พูดถึง “ลูกโป่ง” มักชวนให้คิดถึงความฝันที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ แต่ดูเหมือนลูกโป่งใบนี้จะไม่เหมือนใบอื่นๆ ที่เคยเห็นกัน เพราะมันบรรจุแต่ความจริง ไม่อิงนิยาย ไม่เสแสร้งสร้างภาพใดๆ ทั้งยังให้คำตอบได้อย่างชัดเจน ตรงใจ และบางครั้งเฉียบคมจนแทงทะลุภาพสวยงามของความฝันลมๆ แล้งๆ เสียจนขาดวิ่น “หนูคงไม่ดังไปกว่านี้แล้วล่ะ เพราะฉะนั้นต้องดูตัวเองแล้วก็มองความจริงด้วย” และอีกหลายเรื่องราวน่าสนใจที่บรรจุอยู่ใน “ลูกโป่ง-ภคมน บุณยะภูติ”
สมัยนี้แค่ร้องเพลงลงยูทูปก็ดังได้โดยไม่ต้องประกวดร้องเพลงแล้ว รู้สึกอย่างไรในฐานะนักล่าฝัน?
หนูไม่แน่ใจว่าประกวดเวทีกับพรีเซนต์ตัวเองผ่านยูทูป อันไหนมันยาก-ง่ายกว่ากันนะ เพราะไม่เคยมีประสบการณ์การทำคลิปด้วยตัวเอง ถ้าวัดจากเมืองนอกก็เห็นคนที่โด่งดังได้จากการอัปคลิปลงยูทูปกันเยอะเหมือนกันค่ะ แต่กว่าจะเป็นแบบนั้นได้ มันต้องทำอะไรหลายๆ อย่างให้เราโดดเด่นขึ้นมาจากยูทูปเป็นล้านๆ อัน ลูกโป่งเลยคิดว่าประกวดบนเวทีน่าจะง่ายกว่า ให้คนได้เห็นตัวจริงผ่านการออดิชั่น
แต่ถ้าใครเลือกวิธีดังจากยูทูป หนูว่าต้องขยันทำมากๆ เลย ยิ่งอัดคลิปเยอะๆ คนอื่นก็มีโอกาสที่จะเห็นคลิปเรามากขึ้นด้วย ลูกโป่งว่าคนทำคลิปในยูทูปแล้วดังได้ ไม่ใช่แค่ต้องมีความเป็น artist ในตัวอย่างเดียว แต่ต้องมีความเป็น business ผสมอยู่ด้วย ต้องคิดว่าทำยังไงคนถึงจะดูเรา เริ่มจากต้องถ่ายวิดีโอแบบไหน พิมพ์คำบรรยายว่ายังไง เสิร์ชคำว่าอะไรบ้างให้คนอื่นมาเจอเราได้ง่ายๆ ทำยังไงให้คลิปของเราไปโผล่ในหลายๆ ที่ ปั่นกระทู้ยังไงให้เป็นกระแสให้กลายเป็นระดับท็อป มันซับซ้อนมากนะ
สมมติว่าลูกโป่งลงเอ็มวีตัวหนึ่ง อยากให้คนเข้ามาดูเยอะๆ แค่พิมพ์คำว่าลูกโป่งกับชื่อเพลงเพื่อให้คนเสิร์ชเจออย่างเดียวไม่พอ ต้องใส่ชื่อจริง ชื่อเล่น เขียนเอเอฟ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องที่นึกได้ คราวนี้พอเสิร์ชอะไรก็ตามมันก็จะโผล่ออกมาเอง ถึงการดังจากระบบออนไลน์จะยาก มันก็พอมีทริกอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่ามันจะช่วยให้เราไปถึงจุดจุดหนึ่งแค่นั้นเอง ที่เหลือก็อยู่ที่ความสามารถของแต่ละคน หรืออยู่ที่ว่าคนอื่นถูกใจคุณมากขนาดไหน ช่วยกันเชียร์ ช่วยกันแชร์เยอะหรือเปล่า
