xs
xsm
sm
md
lg

คุยโขมงโฉงเฉง กับ 'โสภณ ดำนุ้ย' จาก 'หลินปิง' ถึง 'สวนสัตว์'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่านไปเร็วเหมือนโกหก เมื่อจู่ๆ ภิมุข สิมะโรจน์ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ก็ประกาศเตรียมจะจัดงานนับถอยหลัง 'หลินปิง' อำลาประเทศไทย เพราะอีกเพียงปีเดียว แพนด้าสาวซึ่งมีภูมิลำเนาที่ประเทศไทยจะต้องจรลีกลับสู่อ้อมอกแดนมังกร แถมไม่ไปเปล่ายังพกพ่อแม่ ช่วงช่วงกับหลินฮุ่ย ซึ่งอยู่เมืองไทยมาแล้วเกือบทศวรรษกลับไปอีกต่างหาก จนอาจจะเรียกว่าปี 2556 เป็นปีอำลา 'ครอบครัวแพนด้า' ของคนไทยกันเลยทีเดียว

มางานนี้ก็ถือโอกาสมาพูดคุยกับ 'โสภณ ดำนุ้ย' ซึ่งแม้จะเกษียณจากตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ฯ ได้ร่วมปีแล้ว แต่ก็ต้องถือว่าเขาเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในฐานะหัวเรี่ยวหัวแรงของการนำแพนด้ามาไว้ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ รวมไปถึงการสร้างกระแสให้เจ้าหมีน้อยโด่งดังกว่าที่ใครจะคาดคิด

รู้สึกอย่างไรบ้างที่หลินปิงจะต้องกลับเมืองจีนในปีหน้า

มันเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง ผมรักอย่างนั้นจริงๆ เพราะตั้งแต่พ่อแม่ของเขามาอยู่ เราก็ใช้ความพยายามอย่างหนักในการผสมพันธุ์ ตั้งแต่แบบธรรมชาติ ฉายหนังโป๊จนเป็นข่าว แต่ไม่สำเร็จ ก่อนจะประสบความสำเร็จด้วยการผสมเทียม พอสำเร็จเราก็มีการฉลองโดยการรำโนราห์ ประกวดตั้งชื่อและได้ชื่อหลินปิงออกมา แล้วยังมาทำช่องของทรูอีก ที่มีช่องของเขาโดยเฉพาะ 24 ชั่วโมง จัดวันเกิดประจำเดือน พอหลินปิงอายุ 2 ขวบแล้ว เรายังเจรจาต่อรองจนขอมาได้อีก 2 ปี และถึงไม่ได้รับผิดชอบแล้ว ก็ยังติดตามโหยหาอาทรอยู่ เพราะมันเหมือนสิ่งที่เรารัก ทำมากับมือต้องจากไป ก็ไม่รู้จะทำใจยังไงเหมือนกัน

คิดว่าจะส่งผลกระทบอะไรต่อคนที่รักหลินปิงบ้างไหม

แน่นอน เพราะหลินปิงมีแฟนคลับมากถึง 16 ล้านคน ซึ่งนับจากรายชื่อที่ส่งไปรษณียบัตรตอนตั้งชื่อ แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะเงียบไปบ้างก็ตาม เชื่อไหมเมื่อไม่กี่คืนก่อน มีแฟนคลับหลินปิงชื่อ โสภา ซึ่งดูแพนด้าตลอดเวลา จนลูกบอกว่าแม่ดูไปเถอะเดี๋ยวปีหน้าหลินปิงก็ต้องกลับจีนแล้ว เขาก็โทร.มาถามผมเลยว่า จะทำอะไรได้บ้าง ซึ่งผมก็ตอบไปว่า เรื่องแบบนี้มันเป็นระเบียบ แถมเราก็ต่อมาแล้วทีหนึ่ง ซึ่งจีนเอากลับไปก็เพื่อไปหาคู่ให้

อย่างนี้ให้จีนส่งคู่มาเมืองไทยไม่ง่ายกว่าเหรอ

สมัยที่ผมยังทำงานตรงนี้อยู่ เราก็คิดเหมือนกัน โดยตอนนั้นเราไปเจรจาของมาอยู่ตลอดเลยได้ไหม ซึ่งรัฐมนตรีป่าไม้ของจีน ก็บอกว่าไม่น่าจะมีปัญหา แต่ภายหลังลูกน้องท่านสะกิดว่า ไม่ได้ๆ (หัวเราะ) ท่านก็เลยบอกว่า ให้หลินปิงกลับมาเมืองจีนก่อนแล้วพอหาคู่ได้แล้วค่อยกลับมาเมืองไทย เราก็เลยบอกว่า อย่างนี้มาขอตัวผู้ไปแล้วมาผสมพันธุ์กับหลินปิงแทนได้หรือเปล่า แล้วอาจจะมาไว้ที่กรุงเทพฯ ท่านก็บอกว่า ไม่มีปัญหาแต่ต้องจัดสินสอดทองหมั้นมาเยอะๆ หน่อย เราก็เลยบอกว่า ยินดีเลยจะจัดขันหมากให้สมเกียรติ แล้วก็เชิญคนไทย 60 ตระกูล ไปขอเลย เขาก็บอกว่าดีๆ แต่ตอนนี้ก็ดูเงียบๆ ไป

