใส่ผีสาวเจ้าเสน่ห์คนนี้แทน

เผยโฉม “เจ้าหอมจันทร์” ผีสาวดำขำ
กระแสละครเรื่องบ่วงในอินเทอร์เน็ตถือว่าแรงแล้ว แต่กระแสเรื่องคนแสดงแรงกว่า เมื่อทุกคนบนโลกอินเทอร์เน็ตต่างถามหาว่า เจ้าหอมจันทร์ เวอร์ชั่นนางตัวดำคนนี้เป็นใคร เพราะสะดุดในความสวยสง่าของเธอที่ความดำก็ทำร้ายไม่ได้ แล้วก็ได้พบตัวกับ “กุ๊กกิ๊ก - กชนันท์ นุตบันเทิง” สาวพราวเสน่ห์ ที่มารับบทบาทนี้ โดยต้องขอยิงคำถามคาใจก่อนเลยว่า ทำไม๊ ทำไม ถึงมารับบทผีสาวตัวดำอย่างนี้

“ต้องบอกก่อนว่าเจ้าหอมจันทร์ไม่ใช่ผีนะคะ เป็นเจ้าที่สวยมีเสน่ห์ แต่ในเรื่องคือแพงเรียกออกมาทำของไม่ดี ก็เลยออกมาในปางดำ ซึ่งตัวแสดงเจ้าหอมจันทร์เค้าต้องเลือกคนที่แต่งดำทั้งหมดแต่ยังคงความสวยอยู่
ส่วนที่เลือกรับบทนี้เพราะภาควิชา (ภาควิชาศิลปะการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ) สอนกุ๊กกิ๊กมาว่าคุณเป็นนักแสดง คุณไม่ใช่ดารา นักแสดงที่ดีคือคนที่เล่นได้ทุกบทบาท สมัยเรียนกุ๊กกิ๊กก็ได้เล่นเหมือนกันเป็นละครเวที เราต้องเล่นได้ทุกบท ไม่ว่าจะเล่นเป็นคนบ้า ผู้ป่วย เป็นคนฟันหลอ พิการ หรือห้ามแต่งหน้า อะไรก็ได้ คุณเป็นนักแสดง คุณต้องเล่นได้หมดทุกบทบาท แล้วกุ๊กกิ๊กไม่ใช่คนเก่งเรื่องบท แสดงบทอะไรก็ได้ แต่โป๊ เอ๊กซ์ เซ็กส์ เปลือยนี่ไม่รับ แต่บทธรรมดาบทไหนก็รับหมด คือเรารักในการแสดง แล้วเราเรียกตัวเองว่านักแสดง

อีกคำถามที่ไม่ถามไม่ได้ เพราะคิดว่าหลายคนคงสงสัยเหมือนกันว่า ต้องทาดำตรงส่วนไหนบ้าง ทุกส่วนสัดเลยหรือเปล่า สาวกุ๊กกิ๊กก็ตอบแบบอารมณ์ดีว่า ไม่ทุกส่วนนะคะ
“อ๋อ จะทาเฉพาะหน้าอกขึ้นไป ใต้ผ้าจะไม่ทาค่ะ ที่ใช้ทามันจะเป็นครีมสีดำๆเหมือนครีมทาผิว ใช้เวลาทาเกือบสองชั่วโมง แล้วตอนล้างก็ล้างออกยากมาก ขนาดใช้กระดาษเช็ดก่อนแล้วค่อยมาอาบน้ำ แต่ล้างยังไงก็ออดกไม่หมด มันติดตามซอกต่างๆ ซอกหู ตามรูขุมขน ก็ต้องไปขัดผิวกันอีกรอบ ซึ่งในส่วนของกุ๊กกิ๊กก็จะมีถ่ายแค่สามวันค่ะ”

หลงใหลในงานบันเทิง
หลังหมดข้อสงสัยแล้ว ก็หันกลับมาคุยแบบกันเองดีกว่า มาทำความรู้จักกับสาวเลือดนักแสดงตัวจริงให้มากขึ้น โดยเฉพาะที่เธอแอบกระซิบไว้ตั้งแต่แรก ว่าเธอนั้นมีหลายอาชีพมาก แล้วก็ทำได้ทุกอย่าง ซึ่งใครจะไปนึกล่ะว่าที่แท้เราน่าจะเคยเห็นหน้าเธอผ่านตามาแล้ว เพียงแต่นึกไม่ออกก็เท่านั้นเอง เพราะเธอโลดแล่นในวงการนี้มาเป็นสิบปีแล้ว