เรียนจบเอก Voice (การขับร้อง) มา อยากให้พูดถึงนักร้องที่เน้นหน้าตาแต่เสียงหลงให้ฟังหน่อย
ส่วนตัวคิดว่าถ้าจะเป็นนักร้อง อย่างน้อยเขาต้องร้องเพลงไม่เพี้ยนค่ะ (น้ำเสียงเด็ดขาด) นี่คือมาตรฐานการเป็นนักร้องสำหรับลูกโป่งนะ อย่างน้อยต้องร้องสดได้ ถึงจะเป็นนักร้องได้ แต่ด้วยระบบ marketing ก็เข้าใจค่ะว่าต้องมีอย่างอื่นเข้ามาเสริมจุดขายด้วย นักร้องอาจจะต้องหน้าตาดี บุคลิกดีด้วย แต่ถ้าถามหนู หนูว่าเน้นเสียง เน้นเรื่องการร้องเพลงดีกว่าค่ะ
ยอมรับนะว่าบางเพลงเราก็มีลิปซิงก์เหมือนกันเวลาร้องสด แต่อาจจะแค่ซิงก์ฮาร์ฟในเพลงที่เต้นจนแทบไม่มีจังหวะหายใจ ซิงก์ฮาร์ฟคือเปิดเสียงมาซัปพอร์ตเบาๆ ครึ่งหนึ่งและเราก็ร้องทับไปอีกทีค่ะ ซึ่งจริงๆ ลูกโป่งก็ไม่ค่อยชอบลิปซิงก์นะ แต่ถ้าเล่นคอนเสิร์ตสเกลใหญ่มากแล้วเขาต้องการความแน่น ความเพอร์เฟกต์ อยากให้ดูยิ่งใหญ่ มันก็จำเป็น แต่ถ้าต้องเป็นนักร้องแบบลิปซิงก์ตลอดเวลา อันนั้นไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ (ยิ้มปลงๆ)
อาจจะเป็นเพราะเราเรียนด้านดนตรีมาด้วยมั้งคะ พอมันมีอะไรขัดปุ๊บเราจะรู้สึกแปลกๆ เพื่อนๆ ที่เรียนมาด้วยกันก็เป็นค่ะ พอได้ยินว่าเพี้ยนปั๊บจะสะดุ้งเลย (ทำท่าประกอบ) แล้วหันหน้ามามองกันโดยไม่ได้นัดหมาย เอ้อ! ร้องเพี้ยนเนอะ (ยิ้มขำๆ) ไม่ได้จะบ่นหรือโทษเขานะคะ แต่มันแค่สะกิดหูเราแค่นั้นเอง แต่สมัยนี้คนฟังมีหลายแนวค่ะ บางคนเขาอาจจะชอบ perform ของศิลปิน เช่นนักร้องเกาหลี เขาจะไม่เน้นร้องสดอะไรมาก แต่เน้นการแสดงที่ตื่นตา สมมติร้องน้อยหน่อยก็อาจจะต้องเต้นมากหน่อย มันต้องมีอะไรมาแทนกันค่ะถึงจะทำให้คนดูชอบได้
อย่างเราเป็นเอเอฟ แฟนๆ ที่ชอบเขาอาจจะไม่ได้ชอบแค่เสียงเราอย่างเดียว อาจจะชอบบุคลิกตอนอยู่ในบ้านด้วย มันมีปัจจัยหลายๆ อย่างที่ทำให้ชอบคนคนหนึ่งค่ะ ก็เลยเข้าใจได้ แต่ถ้าอยากให้คนหันมาสนใจฟังเพลงกันจริงๆ ลูกโป่งว่ามันไม่ค่อยเกี่ยวกับคนฟังหรอก มันเกี่ยวกับคนทำ-คนผลิตมากกว่า ถ้าอยากให้ฟังกันที่เสียงก็น่าจะเลือกจากเสียงมาเป็นอย่างแรก เพราะเขาเป็นนักร้อง เขาไม่ได้เป็นอย่างอื่น ยิ่งสมัยนี้คนเก่งๆ มีเยอะด้วย ยังมีตัวเลือกอีกเยอะค่ะถ้าจะเลือกกันจริงๆ
เดี๋ยวนี้เป็นนักร้องอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ต้องทำได้หลายอย่างจึงจะอยู่รอด จริงไหม?