ถ้าหลินปิงกลับไปอยู่เมืองจีนจะมีปัญหาในการปรับตัวหรือไม่ เพราะคงไม่ได้มีใครดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษเท่ากับอยู่ที่เชียงใหม่แล้ว

ไม่น่าเป็นปัญหา น่าจะปรับตัวได้ เพราะไปอยู่กันแบบธรรมชาติ ไปอยู่กับเพื่อนฝูง ซึ่งจีนเขาจะรวบแพนด้าที่เกิดปีใกล้ๆ กันสัก 10-20 ตัว แล้วก็ให้เลือกคู่ ตัวไหนชอบกันก็จับเป็นคู่แล้วแยกไป ซึ่งบางทีอาจจะปล่อยให้เขาจับกันไปก่อน แล้วเหลือตัวไหนที่ยังไม่ได้คู่ ค่อยเอาไปให้หลินปิงแล้วกัน (หัวเราะ)

แล้วในส่วนของช่วงช่วงกับหลินฮุ่ยล่ะ ตุลาคม 2556 ก็จะครบสัญญาเหมือนกัน

จริงๆ เรื่องนี้ ก็ต้องเริ่มดำเนินการโดยด่วนได้แล้ว คืออาจขอต่อหลินปิงไปทางจีนอีกที ซึ่งก็รู้ว่าเขาไม่ให้หรอก แกล้งดื้อไปก่อน (หัวเราะ) ส่วนช่วงช่วงกับหลินฮุ่ย ก็ขอให้อยู่ในเมืองไทยอีกสัก 10 ปี ซึ่งผมเชื่อว่ากรณีหลังนี้น่าจะเป็นได้ เพราะต้องยอมรับว่า เราเอาสัตว์ของมาเลี้ยง แล้วทำได้ดีมากๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ มีโอกาสที่จะผสมเทียมแล้วมีลูกเพิ่ม เขาก็ให้เราใช้ความสามารถอีกก็ได้

ถามจริงๆ คิดว่า กระแสหลินปิงที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มันถือว่าเยอะเกินไหม

ไม่! (ตอบทันที) ถือเป็นเรื่องจำเป็น เราต้องดูแบบนี้ ถ้าลองเทียบคนุต (หมีขาวกำพร้าจากประเทศเยอรมนี) มีแฟนทั่วโลกถึง 300 ล้านคน แต่ของเรายังไม่ถึงเลย อย่างมากรวมประเทศรอบข้างแล้วก็ไม่เกิน 20 ล้านคน ฉะนั้นการจะทำอะไรก็ตามในระดับเดียวกัน

อย่างฝรั่งเขาจับคนุตมา คนดูรู้จักมาเที่ยวมากขึ้น ซึ่งเมื่อมาเทียบกับเมืองไทย แต่เดิมสวนสัตว์เราไม่ได้มาตรฐานโด่งดังถึงขนาดนี้ พอมีแพนด้าขึ้นมาเราก็พัฒนาสวนสัตว์ เพราะมันทำได้ง่ายขึ้น หนึ่งคือหางบประมาณ ซึ่งหากถามว่ามากเกินไปไหม ผมมองว่า นี่คือการยกระดับมากกว่า สู่ระดับมาตรฐานสากลมากขึ้น เทียบกับสวนสัตว์ระดับสากลของโลกที่เขาพัฒนาแล้ว อย่างเชียงใหม่ คนมาเที่ยวเยอะ เราก็สามารถปรับปรุงได้มากขึ้น มีอควอเรียม (พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ) มีโมโนเรล (รถไฟฟ้า) มีตัวโคอาล่า ไหลเข้ามาพรั่งพรู แต่ถ้าไม่มีตัวสำคัญสักอย่าง แบบนี้มันก็ลำบาก ต่อไปก็ต้องคิดว่าจะทำยังไง อย่างแพนด้าไม่อยู่ คนก็อาจจะบอกไม่ไปแล้ว เราก็ต้องหาสตาร์มาแทน ซึ่งแต่เดิมผมเคยวางหมีขาวไว้