“จริงๆ กุ๊กกิ๊กเข้าวงการตั้งแต่อายุ 15 ตอนนั้นมีรายการ Teen Talk ทางช่อง 5 ของเครือแกรมมี่ มันจะมีช่วงคุณขอมา อยากเป็นอยากทำอะไรจัดให้ กุ๊กกิ๊กก็เขียนจดหมายไปว่าอยากเป็นนางแบบ พิธีกร แล้วเขาก็ให้เราไปเป็นนางแบบรับเชิญร่วมกับพิธีกรรายการตอนนั้นก็จะมี ลีโอ พุฒิ, อ้น ศรีพรรณ เสร็จแล้วทีมงานเขาสนใจเรา ก็เลยติดต่อมาให้คุยกับพี่โย - ภิญโญ รู้ธรรม เราก็เซ็นสัญญาแล้วก็เข้ามาเป็นพิธีกรของรายการ Teen Talk เป็นช่วงสั้นๆ ห้านาที สิบนาทีจบ

จนผ่านไปสองปีกุ๊กกิ๊กอายุ 17 พี่ที่คอยดูแลเราใน Teen Talk ก็แนะนำให้ไปประกวด Ford Supermodel 2001 ซึ่ง Ford นี่เป็นโมเดลลิ่งอยู่ที่นิวยอร์ค เขาจะคัดคนไทยไปเหมือนการประกวด Miss Universe กุ๊กกิ๊กก็ติด 1 ใน12 ได้โอกาสไปเดินแบบ ถ่ายแบบที่นู่น ซึ่งรุ่นเดียวกัน 12 คนนั้นถ้าพูดชื่อไปก็รู้จักแน่นอนมี ซาร่า บอลล์, คาร่า พอตเตอร์, เอเลี่ยน พอหลังประกวด Ford ก็เริ่มเข้าสู่วงการเดินแบบ ถ่ายแบบ”

อีกหนึ่งป้ายห้อยท้ายสาวคมขำคนนี้คือ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จากเวที Sexy Leo Girl ปี 2007 ด้วย ก็เลยอดแซวไม่ได้ว่าเธอคนนี้เป็นผู้หญิงสวยแซ่บครบรสจริงๆ โดยเธอก็เล่าให้ฟังว่าเพราะประโยคเด็ดที่ว่า เวทีนี้ เซกซี่แบบมีสมอง สาวกุ๊กกิ๊กจึงตกปากรับคำที่จะลงแข่งเวทีนี้

“ตอนนั้นกุ๊กกิ๊กอายุ 21 มีพี่คนนึงแนะนำให้ลองไปประกวด เค้าบอกว่าเวทีนี้ไม่มีใส่ชุดว่ายน้ำ ไม่มีตอบคำถามเรื่องเซ็กส์ เรื่องบนเตียง เวทีนี้คือเซกซี่แบบมีสมอง มีคุณค่า ไม่ใช่มานั่งแหก แหวกหน้าอก คือคำว่าเซกซี่ของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันนะ ส่วนมากผู้ชายจะมองแค่เรื่องเปลือย หน้าอกใหญ่ แต่อย่างพี่ลูกเกดต่อให้ใส่ปิดมิดก็ยังดูเซกซี่
พอดูแล้วว่ามันไม่โป๊ ไม่น่าเกลียด เราก็เลยโอเค ตัดสินใจประกวดก็ได้เข้ารอบ 7 คน พอรอบสุดท้ายเหมือนกับว่าเวทีนี้ช่วยทำความฝันให้เป็นจริง ทำให้เราได้เป็นนักร้องได้จัดคอนเสิร์ต วันนั้นก็จัดที่มูนสตาร์ สตูดิโอ กุ๊กกิ๊กได้โชว์เต้น Baby Boy แล้วทุกคนก็เชียร์ ซึ่งเราไม่ใช่คนร้องเพลงเก่ง แล้วเราได้โอกาสมาทำอะไรแบบนี้ มันเป็นความประทับใจที่ดีมากๆ แล้วหลังจากนั้นก็มีงานเยอะขึ้น คนรู้จักมากขึ้น แต่ยังไม่ได้แสดงละคร มีเล่นเอ็มวีทั้งหมดก็เกือบ 40 ตัวได้”