ถ้าให้เทียบกับต่างประเทศ ศิลปินเมืองไทยส่วนใหญ่ต้องทำได้หลายอย่างนะเท่าที่สังเกตมา ถ้าเป็นดารา ร้องเพลงได้ด้วยก็ดี หรือถ้าเป็นนักร้อง แสดงได้ด้วยก็ได้ทำทั้งสองอย่าง ซึ่งถ้าเป็นเมืองนอกเขาจะนิยมให้เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งไปเลย เป็นนักร้องก็เป็นนักร้องไป เป็นดาราก็มุ่งไปด้านแสดงเลย แบบนั้นมันก็ดีนะคะ ชัดเจนดี
จริงๆ แล้วสิ่งที่หนูอยากเป็นที่สุดก็คือนักร้อง แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างทำให้เราต้องลองทำหลายอย่าง พอโอกาสมันมีเข้ามาเราก็ต้องลองทำไปเรื่อยๆ ตอนแรกไม่เคยคิดเลยค่ะว่าตัวเองจะแสดงได้ ทีแรกที่ลองเล่นก็เป็นกังวลเหมือนกันเพราะเราไม่ถนัดเลย ไม่รู้ว่าแอกติ้งเป็นยังไง ยิ่งบทดรามามากๆ ยิ่งไม่ไหวเลย แต่พอลองเปิดใจเล่นละครเวทีดูก็ทำให้ค้นพบอะไรใหม่ๆ เหมือนกันนะ ถือว่าถึงจะเป็นงานแสดงแต่อย่างน้อยก็ยังเป็น musical ยังมีให้ร้องเพลงค่ะ
ได้เล่นเรื่อง “น้ำใสใจจริง” เป็นเรื่องแรก รับบทเป็นตัวร้ายแนวคอมเมดี้ ต้องแสดงบ้าๆ บอๆ เป็นตัวตลกประจำเรื่อง เลยทำให้มาค้นพบว่าเราเหมาะกับบทตลกนี่เอง พี่ผู้กำกับบอกว่าจังหวะหนูได้มากๆ แต่หนูไม่เคยรู้มาก่อนนะว่าตัวเองเป็นคนตลก เขาบอกเพราะเธอไม่รู้ไงว่าตัวเองตลก เธอเลยตลก แต่ถ้าตั้งใจจะตลกมันก็จะดูเฟกไปทันที (ยิ้มกว้าง) ก็ดีใจค่ะที่ได้ลองแสดง แต่ถ้าถามว่าชอบอะไรที่สุด ก็ชอบเป็นนักร้องที่สุดแล้ว
หนูว่าจริงๆ แล้วคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ทุกคนอยากจะพุ่งตรงทำในสิ่งที่เราอยากทำไปเลยอันเดียวเหมือนกันหมดแหละ ถ้าอยากเป็นนักแสดงก็อาจจะอยากแสดงอย่างเดียว แต่บางทีก็ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้มีสิทธิ์เลือกขนาดนั้นไงคะ (ยิ้มปลงๆ) โอกาสที่เข้ามาก็กำหนดตายตัวไม่ได้ เราก็ยังต้องกินต้องใช้อยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้นมีอะไรให้ทำก็ต้องทำไปก่อน เพราะกว่าจะได้รับโอกาสอย่างทุกวันนี้มันก็ไม่ใช่ง่ายๆ เลย (ว่าแล้วเธอก็เริ่มย้อนความหลังให้ฟัง)
หนูประกวดร้องเพลงมาตั้งแต่อายุ 11 ปี แพ้-ชนะมาเรื่อยๆ พออายุ 15 ก็ได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินฝึกหัดที่อาร์เอสฯ อยู่ 2-3 ปีได้ แต่สุดท้ายก็โครงการล้ม ตอนนั้นแอบเสียใจเหมือนกัน แต่มองกลับไปตอนนี้ก็เข้าใจค่ะว่านี่แหละคือวงการบันเทิงของจริง มันคือความแน่นอนของความไม่แน่นอนจริงๆ นี่คือคอนเซ็ปต์ของวงการเลยที่ต้องทำใจไว้ถ้าคิดจะมาทำงานตรงนี้
คือบทเราจะได้โอกาสอะไร จู่ๆ ถ้ามันจะมา มันจะมาเร็วมาก สมมติว่าเรารอตั้งนาน เมื่อไหร่จะได้ทำอัลบั้มสักทีวะ แต่บทจะทำขึ้นมา เดือนเดียวต้องเสร็จ มันเป็นธรรมชาติของวงการนี้เลยค่ะ พอโปรเจ็กต์มา จังหวะได้ ต้องทำทันที เพราะงั้นช่วงแรกๆ เราต้องอดทนรอแล้วก็เตรียมตัวไว้ให้พร้อมทุกสถานการณ์ ต้องเข้าใจว่าการทำงานในวงการมันประกอบด้วยหลายอย่าง มันมีทั้งระบบ Marketing ด้วย ทำให้เขาต้องรอจังหวะเวลา ถ้าเขาดันแสดงว่าจังหวะนี้ออกมาแล้วต้องขายได้ชัวร์ๆ เราก็ต้องฉวยมันไว้ให้ได้
เคยคิดไหมว่าถ้าไม่เป็นนักร้องจะไปทำอะไร?