ในฐานะเป็นคนนอกแล้วในตอนนี้ มองการทำงานของสวนสัตว์ปัจจุบันอย่างไร

ผมว่าในส่วนของการศึกษาและการวิจัยถือว่าเด่นขึ้นมาก เพราะว่าเดี๋ยวก็ผสมเทียมได้ เดี๋ยวก็โคลนนิ่งได้ ปรับตัวอ่อน เอาสัตว์เข้าสู่ป่า แต่ทางด้านการพักผ่อนหย่อนใจ หรือการส่งเสริมการตลาดอาจจะดูซบเซาไปนิดนึ่ง เพราะด้วยความที่ผู้บริหารยังใหม่อยู่ แม้จะรู้จักการบริหารก็จริง แต่อาจจะใจไม่ถึงเท่ากับเรา เพราะของเราไปรำโนราห์ก็ได้ จัดคริสต์มาสก็ทำ ทำได้หมด เพราะเราทำจากใจของตัวเอง ซึ่งจริงๆ เรื่องพวกนี้ไม่ยากหรอก แค่สร้างกิจกรรมขึ้นมาก็สำเร็จแล้ว

อย่างนี้สวนสัตว์ในฝันของคุณเป็นแบบไหน

จริงๆ สวนสัตว์มันมีหัวใจอยู่ 3 ส่วนเท่านั้นแหละ คือเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ให้การศึกษา และการทำเป็นเรื่องวิจัย ซึ่งถ้าทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงมาตรฐานสากลของโลก เช่น การดูแลสัตว์ต้องทำแบบนั้น ไม่ใช่พอผ่านการประเมินไปแล้ว ก็ปล่อยให้สัตว์อดอยากแร้นแค้น อาหารไม่เพียงพอไม่ดี สกปรก บุคลากรไม่ดูแล ไม่ต้องรับประชาชน คือถ้าทำดีขึ้นมา ประชาชนก็จะให้การสนับสนุน เพราะคนอยากเที่ยวสวนสัตว์อยู่แล้ว เช่น มีลูกคนแรก ก็ต้องพาลูกไปสวนสัตว์เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้

สวนสัตว์ในเมืองไทยถึงว่าตรงใจไหม

ผมให้สัก 80 เปอร์เซ็นต์แล้วกัน เพราะสมัยก่อนมันแย่มาก เทียบกับสิงคโปร์ไม่ได้เลย มาสร้างขึ้นมาก็พร้อมทุกอย่าง แต่ตอนหลังเราปรับปรุงขึ้นมา ทุกสวนสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นของรัฐ หรือเอกชนก็ตาม ดูอย่างซาฟารีเวิลด์ ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ สวนนงนุช มีมาตรฐานดี จนถ้าเทียบกับอาเซียนตอนนี้เรากินขาด

แล้วสัตว์ที่มีอยู่ถือว่าเพียงพอไหม

ต่อไปในอนาคตเราอาจจะหาสัตว์ไม่ได้ เพราะการทำสวนสัตว์มันต้องมีสัตว์อยู่ 2 ประเด็น ก็คือ Zoo animal หรือสัตว์ที่สวนสัตว์ควรจะมี เช่น เสือ ม้าลาย ยีราฟ ฮิปโปโปเตมัส แล้วก็มีสตาร์ตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นสัตว์ในพื้นที่ของตัวเอง แต่ปัญหาคือประเภทแรกนั้น การเคลื่อนย้ายนั้นยากมาก อย่างจะเอายีราฟจากแอฟริกา ตัวหนึ่งหลายล้านเลย เพราะน้ำมันมันแพงขึ้น ซึ่งแบบนี้เราก็ซื้อไม่ไหว และหากจะให้ทำเฉพาะสวนสัตว์ที่มีแต่สัตว์ในประเทศไทย มีเก้ง มีนกเงือก ซึ่งเราเคยทำไปแล้ว ปรากฏว่า คนเขาไม่ตื่นเต้น แล้วการจัดหาสัตว์จากธรรมชาติเดี๋ยวนี้ มันทำไม่ได้ เพราะพระราชบัญญัติมันแข็งแรง และเราเองก็ไม่มีการทำแบบนั้นด้วย