แพคกระเป๋า เตรียมโกอินเตอร์
หลังจากละครเรื่องบ่วงลาจอไป เราอาจจะเห็นผลงานของสาวกุ๊กกิ๊กบ้างผ่านๆตาซึ่งสามารถให้กำลังใจและติดตามผลงานของเธอได้ อย่างภาพยนตร์สองเรื่องที่กำลังรอลงโรงฉายในปีหน้าสัญชาติอเมริกันและนอร์เวย์ที่งานนี้เธอก็ได้ไปอวดความสามารถของหญิงไทยให้ต่างชาติดู

“ตอนนี้ก็กำลังจะมีผลงานอออกที่เมืองนอกค่ะ เป็นภาพยนตร์เรื่อง Kill Buljo 2 ซึ่งภาคแรกได้รับกระแสการตอบรับดีมาก เป็นเรื่องราวของ 3 สาวนักฆ่าเซกซี่ที่เราไปขโมยของเขามา จะมีคนชื่อเทียน่ามาจากนอร์เวย์ แล้วก็อีกคนมาจากนิวยอร์กชื่ออีวา อีกคนเป็นคนไทยก็คือกุ๊กกิ๊ก คือฝรั่งเขาสนคาแรกเตอร์กับความสามารถ เขาไม่สนใจว่าคุณดังไม่ดังในประเทศตัวเอง เพราะหนังฉายที่นอร์เวย์ ซึ่งเขาก็อยากได้คนที่เป็นแล้ว ไม่ต้องมาสอนใหม่ซึ่งเราก็มีความสามารถต่อยมวย ดำน้ำ บวกกับคาแรกเตอร์ได้ 

แล้วก็อีกเรื่องนึงคือ White Tiger เป็นหนังอเมริกัน มีคุณยุ้ย - จีระนันท์ มะโนแจ่ม เล่นด้วย เป็นหนังบู๊ เรื่องราวจะเกี่ยวกับคนไทยไปขโมยเพชรแล้วเขาก็มาตามล่าหาตัวเรา พอเปิดฉากมากุ๊กกิ๊กก็วิ่งทั้งป่าเลย”


ได้ดีเพราะครอบครัว
เบื้องหลังความสำเร็จของชีวิตของเธอคนนี้ เธอบอกต้องยกความดีให้กับครอบครัวของเธอ ที่ไม่เคยบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบ มีแต่จะช่วยสนับสนุนให้เธอเป็นและทำในสิ่งที่เธอต้องการ เมื่อขอให้เธอเล่าอดีตในวัยเยาว์ของเธอสาวกุ๊กกิ๊กก็เล่าไป ขำไป โดยแต่ละเรื่องก็ทำให้อดขำและยิ้มตามไม่ได้ 

“คุณพ่อคุณแม่สอนให้อยากทำอะไรก็ทำ แต่ว่าเรื่องการเรียนไม่ตกนะคะ ถือว่าปานกลาง อยากรำก็พาไปซื้อชุด อยากเต้นก็ไปเต้นแม่เชียร์อยู่หน้าเวที จำได้ว่าตอนนั้นอายุ 3 ขวบ เราชอบร้องเพลง แม่ก็บอกร้องเลยแล้วก้สอนเราร้องเพลง อย่างแสงเดือน แสงตะวัน แสงดาว แม่สอนท่าให้หมด แสงเดือนชี้ทางนี้นะ แสงดาวชี้ทางนั้น ตัวฉันก็เอามือมาทาบอก เราก็เลยติดการแสดงเพราะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก

แล้วมีครั้งนึงตอนเด็กๆอยากเป็นนางสาวไทย ก็เอาเข็มขัดพ่อมาทำสายสะพาย เอาขันน้ำมาทำมงกุฎ เอาผ้าขนหนูมาทำผ้าคลุม แม่ก็ประกาศชื่อ กชนันท์ นุตบันเทิง หมายเลข 1 คือแม่ก็เล่นด้วย แล้วก็จะชอบเล่นแต่งหน้ากับแม่ โตมาก็เลยเออกล้า แต่งหน้าเป็น”

นอกจากการเลี้ยงดูแบบสนุกสนานและการให้การสนับสนุนในสิ่งที่กุ๊กกิ๊กใฝ่ฝันจากครอบครัวแล้ว อีกอย่างที่ครอบครัวนุตบันเทิงสอนเธอก็คือ การที่เธอต้องดูแลตัวเอง และให้เธอได้ลงมือทำและเรียนรู้จากสิ่งที่ทำผิดพลาดด้วยตัวเอง