ตั้งแต่ก่อนเอนท์ฯ ก่อนจะเรียนเอก voice ก็คิดมาตลอดว่าอยากร้องเพลง ถ้าถามว่าไม่เป็นนักร้องแล้วจะเป็นอะไรเหรอคะ... (นิ่งคิด) โอ้โห! นึกไม่ออกเลยค่ะ (มือกุมขมับ) ถ้าไม่เป็นนักร้องอย่างตอนนี้ ก็คงเป็นนักร้องกลางคืนค่ะ (คำตอบของเธอทำเอาทั้งคนฟังและคนพูดเองหัวเราะออกมาพร้อมกัน) สรุปคือเป็นนักร้องเหมือนเดิม (ยิ้ม) แต่อาจจะเปลี่ยนไปร้องแนวแจ๊ซตามผับตามบาร์แทน
การร้องเพลงเป็นความสุขของการทำงานค่ะ หนูไม่สามารถจินตนาการให้ตัวเองไปนั่งในออฟฟิศ เริ่มงาน 8 โมง ออกจากที่ทำงาน 4 โมงเย็น (ส่ายหน้า) ทำไม่ได้จริงๆ ไม่สนใจบำเหน็จบำนาญอะไรทั้งนั้นด้วย คือถ้าไม่มีงานร้องเพลงให้ทำจริงๆ อาจจะมีช่วงชีวิตหนึ่งที่ชีวิตสับสนจนต้องลองไปทำงานออฟฟิศดู แต่สุดท้ายคิดว่าคงอยู่ได้ไม่นาน สักพักก็ออกอยู่ดีค่ะ (หัวเราะเบาๆ)
ที่นึกได้อีกอย่างที่อยากทำถ้าไม่ได้ไปนักร้อง คงจะทำอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับหมาเพราะว่าชอบ หรือทำอะไรก็ได้ที่เรามีความสุข คืออาจจะเปิดร้านขายของเกี่ยวกับน้องหมาเป็นงานกลางวัน แล้วทำงานเป็นนักร้องตอนกลางคืน (หัวเราะ) ลูกโป่งไม่อายนะ ใครจะมองว่าเราเป็นนักร้องกลางคืนก็ช่าง ก็ทำไมล่ะ มันเป็นงานสุจริตนี่ แล้วเราก็ไม่เคยดูถูกคนทำแบบนี้ด้วย อยากทำอะไรก็ทำ มีความสุขก็พอ คุณแม่หนูก็ไม่ได้บังคับอะไรอยู่แล้วด้วยค่ะ เขารู้ว่าเรามีความรับผิดชอบพอ อีกอย่างคุณแม่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันตอนสาวๆ อยากทำอะไรทำ เขาก็เลยไม่ว่าอะไรเรา (ยิ้มกว้าง)
คนอื่นอาจจะมองว่ามันเป็นงานไม่มั่นคง แต่หนูมองว่างานแบบนี้รวยเร็วกว่านะ (เมื่อเห็นคู่สนทนาอึ้งกับคำตอบ เธอจึงย้ำอีกครั้งหนึ่ง) อ้าว! จริงๆ คนเราต้องเอาตัวเองให้รอดก่อนค่ะ เงินเป็นปัจจัยสำคัญนะ พ่อแม่ก็ไม่ได้มีมาให้เรามากมายตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นเราต้องหาเองค่ะ หนูไม่ได้มีชีวิตเหมือนบางคนที่มีพ่อแม่รวยอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรมากก็ได้ แต่เราไม่มีไงคะ เราก็เลยต้องดิ้นรนหน่อย อีกอย่างหนูเป็นคนชอบเสี่ยงมากกว่ามานั่งรอความมั่นคงด้วย ชีวิตมันไม่แน่ไม่นอน ทุกอย่างมันต้องเสี่ยง ไม่รู้นะ แต่ความคิดหนูเป็นแบบนี้ จะให้มารอก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีอะไรที่อยากจะมีในชาตินี้สักที
แล้วชีวิตเราอยากได้อะไร?
