เนื่องจากกรณีที่สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วเมือง เมื่อพบศพทารกกว่า 6 ศพในห้องพักของชาวไต้หวัน ที่ถูกย่างและลงอักขระเพื่อส่งออกเป็นมูลค่าหลายแสน ในรูปของวัตถุมงคลที่ชื่อว่า 'กุมารทอง'
จากตำนานความเชื่อที่ปรากฏมาในวรรคดีเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน สู่วัตถุมงคลที่มีมูลค่าสูงตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้าน ความศักดิ์สิทธิ์และคุณประโยชน์สำหรับผู้บูชาคงจะเป็นสิทธิส่วนบุคคล ทว่ากุมารทองในปัจจุบันนั้นแท้จริงแล้วเป็นความศรัทธาหรืองมงาย หรือจะเป็นเพียงแค่การหากินกับศพของเด็กทารกเท่านั้น
ตำนานกุมารทอง
เรื่องราวของกุมารทองนั้นไม่ได้มีต้นกำเนิดที่ชัดเจนว่ามาจากตำรับตำราใด ใครเป็นผู้เริ่มต้น ที่เป็นหลักฐานตามความเชื่อที่เก่าแก่ก็เห็นจะเป็นในวรรณคดี ขุนช้างขุนแผนที่ขุนแผนได้ทำการปลุกเสกคาถาอาคมโดยการผ่าท้องแม่นางบัวคลี่เพื่อนำลูกมาทำกุมารทองหรือลูกกรอก (ซึ่งหากเป็นผู้หญิงจะเรียกว่าโหงพราย)
โดยเรื่องราวของกุมารทองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้น มีอยู่ในสังคมไทยโดยถือเป็นไสยเวทย์ หรือคุณไสย เป็นวัตถุมงคลในสายมืด จึงไม่มีการนับถืออย่างเปิดเผยนัก กระทั่งในช่วง 8 ปีมานี้ หลังจากมีข่าวว่าดาราบางคนเลี้ยงกุมารทอง โดยมีข่าวจากกรณีซานติก้า ผับที่ดีเจ เพชรจ้าเผยว่า กุมารทองที่ตัวเองเลี้ยงมาสะกิดทำให้รอดจากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ทำให้กุมารทองเริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น
อาจารย์วีรเทพ ญาณครูประสิทธิ์ เจ้าสำนักปลุกเสกกุมารทองแห่งหนึ่งเผยว่า ในปัจจุบันกุมารทองนั้นมีทั้งแบบที่ใช้ศพกับไม่ใช้ ส่วนมากในเมืองไทยจะมีนิยมกันตามแต่ระดับราคา โดยจะเน้นที่ราคาไม่แพงมาก ขณะที่ในต่างประเทศจะมีราคาแพงเพราะต้องนำเข้าจากประเทศไทยที่ถือเป็นต้นตำรับเท่านั้น
“ในเมืองไทยที่ผ่านมาก็เริ่มนิยมมากขึ้นในหมู่วัยรุ่นที่อาจจะชอบท้าทายเรื่องพวกนี้ ส่วนขาประจำที่ชอบอยู่แล้ว บางคนก็สะสมไว้เยอะมาก สร้างบ้านให้อยู่ก็มี ถือว่าเป็นที่นิยมนับถือศรัทธาอยู่”
กุมารทองนั้นจะแบ่งเป็นกุมารทองเทพซึ่งได้รับการเชิญจิตวิญญาณของเทพที่เป็นลูกของเทวดามาสถิตอยู่ และกุมารทองพรายซึ่งได้รับการเชิญจิตวิญญาณของเด็กเร่ร่อนมาสถิต ซึ่งทั้งสองประเภทก็มีคุณประโยชน์ต่อผู้นับถือที่เหมือนกันคือเชื่อว่าจะช่วยให้ทำมาค้าขึ้น และคอยปกป้องคุ้มครองดูแล