“แม่กุ๊กกิ๊กจะสอน จะเลี้ยงแบบฝรั่ง อย่างเด็กๆไม่มีใครชอบเผ็ด แล้วมีมื้อนึงแม่แกงเขียวหวาน เราก็ไม่เอากินไม่ได้ แต่พอสามทุ่มก็ลงไปกิน เพราะไม่มีอะไรให้กิน ก็กินข้าวไปกินน้ำไป แล้วกุ๊กกิ๊กเนี่ยเดินไปโรงเรียนเองตั้งแต่อนุบาล คือไม่ใช่พ่อแม่ไม่รักนะ แรกๆเค้าก็แอบเดินตามน่ะแหละ แล้วโรงเรียนก็ห่างไปแค่ 500 เมตรเอง

อีกครั้งนึงคือแม่ไม่ให้รีดผ้า แต่เราซน ดื้อ พอรีดเองรีดไม่เป็นก็ทำผ้าไหม้ขาด ไปบอกแม่ แม่ก็บอกให้ทำยังไงล่ะลูก กางเกงพละสีขาวมันมีตัวเดียวไม่มีเปลี่ยนใหม่ ก็ต้องใส่ไปทั้งอย่างนั้นไปโรงเรียนก็อายเพื่อนมาก พออาทิตย์ถัดไปแม่ก็ซื้อให้ใหม่แล้วก็สอนรีดผ้าว่าต้องทำยังไง ต่างจากสมัยนี้ป.2 ยังทำอะไรไม่เป็น พ่อแม่ต้องปลุกมาอาบน้ำ แต่งตัวให้ ทำผมให้ ไปส่งที่โรงเรียน ของกุ๊กกิ๊กแปดโมงพ่อแม่ยังไม่ตื่นเลย แต่กุ๊กกิ๊กไปถึงโรงเรียนแล้ว ดังนั้นมันเลยสอนเราให้เป็นคนที่แกร่ง ทำอะไรด้วยตัวเอง”

ดูเหมือนชีวิตวัยเด็กของเธอจะมีแต่ความสุขแบบเรียบง่าย แต่เอาเข้าจริงก็กลับพลิกผัน เมื่อเธออายุ 14 ปี ก็เกิดมรสุมภายในครอบครัวเมื่อพ่อแม่ของเธอตัดสินใจแยกทางกัน ทำให้เธอต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านป้าถึง 5 คน

“พ่อแม่ของกุ๊กกิ๊กเลิกกันตอนอายุ 14 พอเราอายุ 15 ก็ย้ายไปอยู่ตามบ้านป้า ย้ายไปทั้งหมด 4 ครั้ง ป้า 4 คน จนมาอยู่กับป้าคนที่ 5 ก็อยู่บ้านนี้นานหน่อยจนจบมหาวิทยาลัย แล้วก็ออกมาอยู่คนเดียว ทำอะไรด้วยตัวเองหมด มาจนถึงวันนี้ก็ยังอยู่ตัวคนเดียวนะ”

สร้างกิจการของตัวเอง
เมื่อชีวิตของเธอต้องเดินเพียงลำพังในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ดังนั้นเวลานอกเหนือไปจากงานแสดง เดินแบบ ถ่ายแบบที่มีประปรายบ้างแล้ว สาวกุ๊กกิ๊กก็ไม่ได้นั่งนิ่งเฉย รองานรอเงินเสียเวลาทิ้งไปเปล่าๆ แต่เธอได้นำเงินที่ออมมาตลอดช่วงการทำงานกว่าสี่แสนบาทมาลงทุนทำกิจการเป็นของตัวเอง

“กุ๊กกิ๊กเป็นคนที่ค้นพบตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆแล้วว่าเราชอบอะไรไม่ชอบอะไร เป็นคนไม่ชอบให้ใครบังคับ แปดโมงครึ่งต้องถึงห้าโมงเย็นออก กุ๊กกิ๊กคิดว่าเรามีชีวิตอิสระ อยากออกไปถ่ายงานตอนบ่ายโมง ถ้ากุ๊กกิ๊กทำงานออฟฟิศก็ไม่มีทางทำได้แน่ๆ