(ยิ้มเขินๆ นิดหนึ่ง) จริงๆ แล้วความฝันสูงสุดตอนนี้คืออยากมีเรือยอชต์ค่ะ ชอบเที่ยวทะเลค่ะก็เลยอยากมี แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เคยอยากมีและทำได้แล้วตอนนี้ก็คือบ้านค่ะ ซื้อที่ข้างบ้านได้แล้วก็เอามาทำสวน แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นหนี้อยู่ค่ะ (เธอหัวเราะตบท้ายก่อนเริ่มเผยความลับเล็กๆ ออกมา)
ลูกโป่งคิดว่าอีกหน่อยคงไปเรียนปริญญาโทที่ต่างประเทศค่ะ เรียนด้านร้องเพลงเหมือนเดิมนี่แหละ ถามว่าไปทำไม จริงๆ แล้วเรื่องเรียนคือข้ออ้างนะ (หัวเราะ) ชีวิตเรามีชีวิตเดียวค่ะ อยากไปเปิดหูเปิดตา ไปเห็นอะไรแบบถ้าไม่มีเงินทำไม่ได้ ไม่ได้จะพูดว่าตอนนี้หนูมีเยอะนะ หมายความว่าแต่ก่อนอยากไปเรียนมาก แต่ไม่มีเงินไปเลยไม่ได้ไปค่ะ ตอนนี้ก็พอมีบ้างนิดหนึ่งแล้ว ถ้ามีโอกาสเหมาะๆ ก็คิดว่าจะไป
ถามว่าเสียดายวงการนี้ไหมถ้าจะต้องทิ้งไปเรียนต่อตอนนี้ หนูว่าวงการนี้มันมีคลื่นลูกใหม่มาเรื่อยๆ นะ หนูไม่ได้ยึดติดว่าเราจะต้องโด่งดังอะไรอยู่แล้ว เพราะตอนนี้ อยู่ตรงนี้ลูกโป่งก็ไม่ได้ดังจนถึงขั้นต้องเสียดายอะไร (ยิ้ม) รู้สึกว่าตัวเองยังเด็กอยู่ด้วยค่ะ ไม่ได้แก่จนเริ่มอะไรใหม่ๆ ไม่ทัน อย่างน้อยไปแล้วได้ดีกรี กลับมาเป็นครูสอนด้านร้องเพลงก็ยังได้ หรืออย่างน้อยๆ พอกลับมาที่ไทย คนเขาคงยังไม่ลืมหรอกว่าเราคือคนที่ร้องเพลงได้คนหนึ่ง และถึงตอนนั้นหนูคงมีวุฒิภาวะพอจะเป็นครูได้แล้วพอดี
แต่ถ้าเราอยู่ที่นี่ต่อ มันก็เท่านี้ไปเรื่อยๆ แหละ แค่มีงานมีเงินไปเรื่อยๆ ถ้าอยู่ที่นู่นอาจจะเสี่ยงหน่อย หาเงินไม่ได้เท่าที่นี่ แต่ก็อาจจะดีกว่า หรือไม่ก็แค่เท่าเดิม ไม่ได้มีอะไรแย่ไปกว่าเดิม เพราะงั้นคิดว่าจะไปปีหน้าแน่ๆ ค่ะ แต่ก็ต้องดูว่าผู้ใหญ่เขาจะโอเคหรือเปล่า มีคุยๆ เรื่องนี้ไว้บ้างเหมือนกัน พี่ที่บริษัทรู้เขาก็อึ้งเลยค่ะ บอกว่าหนูเป็นคนแรกนะเนี่ยที่อยากไปเรียนต่อ (ยิ้ม) ทุกคนที่ได้ทำงานตรงนี้เลิกคิดเรื่องเรียนกันไปหมดแล้ว แต่หนูแค่คิดว่าการเรียนเป็นการการันตีให้เราที่ดีที่สุดแล้วค่ะ การเรียนช่วยเพิ่มรายได้ให้เราได้ ช่วยขยายสังคม ช่วยเพิ่มโอกาสทุกอย่างได้จริงๆ ถ้าใครมีโอกาสเรียนต่อก็ไปเรียนเถอะหนูว่า
เราอาจจะได้เจออะไรใหม่ๆ ในชีวิตก็ได้ ใครจะไปรู้ว่าเราอยู่ที่นู่น อาจจะได้ทำอะไรดีๆ กว่าที่นี่ก็ได้ อยู่ที่นี่ก็มีแต่เหี่ยวๆ แห้งๆ ไปวันๆ ชีวิตก็เหมือนเดิมทุกวัน หนูว่าหนูคงไม่ได้จะดังไปกว่านี้แล้วล่ะ ถูกไหม (ยิ้มมุมปาก) เพราะฉะนั้นต้องดูตัวเองแล้วก็มองความจริงด้วย
ตอนนี้เป็นเราเป็นเสาหลักของครอบครัวใช่ไหม?