ตอนนี้คุณโสภณอยากให้มีสัตว์ตัวไหนเข้ามาอยู่ในสวนสัตว์ไทย

ผมอยากได้ตัวมาลาตี รูปร่างเหมือนนางเงือก คือหน้าอกมีนม ลักษณะคล้ายๆ คน ซึ่งมีขายอยู่แถวแอฟริกา อีกตัวที่อยากได้ก็คือ คิงคอง ซึ่งมีอยู่ที่พาต้าอยู่ 1 ตัว เป็นตัวเมีย ส่วนของเรายังไม่มี ซึ่งจริงๆ การที่เขาไปอยู่ที่สูงมันก็ดี เพราะเขาไม่เจอเชื้อโรค อยู่ได้ตลอดชีพไม่ตาย แต่ถ้าให้มาอยู่ที่พื้น มีสิทธิ์เจอเชื้อโรค ตายง่าย อย่างสิงคโปร์เอามาเลี้ยง 2 ครั้งตายหมด แต่เรามีความท้าทาย เพราะเรารู้ว่ามันตายเพราะเชื้อที่มาจากดิน ดังนั้นเวลาสร้างกรง ก็ต้องยกพื้นขึ้น ไม่อย่างนั้นเวลาฝนตกมันตายทันที

คิดอย่างไรกับที่บอร์ดขององค์การสวนสัตว์ฯ ปลดคุณภิมุขออกจากตำแหน่ง

คุณภิมุขเป็นคนตั้งใจทำงาน แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ที่มาที่ไปเท่านั้นเอง ซึ่งบางคนก็มองว่าเขามาจากการเมือง เนื่องจากเขามาจากตำแหน่งเลขาฯ รัฐมนตรี (สุวิทย์ คุณกิตติ อดีต รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ) แต่เมื่อเข้ามาอยู่ก็ทำงาน ก็ทำได้ดี ซึ่งการปลดออกอาจจะเร็วไปนิดหนึ่ง เพราะรถเพิ่งสตาร์ท เครื่องยังไม่ทันร้อนเลย

ผู้อำนวยการคนใหม่ที่เข้ามาแทนน่าจะมีลักษณะอย่างไร

ต้องเข้าใจเรื่องสัตว์พอสมควร ควรเป็นนักบริหารที่นำองค์กรไปให้ได้ และเข้ากับข้างบนข้างล่างได้ โดยเฉพาะการเมืองต้องแน่นพอ เพราะที่ผ่านมา 8 ปี เลือดตาแทบกระเด็นเหมือนกัน จะถูกไล่ออกไม่รู้กี่ครั้ง แต่เราก็ใช้คติเปรี้ยวมาก็หวานไป ด่ามาก็นั่งยิ้ม ไม่โกรธ สุดท้ายผู้บริหารเขาก็มองว่าเราน่าจะเป็นตัวหลักที่จะช่วยงานได้ และเราเองก็ต้องเข้าใจว่า ทั้งบอร์ดทั้งรัฐมนตรีมีเวลาน้อย ซึ่งบางคนมีความคิดเยอะแยะให้ทำ ซึ่งเราต้องปรามเขาให้ทัน บางอย่างทำไม่ได้ผิดหลักเกณฑ์ เราก็ต้องยืน หรือบางอย่างแก้ไขระเบียบได้แล้วดีกับองค์กรก็ควรจะทำ ไม่ใช่มายืนตามระเบียบเป๊ะ

ให้กลับไปเป็นผู้อำนวยการฯ อีกสมัยเอาไหม

ถ้าไม่ใช่งานประจำโอเค แต่ถ้าเป็นซีอีโอพอแล้ว เพราะ 8 ปีที่อยู่มันเครียดมาก เชื่อไหม ผมเคยคิดจะฆ่าตัวตาย คือตอนนั้นสร้างอควอเรียมที่เชียงใหม่ แล้วบอร์ดมีมติให้ยกเลิก เราทำอะไรไม่ได้ก็เซ็นคำสั่งไป ซึ่งเขาก็มาฟ้องเรา 1,400 ล้านบาท เพราะสร้างความเสียหาย เราก็มาคิดว่า ถ้ายังมีชีวิตอยู่ลูกเมียต้องรับภาระหนี้สินแน่เลย แล้วเราจะเอาเงินที่ไหน แต่ถ้าเราตายก็จบไปเลย ซึ่งพอมาคิดดูอีกทีมันเป็นทางออกที่ไม่ใช่ เพราะคุณสมบัติของซีอีโอก็คือนักสู้ นักคิด นักแก้ปัญหา เราก็ต้องคิดว่าจะแก้ยังไง ซึ่งในที่สุดก็มีทางออก และหาวิธีสร้างจนสำเร็จ เพราะฉะนั้นถ้าวันนั้นเราทำอะไรโง่ๆ เสียใจตายเลย

ทุกวันนี้ คุณยังไปเที่ยวสวนสัตว์อีกไหม

ไปประจำ ทุกอาทิตย์เลย (หัวเราะ)
>>>>>>>>>>
..........
เรื่อง : สุทธิโชค จรรยาอังกูร
ภาพ : พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร







กำลังโหลดความคิดเห็น