ทีนี้การเป็นเจ้าของกิจการอะไรสักอย่าง มันให้อิสระกับเราจะเข้ากี่โมง ออกตอนไหนก็ได้ ก็เลยคิดว่างานนี้เหมาะกับเราที่สุดแล้ว แต่กุ๊กกิ๊กไม่ใช่คนเกเรนะคะ ไม่ใช่นอนสบายอยู่บ้าน จะเข้าร้านตลอด ถ้าไม่อยู่ร้านก็ออกไปทำงาน หรือไม่ก็ไปพักผ่อนต่างจังหวัด ซึ่งที่ร้านตอนนี้ก็อยู่ตัวแล้วด้วย”

กิจการที่สาวแอคทีฟเลือกมานั้น ใครฟังก็คงแปลกใจ เพราะปกติก็ไม่น่าจะพ้นธุรกิจง่ายๆ อย่างขายของกิน เสื้อผ้า แต่สำหรับเธอคนนี้กลับเลือกที่จะเปิดร้านนวดไทย

“มันเริ่มจากที่กุ๊กกิ๊กขายยาหมอเส็งก่อน คือแต่ก่อนจะปวดท้องประจำเดือนบ่อย มีคนมาแนะนำก็เลยลองกินพอกินแล้วเออมันดี ก็เลยมาจับธุรกิจหมอเส็ง เราก็มาวิ่งขายพอหนึ่งเดือนเรารู้สึกเหนื่อยเลยหยุด คือถ้ากุ๊กกิ๊กรู้สึกว่าไม่ใช่ เราทำแล้วไม่มีความสุขก็จะเลิกทำ

แล้วทีนี้เรามาได้ที่ตรงจุฬา 42 ก็เลยวางแผนธุรกิจ แต่ถ้าจะขายยาหมอเส็งอย่างเดียว มันเป็นกิจการที่คนไม่วอล์คอินเข้ามา เราก็เลยวางแผนใหม่ดูกลุ่มเป้าหมายก็จะมีอาจารย์จุฬา มีผู้ปกครองที่ต้องมารอลูกเรียนพิเศษ มีแม่ค้าแถวนี้ แล้วก็สังเกตว่ายังไม่มีร้านนวดแถวนี้ด้วยก็เลยเปิดร้านนวดนี้แหละ”

ทั้งที่เธอไม่มีหัวทางด้านธุรกิจแต่ก็สามารถประคับประคองร้าน “กชนันท์ นวดไทย” มาจนตอนนี้ที่ร้านก็มั่นคงและมีลูกค้าไม่ขาดสาย โดยสาวเจ้าบอกอย่างภาคภูมิใจว่า ที่เห็นทุกอย่างในร้านเธอลงมือ ลงแรงทำเองหมด โดยถือคติเจ๊งไม่ได้

“เชื่อมั้ย สามเดือนแรกกุ๊กกิ๊กทำทุกอย่าง เลือกกระเบื้อง โต๊ะ แก้ว วอลล์เปเปอร์ ไปซื้อเองเลยที่จตุจักรบ้าง ร้านไม้แถวบางโพบ้าง เราเลือกเองทำร้านเองหมดขอบอกว่าเหนื่อยมาก แล้วพอทำร้านเสร็จจะทำไงให้คนรู้จัก ให้มีลูกค้า ก็เอาเลยใส่ชุดไทยเดิน จนทั้งสามย่านรู้จักกุ๊กกิ๊กหมด
พอวันไหนไม่มีลูกค้าก็โทรหาเพื่อน เรียกเพื่อนมานวด บางคนก็มา บางคนก็ไม่ว่าง แล้วเคยมีเพื่อนคนนึงบอกว่า แก ฉันโอนเงินไปให้ก่อนสองร้อย แต่ฉันยังไม่ว่างไป ถ้าแกอยากได้เงินฉันโอนไปให้ก่อน ซึ่งที่เราต้องพยายามขนาดนั้นเพราะเงินทั้งหมดเราเก็บมาทั้งชีวิต เงินตั้งสี่แสนกับผู้หญิงอายุแค่ 24 คือเราบอกตัวเองเลยว่า ห้ามเจ๊งเด็ดขาด”