ใช่ค่ะ ตอนนี้คุณแม่เป็นแม่บ้าน แต่ก็มีพี่สาวช่วยหาเงินด้วยอีกคนหนึ่ง แต่หลักๆ แล้วเป็นลูกโป่งค่ะ เราหาได้เยอะกว่าก็ต้องช่วยเยอะกว่า ส่วนคุณพ่อเสียไปนานแล้วค่ะ ตั้งแต่หนู 10 ขวบได้ คือหลังจากคุณพ่อเสีย คุณแม่ก็เป็นหลักในการหาเงินนะ การเห็นแม่เคยต้องดูแลครอบครัวด้วยตัวเองแบบนี้ มันทำให้เรามองแล้วสอนตัวเองในอนาคตเลยว่า ต่อให้เราแต่งงาน มีสามีรวยให้ตายขนาดไหน เราก็ต้องทำงาน พอวันหนึ่งเขาจากไปจะทำยังไงล่ะ ทำอะไรไม่เป็นเคว้งคว้างกันพอดี เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีงานของเรา เขาก็ต้องมีงานของเขา
หนูไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดที่บอกว่า “ชีวิตนี้ไม่ต้องทำอะไรแล้ว แค่หาสามีรวยๆ ให้ได้ก็พอแล้ว” บางคนอาจจะพูดเล่นๆ กันขำๆ ในกลุ่มเพื่อน แต่ถ้าใครคิดจะทำอย่างนั้นจริงๆ ลูกโป่งก็อยากให้มองอีกมุมหนึ่งด้วย ต้องดูว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ที่หาสามีรวยๆ ได้เป็นเพราะเขารวยอยู่แล้วด้วยหรือเปล่า เพราะคนรวยมากๆ เขาก็ไม่เลือกคนจนๆ นะ ผู้ชายเขาไม่ได้โง่ (ยิ้มเย็นๆ) เขาก็ต้องหาคนที่พอๆ กัน
การเลือกคู่เหมือนต่างคนต่างเป็นเครื่องประดับ เป็นหน้าเป็นตาของกันและกันนั่นแหละค่ะ เป็นความจริงของโลกเลยล่ะ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่มีอะไรเลย ถ้าคิดว่าจะไปทุ่มตัวเพื่อหาผู้ชายรวยๆ มาเป็นสามี หนูว่ามันก็อาจจะหาได้นะ แต่ยังไงก็ไม่มีวันที่จะได้เป็นเบอร์หนึ่งของเขาแน่ๆ อาจจะเป็นเบอร์ 2-3-4 ว่ากันไป
ต้องขวนขวายทุกอย่างด้วยตัวเองแบบนี้หรือเปล่าถึงทำให้ตัดสินใจถ่ายชุดว่ายน้ำ?