“การบูชาต้องตั้งเครื่องสังเวย ของที่ถวายเป็นข้าวปากหม้อ ตั้งน้ำแดง น้ำ ขนม และของเล่นให้กุมารทองทุกวัน และก็ต้องบอกกล่าว วันนี้ขอให้มีนิมิตให้โชค ให้ลาภ ตื่นเช้ามาขอให้ค้าขายรุ่งเรือง ร่ำรวย กุมารทองก็เป็นเครื่องรางอย่างหนึ่ง ประเภทให้โชคลาภ เหมือนอย่างแม่นางกวัก แต่ผู้คนจะนิยมเพราะว่ามีจิตวิญญาณจริงๆ ซึ่งแม่นางกวักก็สามารถเรียกจิตวิญญาณได้แบบเดียวกับกุมารทองเหมือนกัน”
ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีกุมารทองที่ไม่ใช่ศพเป็นมวลสารประกอบ เพราะสามารถที่จะทำพิธีเรียกจิตวิญญาณได้เหมือนกัน โดยราคานั้นจะแตกต่างกันไปตามความเชื่อ ซึ่งส่วนมากแล้วผู้คนก็มักจะเชื่อกันว่า กุมารทองที่ทำจากศพจริงจะศักดิ์สิทธิ์กว่า มีฤทธิ์มากกว่า หรือเหี้ยนกว่า
ในส่วนของเรื่องเล่าตามความเชื่อมากมายที่เกี่ยวกับกุมารทอง อย่างการที่ได้ยินเสียงเด็กเล่นในบ้านเพราะเลี้ยงกุมารทองไว้นั้น ตามความเชื่ออาจเกิดขึ้นได้จากบุญญาธิการในการเป็นคู่บุญกันของผู้เลี้ยงและกุมารทอง
“กุมารทองนั้นมีความเชื่อว่าเป็นจิตของเด็กดวงหนึ่ง อาจจะอายุ1-5ขวบ เลี้ยงไปแล้วมีจิตวิญญาณ ถ้ามีความขลัง ความเหี้ยนก็จะแสดงฤทธิ์ได้ หรือที่บุญมากพอแล้ว เลยคำว่า จิตทูต เขาเรียกว่ากึ่งเทวดา สามารถดลบันดาลฤทธิ์ได้ มีความเชื่อว่าวิ่งเล่นได้ ได้ยินเสียงกุมาร เสียงเด็กร้อง ได้ยินเรียกพ่อเรียกแม่ ใครไปบ้านเห็นเด็กวิ่งอยู่ อันนั้นต้องไปเป็นกุมารทองที่ผู้บูชา ทำบุญให้จนเกิดฤทธิ์ เป็นไปได้ครับ เป็นความเชื่อ”
อย่างไรก็ตามการนับถือกุมารทองนั้นมีผู้เห็นว่าควรเป็นไปแต่พอดี ไม่ควรหมกมุ่นหรือเลี้ยงจำนวนมากจนเกินไป เพราะในทางกลับกัน หากกุมารทองถูกเลี้ยงไม่ดีก็จะให้โทษกับผู้เลี้ยงได้
“การบูชานับถือมีความศรัทธาในกุมารทองเป็นสิ่งที่ดี เหมือนเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ก็ต้องมีความพอดีในการนับถือ แล้วต้องดูแลให้ดี อย่าหมกหมุ่นในลักษณะที่เขาต้องช่วยเราได้ทุกอย่าง เราต้องได้รับความสำเร็จจากเขา สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เราขอกับกุมารทองไป แล้วไม่เกินกรรมเขาก็สามารถดลบันดาลได้ แต่อะไรที่ขอแล้วเกินกรรม เขาก็ไม่สามารถดลบันดาลได้ เพราะเขาก็เป็นจิตทูต คือดวงวิญญาณในจิตๆหนึ่งที่ต้องการบุญเหมือนกัน ที่เขาช่วยเราเพราะเขาต้องการบุญ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำอะไรที่ไม่ให้เกินกรรมของตัวเอง บางครั้งคนขอมาก ให้มีโชคถูกหวย แล้วก็ขออีก มีโชค ครั้งต่อไป ขออีก คือไม่รู้จักพอ”
กุมารทองการตลาด
จากข่าวที่เกิดขึ้นความน่าตกใจส่วนหนึ่งอยู่ที่ความเหี้ยนของกุมารทอง แต่อีกมุมหนึ่งที่กุมารทองมูลค่าตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักล้านก็สร้างความน่าตะลึงไม่แพ้กัน จนทำให้นึกถึงวัตถุมงคลอย่าง จตุคามรามเทพที่เคยมีราคาสูงมากมาก่อน แล้วเป็นกระแสเกิดขึ้น
ดร.เกียรติอนันท์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เผยถึงมูลค่าตลาดวัตถุมงคลในประเทศไทย ถือว่าเป็นที่หนึ่งในเอเชียว่า น่าจะมีมูลค่าตลาดสูงถึง สามหมื่นห้าพันล้านบาทแล้ว โดยกลุ่มที่เป็นของผิดกฎหมายอย่างที่เป็นข่าวนั้น อาจจะเป็นส่วนน้อย แต่ก็มีลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงอยู่เหมือนกัน
“ราคาน่าจะสูงกว่า ด้วยความหายากของศพ และลักษณะกลุ่มเป้าหมายที่ขาย คือแบบนี้จะขายนักธุรกิจที่มีกำลังซื้อเยอะ เป็นการแอบซื้อขายกัน เฉพาะกลุ่มที่รู้จักหรือแนะนำต่อๆกันมา เป็นธุรกิจใต้ดินที่ลงไปลึกมากๆ มีกลุ่มลูกค้าชเป้าหมายชัดเจนมาก มีกลุ่มคนซื้อขายชัดเจน”
กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศแถบเอเชีย โดยประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางของขลังเลยก็ว่าได้ มีตั้งแต่มาเลเซีย สิงคโป จีน และไต้หวัน
เมื่อมองในแง่การตลาดแล้ว กุมารทองนั้นมีความเป็นไสยศาสตร์ ซึ่งเป็นวัตถุมงคลสายมืด ทำให้อาจไม่เป็นที่นิยมเท่าจตุคามรามเทพที่มีความเป็นเทพ มีตำนาน ความเชื่อที่ชัดเจน ขณะที่กุมารทองนั้นเป็นวิญญาณเด็ก
“ที่เป็นข่าวก็ลงในข่าวอาชญากรรม ดังนั้นภาพจึงไม่ดี ไม่เหมือนจตุคามรามเทพที่มีข่าวคนรอดชีวิตจากปาฏิหาริย์ด้วย กุมารทองเป็นของขลังที่มีมานานแล้ว ซึ่งก็คงมีต่อไปและคงไม่เป็นที่นิยมขึ้นมามากนัก รวมถึงลักษณะเฉพาะของพิธีกรรมในการนับถือ รวมถึงความเป็นเจ้าของ ก็มีส่วนในการปิดกั้นความนิยม”
ยิ่งในเมืองไทยมีวัตถุมงคลมากมายหลายประเภทให้เลือกบูชา หากให้ทำมาค้าขึ้นก็มีนางกวัก หากให้คุ้มครองบ้านเรือนก็มีควายธนู ดังนั้นกุมารทองจึงมีสิ่งทดแทนหลายอย่างในสังคมไทย ทว่าการที่กุมารทองมีความเฉพาะตัวก็มีส่วนสร้างมูลค่าเพิ่มด้วย ยิ่งทำจากศพทารกที่เป็นของผิดกฎหมาย ยิ่งสร้างมูลค่าได้อีก
“ผมว่าผู้ขายแสวงหาประโยชน์จากความไม่รู้จริงของนักธุรกิจต่างชาติ คนที่เอาไป เขาอาจจะใส่ข้อมูลเพิ่มเข้าไปว่าจะต้องเป็นศพเด็ก จะต้องทำอะไรบางอย่าง เขาพยายามจะทำให้มันเป็นสินค้าเฉพาะตัว เฉพาะกลุ่ม ถ้าบอกว่าเป็นแค่รูปปั้นแล้วปลุกเสกนำไปขาย เขาไม่สามารถจะปั่นมูลค่าให้สูง แต่พอบอกว่าเป็นการขายผ่านพิธีกรรม ทำโน้นทำนี่ให้มันยากอย่างงั้นอย่างงี้ คนซื้อก็จะรู้สึกว่าเป็นของหายาก”
นี่เองจึงไม่แปลกที่ราคาจะสูงขึ้น ไม่ว่าจะด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ หรือความศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือศพของทารกถูกนำมาแลกกับเงินจำนวนมหาศาล
ภาพจาก :
http://www.samuthprakarn.com
ponvissanu.com