กิจกรรมยามว่าง
เห็นว่าเธอทำนู่น ทำนี่ ดูยุ่งจนตัวบิดเป็นเกลียวขนาดนี้ แต่เธอก็ยังแบ่งเวลาพักผ่อนให้กับตัวเองได้ โดยเธอบอกว่าเวลาว่างของเธอมักหมดไปกับกิจกรรมแอดเวนเจอร์ทั้งหลาย โดยเฉพาะการดำน้ำที่ดูจะคลั่งไคล้เป็นพิเศษจากน้ำเสียงของเธอที่ดูตื่นเต้นมาก

“เวลาว่างจะชอบดำน้ำ ปีนเขา ยิงปืน แล้วก็กุ๊กกิ๊กเรียนมวยไทยตั้งแต่อายุ 16 กับสามารถ พยัคฆ์อรุณด้วย แต่ถ้าถามว่าชอบอะไรมากที่สุด กุ๊กกิ๊กหลงรักการดำน้ำมากค่ะ คือเวลาอยู่ใต้ทะเลเราจะไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงลมหายใจตัวเอง จะลืมเรื่องบนพื้นผิวไปหมดเลย เราก็จะมีสมาธิ จะตื่นเต้นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มีความสุขที่แปลกไปจากชีวิตทุกวัน เห็นกุ้งนะ เห็นฉลามวาฬ เราตื่นเต้นมาก

ที่ที่กุ๊กกิ๊กชอบไปดำน้ำมากที่สุดคือ สิปาดัน ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมันไปยากมาก สิบชั่วโมงกว่าจะถึง ต้องไปมาเลย์ก่อน แล้วนั่งเครื่องต่อไปบอร์เนียว ต่อรถ ต่อเรืออีก แต่ที่นี่สวยมากจริงๆ ติดอันดับโลก มีฉลามเยอะพอๆกับสุนัขในกรุงเทพเลย”

สาวเปรี้ยวอมหวาน
เห็นเธอเป็นสาวบู๊เดือดขนาดนี้ ใครจะไปรู้ว่ายังมีอีกมุมที่หวานเจี๊ยบขัดกับอะไรหลายอย่างๆที่เธอชอบและแสดงออกมา ซึ่งสาวกุ๊กกิ๊กก็เผยอย่างอารมณ์ดีว่า เธอทำได้ทุกอย่างจริงๆในเรื่องงานบ้านงานเรือน ถึงแม้บอกไปแล้วอาจจะไม่น่าเชื่อก็ตาม

“งานบ้านงานเรือนทำเป็นหมดเลยค่ะ เย็บปักถักร้อยก็ได้ เคยถักที่รองแก้ว ถักผ้าพันคอให้แฟน แล้วก็กุ๊กกิ๊กชอบทำกับข้าว แต่เรื่องนี้คุณแม่ไม่ได้สอนนะ เราใช้วิธีลักจำเอาจากเวลาไปช่วยคุณแม่ทำกับข้าว แม่ปรุงยังไงเราก็ปรุงตามนั้น รสชาติเดียวกันเด๊ะๆ”

อีกหนึ่งเรื่องเซอร์ไพรส์คือนอกจากเธอจะเป็นคนอ่อนหวานตัดกับมาดภายนอกที่ดูนิ่งๆแล้ว เธอยังเป็นคนอ่อนโยนด้วย โดยเฉพาะกับบรรดาแมวเหมียวที่เธอรักมากจนขนาดตั้งกล่องบริจาคใบโตสำหรับช่วยเหลือชีวิตน้องแมวจรจัดตาดำๆไว้ในร้านอีกด้วย

“รักแมวมาก บ้าแมว เห็นแมวไม่ได้ วิ่งเข้าใส่ ทีนี้ได้ไปวัดนึงชื่อวัดดวงแข ก็มีคนชอบเอาแมวไปปล่อย ตอนแรกก็เอาอาหารไปบริจาค เพราะแมวป่วยจะกินอาหารปกติ กินปลาทูไม่ได้ เค้าต้องทานอาหารเฉพาะ ถุงนิดเดียวเองเจ็ดร้อยก็เลยซื้อไปถวาย แต่ใจไม่ได้คิดว่าถวายแล้วขอให้ร่ำรวย ให้ถูกหวย ไม่ได้หวังผลตอบแทนตรงนั้น แต่เราทำแล้วสบายใจ เรามีความสุขจากการให้ ทีนี้ก็อยากช่วยหลวงพ่อ เพราะเดือนนึงต้องใช้หลายหมื่นเลย แล้วท่านไม่มีรายได้ ก็เลยนำกล่องรับบริจาคมาตั้งไว้ที่ร้าน อย่างน้อยลูกค้าหยอดห้าบาท สิบบาทก็ยังดี