ไม่เกี่ยวนะคะ (ท่าทีสบายๆ) เรื่องถ่ายชุดว่ายน้ำมันเป็นความบังเอิญมากกว่า พอดีมีพี่ๆ เขาเข้ามาถามว่าน้องเอเอฟคนไหนกล้าถ่ายชุดว่ายน้ำบ้าง ตอนแรกหนูก็คิดว่าจะถ่ายดีไม่ดีวะ แต่พี่เขาบอกว่าถ้าตอบรับว่าจะถ่ายแล้วพอเรียกตัว ห้ามปฏิเสธทีหลังด้วยนะ มันน่าเกลียด ก็เลยตัดสินใจไปเลยว่าถ่ายก็ถ่าย ตอนนั้นยังเรียนอยู่ด้วย ตอนหนังสือวางแผงก็ต้องทำตัวเนียนๆ เดินในจุฬาฯ เพราะผู้ใหญ่เขาไม่โอเคกับเรื่องแบบนี้ โชคดีว่าสอบทุกตัวผ่านหมดแล้ว (หัวเราะ) เหลือแค่รอรับปริญญาก็เลยไม่มีปัญหาอะไร
เคยถูกถามเหมือนกันค่ะช่วงถ่ายใหม่ๆ ว่าเราถ่ายเพราะอยากสร้างกระแสหรือเปล่า เลยอยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วลูกโป่งเนี่ย คนรู้จักชื่อมากกว่าเพลงด้วยซ้ำนะ พอพูดว่าลูกโป่งเอเอฟ คนก็จะรู้จัก แต่ถามว่าเพลงอะไร (ทำหน้างงแล้วหัวเราะ) ไม่รู้หรอกค่ะ เพราะฉะนั้นก็เลยไม่เคยคิดเรื่องจะปลุกกระแสให้คนมารู้จักเราหรอก หนูอยากถ่ายก็ถ่าย มันก็เหมือนเวลาเราไปเที่ยวทะเล เราก็ใส่อยู่แล้ว ถ่ายไว้เป็นคอลเลกชั่นหนึ่งก่อนแก่ก่อนเหี่ยวละกัน คิดแค่นี้เอง แต่ก่อนถ่ายหนูมีต่อรองด้วยนะ บอกว่าถ้าจะถ่าย หนูต้องได้ขึ้นปกนะ (ยิ้ม) ไหนๆ จะแก้ผ้าทั้งทีแล้วก็ต้องคุ้มนิดหนึ่ง (หัวเราะ)
หนูมองว่ามันเป็นแค่แฟชั่นอย่างหนึ่งแค่นั้นเองค่ะ ไม่ได้คิดมากอะไร แต่บางคนเขาก็คิดเยอะนะ บอกว่าถ้าถ่ายแบบนี้แล้วไปแต่งงานกับผู้ชายดีๆ ครอบครัวเขาจะแอนตี้เรา แต่หนูหัวสมัยใหม่หน่อยเลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ถ้าคนจะมองว่าแรงก็ช่างเถอะ (หัวเราะ) หรือถ้าจะถูกมองไปในเชิงเซ็กซี่ไปเลย หนูว่าผู้หญิงเซ็กซี่ก็ดีออก (ยิ้ม) เดี๋ยวนี้เวลาแต่งตัว อยากใส่อะไรก็ใส่นะ แต่ก็ไม่ได้เลือกที่โป๊เปลือยจนเกินงาม ถ้าโป๊บนต้องปิดล่าง โป๊ล่างต้องปิดบน คือถ้าเลือกจะแต่งโป๊แล้วต้องดูแพงค่ะ ไม่ใช่โป๊แล้วดูถูกลงก็ไม่ได้
(ว่าแล้วก็หันไปถามพี่ที่ตามมาดูแล) เอ้อ! พี่ ขอนอกเรื่องหน่อยดิ พะแพงเขาไปถ่าย FHM มาเหรอ หน้าในหรือปกอ่ะ (พอได้คำตอบว่าเป็นหน้าปกรับซัมเมอร์ ลูกโป่งก็พูดออกมาประโยคเดียวว่า) ขอด้วยดิ... ง่ายๆ ตรงๆ สบายๆ นี่แหละคือตัวตนจริงๆ ของเธอที่บรรจุอยู่ในลูกโป่งเล็กๆ ใบนี้ล่ะ
---ล้อมกรอบ---
นักแสดงหน้าขน
ถ้ามีการประกาศรางวัลจากสมาคมคนรักสัตว์ ลูกโป่งอาจได้ตำแหน่งหนึ่งในนั้นไปครอง เพราะปัจจุบันเธอเลี้ยงสุนัขพันธุ์ชิวาว่าไว้ถึง 4 ตัว แถมยังหิ้วไปไหนมาไหนด้วยตลอดตั้งแต่ถ่ายรายการ ขึ้นคอนเสิร์ต หรือแม้แต่ดันให้น้องหมาสุดเลิฟเป็นนักแสดงมืออาชีพก็ทำมาแล้ว