เรามีความรู้สึกว่าแมวเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการกำลังใจเหมือนคน เวลาที่เราว่าง อยากได้ความสบายใจ เราจะไปนั่งสมาธิที่วัดนี้บ่อยๆ แล้วก็ไปหาแมว ไปนั่งคุยกับแมว ให้กำลังใจมัน เพราะคนมักจะรังเกียจบอกว่าสกปรก ไม่มีใครชอบ”

และอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงออกว่า เธอเกิดมาเป็นผู้หญิงไทยอย่างแท้จริงคือเธอชอบที่จะใส่ชุดไทยอยู่ในร้านบ่อยๆ ซึ่งกุ๊กกิ๊กยืดอกบอกเลยว่า เธอภาคภูมิใจในความเป็นไทยมาก

“กุ๊กกิ๊กภูมิใจในเอกลักษณ์ความเป็นไทยมาก อย่างตอนคริสต์มาสเราไปนอร์เวย์ก็ทำกับข้าว แกงเขียวหวานกับผัดเปรี้ยวหวานให้เค้าทาน แล้วก็ใส่ชุดไทยสีแดงซึ่งต่างชาติเค้าชอบมาก แต่เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ มองว่าอะไรที่มาจากตะวันตกคืออะไรที่ทันสมัย เทรนดี้ เก๋ ล้ำยุค แต่อะไรที่เป็นไทย มองว่าเก่า เชย ใส่อะไรอ่ะ ผ้าถุงอะไร มันแก่ มีแต่ป้าๆ ยายๆ ใส่ แต่กุ๊กกิ๊กมองตรงกันข้าม ทุกวันนี้ยังใส่ผ้าถุงอยู่ที่ร้านเลย”

เสียดุลความรักให้ชายต่างชาติ
รู้จักเกือบจะทุกซอกทุกมุมแล้ว ถ้าไม่ถามเรื่องความรักก็เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง แต่แหมใครที่แอบหลงรักสาวคนนี้คงจะต้องอกหักดังเป๊าะ เพราะนอกจากชีวิตของเธอจะลัคกี้อินเกมแล้วยังลัคกี้อินเลิฟอีกด้วย แถมชายไทยคงจะเจ็บกระดองใจเพราะดันเสียดุลสาวงามให้กับหนุ่มเมืองนอกอีกแล้ว ซึ่งสาวกุ๊กกิ๊กก็เล่าถึงความรักของเธอให้ฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมไปด้วยความสุข

“มีแฟนแล้ว เป็นคนนอร์เวย์ เจอกันที่ร้านกุ๊กกิ๊กเนี่ยแหละค่ะ เพราะเราจะอยู่ร้านตลอด ก็จะเจอลูกค้ามาจีบเยอะ ไม่ได้บอกว่าสวยเลือกได้นะ แต่ไม่สวยก็ต้องเลือกใช่มั้ยคะ คบกันมาปีกว่าแล้ว ก็เตรียมจะแต่งงานกัน 17 พฤศจิกายนนี้ค่ะ

ประทับใจตรงที่เขาทำงานที่นอร์เวย์ แต่บินมาหาเราทุกเดือน ตั้งแต่คบกันมาปีกว่าไม่เจอกันมากสุด 3 อาทิตย์ เค้าจะบินมาหาเราตลอดเดือนละครั้ง ครั้งนึงอยู่ห้าวัน สิบวัน อาทิตย์นึง มันเลยทำให้เราเลยรู้สึกว่า ต้องยอมแล้วล่ะผู้ชายคนนี้ เค้าไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย ไม่เคยบ่นว่าไกล ส่วนกุ๊กกิ๊กเคยไปที่นู่น 3 ครั้ง นี่ยังบ่นขี้เกียจเลย คือกุ๊กกิ๊กไม่ใช่ไม่รักไม่คิดถึงนะ แต่แค่ทำวีซ่าก็ขี้เกียจแล้ว เค้าก็เลยตัดสินใจว่าเดือนกรกฏาคมนี้เค้าจะย้ายมาทำงานที่สิงคโปร์ จะอยู่ใกล้กันมากขึ้นจะได้บินมาหาทุกอาทิตย์”

ชีวิตสมบูรณ์แบบ
ดูเหมือนชีวิตช่วงหนึ่งที่เธอต้องผ่านปัญหาเรื่องครอบครัว ได้หล่อหลอมเธอให้เป็นเธอ เป็นผู้หญิงแกร่งและสู้ชีวิต จนถึงวันนี้ที่เธอมีทั้งงานที่ดีมั่นคงและกำลังจะได้ใช้ชีวิตคู่ในอีกไม่ช้า เลยอดถามไม่ได้ว่าตอนนี้เธอยังอยากได้อะไรอีกไหม สาวกุ๊กกิ๊กก็รีบตอบด้วยแววตามุ่งมั่นและจริงจังว่า ชีวิตเธอตอนนี้มีครบทุกอย่างแล้ว

ทุกวันนี้กุ๊กกิ๊กมีความสุขนะ ไม่ได้รวยมาก แต่เราก็ไม่ได้จน ทุกวันนี้เรามีใช้ เราพอเพียง มีร้อยก็ใช้ร้อย ไม่กู้เงิน ไม่หยิบยืม เจ๊งก็เจ๊ง พรุ่งนี้ก็ไปสมัครงานที่อื่นได้ แต่เราไม่ยอมเป็นหนี้ใคร แล้วก็ไม่ต้องการรวย ทำงานมาก แต่ไม่มีเวลาให้ตัวเอง

คือกุ๊กกิ๊กจะแบ่งชีวิตเป็นสามเหลี่ยม มุมแรกครอบครัว มุมที่สองเรื่องส่วนตัว แล้วก็มุมที่สามคืองาน จะให้มันเท่าๆกัน แล้วก็เราจะให้ความสำคัญของคนที่เรารัก รักตัวเองด้วย ถ้าทุกอย่างมันบาลานซ์กันเราก็จะมีความสุข สำหรับกุ๊กกิ๊กมันเท่านี้แหละ แต่คนอื่นคุณต้องหาว่าความสุขในชีวิตคุณคืออะไร เพราะความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน เงิน ความรัก การงาน ซึ่งถ้าค้นหาตัวเองเจอเราก็จะใช้ชีวิตไปได้ถูกทาง”

ตลอดเวลาที่ได้ฟังผู้หญิงตัวเล็กๆหนึ่งคน ที่พยายามต่อสู้ดิ้นรนเองทุกอย่างโดยไม่คิดกลัวอุปสรรค ต้องยอมเธอในเรื่องของความมานะ อุตสาหะจริงๆ และตอนนี้ก็ไม่แปลกใจเลยที่ชีวิตของเธอจะได้รับแต่สิ่งดีๆ ตอบแทนกลับไป อย่างที่เธอกล่าวทิ้งท้ายว่า ขอแค่คิดดี พูดดี ทำดี เป็นคนดีของสังคมและครอบครัว มันก็เพียงพอแล้ว.

* ประวัติส่วนตัว *

ชื่อ - นามสกุล : กชนันท์ นุตบันเทิง     

ชื่อเล่น : กุ๊กกิ๊ก

วันเกิด : 24 มิถุนายน 2528     

บ้านเกิด : จังหวัดสมุทรปราการ

น้ำหนัก - ส่วนสูง : 168 เซนติเมตร / 49 กิโลกรัม

การศึกษา : โรงเรียนกุนนทีรุทธารามวิทยาคม / โรงเรียนสตรีสมุทรปราการ / ภาควิชาศิลปะการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

ผลงาน : พิธีกรรายการทีนทอล์ก / รองชนะเลิศอันดับ 2 การประกวด Sexy Leo Girl ปี 2007 / ละครซีรีย์เซนสื่อรักสื่อวิญญาณ ตอนก้อนทุกข์ / หนังดังสุดสัปดาห์ ตอน แฟนคลับ / ละคร บ่วง 

ปัจจุบัน : รับงานแสดง ถ่ายแบบ เดินแบบ และกิจการส่วนตัว “กชนันท์ นวดไทย”

 

ภาพโดย วารี น้อยใหญ่ และขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต







กิจการร้าน กชนันท์ นวดไทย
เจ้าหอมจันทร์ ในละครเรื่องบ่วง
ภาพยนตร์ Kill Buljo 2
ภาพยนตร์ Kill Buljo 2
วัยเด็กกับคุณแม่
สาวนิเทศศาสตร์
กิจกรรมยามว่าง
กิจกรรมยามว่าง
สาวรักแมว

กำลังโหลดความคิดเห็น