“เริ่มเลี้ยงมาได้ 5 ปีแล้วค่ะ เห็นมาจาก Paris Hilton (ยิ้มขำๆ) ช่วงนั้นเขาออกสื่อเยอะ อุ้มหมาไปนู่นมานี่แล้วก็แต่งตัวน่ารักๆ ให้ตลอด ก็เลยอยากเลี้ยงบ้าง ที่สำคัญเราเป็นคนชอบแต่งตัวอยู่แล้ว ได้แต่งให้หมาด้วยยิ่งสนุกใหญ่ ก็เลยยิ่งชอบค่ะ ตอนนี้ก็มี 4 ตัว ชื่อ วาซาบิ, ซาชิมิ, อิสเบลล่า แล้วก็ตัวเล็กสุดชื่อ เจนนิเฟอร์ค่ะ”
“เวลาไปไหนก็จะพาไปด้วยตลอด จะมีรถเข็นคันหนึ่งใส่เขาไป แต่หลังๆ เริ่มเอาไปพร้อมกัน 4 ตัวไม่ไหว วุ่นวายเกินไป ก็เลยผลัดๆ กันไปค่ะ ส่วนใหญ่จะพาวาซาบิไปตัวเดียวเพราะรู้ความสุดแล้ว ไม่เห่า ไม่วุ่นวาย เคยพาเขาเข้าห้องซ้อมดนตรีเสียงดังๆ ด้วยนะ มินิคอนเสิร์ตเอเอฟก็เคยพาขึ้นไป ละครเวทีเขาก็เคยเล่นด้วยนะ (น้ำเสียงภูมิใจ) แสดงเป็นหมาวัดชื่อ “บอย” ในเรื่องน้ำใสใจจริงค่ะ แล้วก็อีกตัว อิสเบลล่าก็เคยเล่นละครเวทีเรื่องปริศนาด้วย”
แล้วไม่ใช่แค่แสดงง่ายๆ ธรรมดาๆ ด้วย เพราะวาซาบิเป็นถึงระดับมืออาชีพ น้ำตาสั่งได้ “น้ำตาไหลเป็นเม็ดเลยล่ะ (ยิ้ม) เขาเป็นของเขาเองนะ ไม่ได้สอนเลย เขาชอบมองกล้องถ่ายรูปตลอดด้วย เกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ ค่ะ (มองอย่างเอ็นดู) เขารู้ด้วยนะว่าเวลาถ่ายรูปเราอยากให้มองกล้อง เพราะเวลาถ่ายเสร็จหนูจะพลิกกล้องให้เขาดูหน้าตัวเอง” ฉลาดแบบนี้ สงสัยถ้ามี “มะหมา 4 ขาครับ” ภาค 3 ต้องให้เข้าร่วมแจมเสียหน่อยแล้ว
คิดถึงแฟนเก่า
อย่างที่บอกว่าเป็นคนเปิดเผย แม้กระทั่งเรื่องหัวใจลูกโป่งก็ไม่เคยเม้ม ล่าสุดเพิ่งปล่อยซิงเกิลเพลง “บางที” ออกมา เนื้อเพลงพูดถึงแฟนเก่า ประมาณว่า “หันทุกอย่างรอบๆ ตัวแล้วมันทำให้เรานึกถึงแฟนเก่า แต่เราก็ไม่ได้อยากกลับไปดีกับเขานะ แค่อยากรู้ว่าเป็นไงบ้าง สบายดีไหม แค่นั้นเองค่ะ” ลูกโป่งเล่าให้ฟังคร่าวๆ แถมยังบอกอีกว่าเป็นคนไกด์เนื้อเองแล้วให้ว่าน -ธนกฤต ช่วยเรียบเรียงอีกที
“ก็แต่งมาจากความรู้สึกของเราเวลาคิดถึงแฟนเก่านั่นแหละค่ะ เราเลิกกันนานแล้วนะ แต่แค่อยากหยิบอารมณ์หนึ่งมาแต่งค่ะ จริงๆ แล้วเขาก็รู้กันหมดทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วแหละเพราะหนูก็ไม่ได้ปิดอะไร เป็นอารมณ์ที่ทุกคนที่เคยมีแฟนแล้วเลิกกันไปต้องเคยมี พอปล่อยเพลงนี้ออกไป มีคนส่งทวิตเตอร์มาบอกด้วยนะว่าฟังแล้วร้องไห้เลย บางคนบอกชอบเพลงนี้มาก แต่ไม่อยากฟังแล้วเพราะแฟนตัวเองตอนนี้ แอบนั่งฟังอยู่คนเดียว (หัวเราะ)” ไม่รู้ว่าตอนนี้แฟนเก่าของลูกโป่งจะแอบนั่งฟังเพลงนี้อยู่คนเดียวอีกคนหนึ่งหรือเปล่า
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร