แม้ภาพจริงจากการรับรู้ทางประสาทตาจะรางเลือน หากแต่ภาพอนาคตของผู้คนกลับกระจ่างชัดออกมาจากถ้อยทำนายของเขา และยิ่งกระจ่างชัดเจนในความถูกต้องของคำทำนายเมื่อลูกค้าหลายคนหันต่างออกท่าทีพยักหน้า อุทาน ตกใจในความแม่นยำราวกับตาเห็น
ทั้งที่ นิพนธ์ พรรณรักษา คือหมอดูตาบอด แน่นอนว่า เขาไม่ได้รับรู้ถึงอากัปกิริยาเหล่านั้นเลย
“มันก็ยากอยู่ เพราะผมมองไม่เห็นลูกค้าเลยว่าแต่งตัวยังไงมา รวยหรือจน ซึ่งการมองเห็นทั้งหมดนี่ก็มีส่วนต่อการทำนายนะ บางทีก็ต้องถามตรงๆ ซึ่งลูกค้าบางคนก็ไม่ชอบ” เขาเล่าถึงการทำนายที่ต่างจากคนทั่วไป
ในท่วงทำนองเบาบางและสม่ำเสมอของเสียงคลื่นริมคลองแสนแสบ ท่าเรือวัดศรีบุญเรือง ทำนองชีวิตของเขาเบาบางและสม่ำเสมอเช่นกัน ในทุกช่วงวันที่มานั่งลงที่ศาลาใกล้ๆ วัด ตรงท่าเรือ เริ่มทำอาชีพหมอดูไพ่ยิปซีเริ่มต้นในเช้าเก้าโมง จนเสร็จสิ้นในเย็นหกโมงของทุกวัน ทว่าก่อนหน้านี้ ชีวิตเขาดำเนินมาในลักษณะที่แตกต่างออกไป ด้วยเพราะเขายังมองเห็น
“ผมมาดูดวงอยู่ตรงนี้ ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2549 ผมจำวันได้แม่นเลยแหละ...”
ภาพอดีตไม่เคยรางเลือน
ภาพในสมัยเด็ก เขาจำได้แม่นยำชัดเจนว่าเค้าลางของความมืดบอด เริ่มเผยตัวของมันออกมาให้เขาเห็น เป็นการมองไม่เห็นในยามกลางคืน ซึ่งคนทั่วอาจมองเห็นจากสลัวของแสงจันทร์
“พ่อก็เคยพาไปหาหมอนะ ว่าเป็นอะไร แต่ตอนนั้นหมอยังไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร คิดว่าเป็นตาบอดกลางคืนบ้าง ตาฟางกลางคืนบ้าง หมอบอกไม่เป็นไรหรอก ตอนนั้นสักห้าขวบได้ แต่พอมาถึงตอนเรียนที่นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปีสองหรือปีสาม ไปหาหมออีกทีก็ได้รู้แล้วว่า เป็นโรคประสาทตาเสื่อม รักษาไม่ได้ หมอตาทั่วโลกรู้หมดว่า ยังรักษาไม่ได้กระทั่งปัจจุบันก็ตาม”
ทว่าด้วยโรคร้ายนั้นยังไม่แสดงอาการ เขาในวัยนักศึกษาว่าที่ทนายความ ยังคงสามารถท่องตำรับตำรากฎหมาย อีกทั้งยังดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข ยังเล่นกีฬาตีเทนนิส จนเมื่อวันนั้นมาถึง วันที่เขาเริ่มมองไม่เห็นสำนวนคดีความที่ต้องอ่าน มองไม่เห็นผู้พิพากษาในศาลที่เขาต้องว่าเบิกความ ภาพที่เริ่มไม่ชัดเดินทางสู่ภาพรางเลือนอย่างรวดเร็ว และมันจบชีวิตการทำงานทนายความตลอด 13 ปีของเขา ในปีที่กฎหมายพระราชบัญญัติฟื้นฟูผู้พิการกำลังจะออกในช่วงปลายปี
“ตกใจนะ มันเริ่มรางๆ แล้ว กลางวันเดินมองป้ายโฆษณายังเห็น ตัวหนังสือใหญ่ๆ ยังเห็น แต่ในหนังสือมองไม่เห็นแล้ว คือถ้าตอนนั้นกฎหมายฉบับนั้นออกมาก่อน ผมก็คงไม่ต้องออกจากงาน เพราะตอนนั้นก็ยังต้องทำงานอยู่ อาจทำในตำแหน่งโอเปอเรเตอร์ ตำแหน่งที่ทำงานได้ เพราะผมมีภรรยาแล้ว และมีบ้าน มีรถต้องผ่อน ตอนนั้นต้องใช้จ่ายมาก ก็ต้องดิ้นรนแล้ว ยังพยายามจะเป็นทนายฯ ขึ้นศาลไปโดนด่าก็มี เพราะเรามองไม่เห็น”
เมื่อแยกทางจากชีวิตทนายความของธนาคารแห่งนั้น โดยได้เงินชดเชยมาในจำนวนไม่มากพอจะดำรงชีวิต เขาหันมาประกอบอาชีพนายหน้าขายที่ดิน พร้อมรับงานด้านกฎหมายบ้างเป็นครั้งคราว งานง่ายๆ อย่างจัดการมรดก ส่งเอกสารให้ศาล พูดเบิกความ ทว่ารายได้ก็ยังไม่พอจะจุนเจือครอบครัว
“คือผมพยายามหางานทำ ถึงภรรยาจะไม่อยากให้ทำเพราะตาไม่ดีก็เถอะ แต่ผมก็ยังถือว่าเป็นหัวหน้าครอบครัว”
แล้วไม่นานก็หวนคืนสู่อาชีพทนายความ เมื่อสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยประกาศหาทนายความ ตั๋วทนายจากสมัยที่ตายังมองเห็นเบิกทางคืนสู่ชีวิตทนายความโดยง่าย แต่รายได้ก็น้อยนิดจนน่าตกใจ เพราะจ้างกันเป็นรายวัน ทำงานอาทิตย์ละสองวัน วันละ 600 บาท ซึ่งทำมาได้พักหนึ่งรายได้ก็ลดลงอีก เมื่อเวลาทำงานเหลือเพียงอาทิตย์ละวัน ทำให้ได้เงินเพียงเดือนละ 2,400 บาทเท่านั้น
แต่ทว่าวันคืนที่สมาคมคนตาบอดฯ ก็ไม่สูญเปล่า เมื่อวันหนึ่งเพื่อนคนสายตาเลือนรางนำไพ่ยิปซีมาเล่น จุดประกายความสนใจในศาสตร์การทำนายดวงให้กับเขา
“ผมก็เริ่มสนใจ เพื่อนที่สายตาเลือนรางเขายังพอเห็นก็สามารถดูไพ่ทำนายได้ แต่ผมตาบอด ตอนแรกก็บอกกับเพื่อนว่า ชาตินี้ผมคงดูดวงไม่ได้แล้ว เพราะมองไม่เห็น และไม่รู้อักษรเบรลล์ แต่พอได้เรียนอักษรก็คิดว่า เฮ้ย! เราเรียนได้นี่หว่า พิมพ์อักษรเบรลล์ลงในไพ่ได้ ผมก็ได้รู้ประวัติไพ่จากที่ฟังหนังสือเกี่ยวกับทำนายดวงที่ทางสมาคมคนตาบอดฯ เขามีบริการและเข้าโครงการที่เขาเปิดสอนวิชาชีพหมอดู ก็ทำให้ผมเริ่มดูดวงได้”
ช่วงนั้นการดูดวงด้วยไพ่ยิปซียังคงเป็นงานอดิเรกที่เรียกความสนใจของเพื่อนในสมาคมคนตาบอดฯ จนเมื่อได้มีโอกาสไปงานประชาสัมพันธ์ที่ไหน เขาจะได้รับเชิญไปออกแสดงการทำนายดวงด้วยเสมอ ตั้งแต่งานกาชาด งานการกุศลต่างๆ
“ผมก็เริ่มดูดวงมากขึ้น ก็มีความสุขนะ จากนั้นเพื่อนที่รู้จักกันแนะนำให้ผมมาดูดวงอยู่ตรงนี้ ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2549”
ชีวิต ‘ชัดเจน’ เมื่อ ‘มืดบอด’
นับจากนั้น ชีวิตหมอดูตาบอดก็เริ่มต้นขึ้น แต่ละวันที่ผ่านพ้น ตื่นเช้าขึ้นมา อาบน้ำแต่งตัวทานข้าว เสร็จเมื่อไหร่ก็โทรศัพท์เรียกมอเตอร์ไซค์วินมารับที่บ้าน ช่วยส่งจูงมานั่งลงที่นั่งประจำริมท่าเรือคลองแสนแสบ เปิดกระเป๋าปูผ้าที่โต๊ะ เริ่มต้นวันด้วยการนั่ง วางสำรับไพ่ในมือ รอคอยลูกค้า
“บางทีก็นั่งดูดวงตัวเองก่อนนะ” เขาหัวเราะ
“ดูสนุกๆ ดูเป็นกำลัง แต่ส่วนมากเวลาทำนายดวงให้ตัวเอง เวลาไม่ดีมันจะตรงนะ โชคดีมักไม่ค่อยตรง”
ระหว่างวันหลังทานข้าวกลางวันที่ภรรยาทำใส่กล่องข้าวให้ เด็กวัดจะมาพาเขาไปเข้าห้องน้ำ เป็นประจำทุกวัน จากนั้นเริ่มงานดูดวงต่อ ต่อวันแล้วเขาดูดวงได้วันละ 20 กว่าคนโดยประมาณ เมื่อหมดวันหากภรรยาไม่สะดวกมารับ เขาก็โทร.เรียกมอเตอร์ไซค์มารับกลับบ้าน
และด้วยความแม่นยำราวตาเห็นของเขา ไม่แปลกที่จะเริ่มมีชื่อเสียง รายการทีวี 2 รายการมาขอสัมภาษณ์ นั่นเป็นโอกาสให้เขาได้รู้จักกับ ขุนทอง อสุนี ณ อยุธยา หมอดูผู้ได้ชื่อว่านำศาสตร์การดูดวงด้วยไพ่ยิปซีเข้ามาในประเทศไทยเป็นคนแรก
“ผมก็เริ่มดูดวงได้แม่นขึ้น ได้เคล็ดวิชาเพิ่มเติมมา คือเมื่อก่อนมันมีไม่เยอะ มาตอนนี้เริ่มมีคู่แข่งมากขึ้นแล้ว”
ทว่าศาสตร์ที่ใช้หาเงิน แม้จะใช้เพียงศาสตร์ของไพ่ยิปซี ทว่าความสนใจในการศาสตร์ด้านนี้ของเขา ทำให้หาความรู้เพิ่มเติมจนสามารถดูดวงเลขเจ็ดตัวที่เป็นโหรศาสตร์ผูกดวงได้อีกด้วย
“แต่อันนั้นมันต้องดูหน้า ผมชอบดูแบบเลขเจ็ดตัวมากกว่านะ แต่มันต้องดูนาน ใช้ไพ่ยิปซีมันเหมาะกว่า ไพ่เลขเจ็ดมันต้องจำดวงตัวเอง วันเกิดผูกดวงให้ได้ ผมนี่ก็ดูดวงตัวเองบ่อยๆ”
ในฐานะของการเป็นคนตาบอดสำหรับเขาแล้ว การอยู่โดยสามารถหาเงินมาจุลเจือครอบครัวได้คือความภาคภูมิอย่างหนึ่งของชีวิต และอาชีพหมอดูเป็นอาชีพหนึ่งที่น่าภาคใจด้วยประกอบอาชีพจากความรู้ความสามารถโดยเฉพาะ
“คนตาบอดส่วนใหญ่ต้องพึ่งสังคม พึ่งลอตเตอรี่ เอาลอตเตอรี่ไปขาย ไม่ได้ที่จะเป็นจะตาย ผมรู้สึกดีที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้”
มาถึงตอนนี้ ชีวิตที่ผ่านมาของเขาดูจะสูญเสียอะไรไปหลายอย่างจากตาที่มืดบอดลง หากทว่าก็มีบางสิ่งที่เขาได้รับมาเช่นกัน ซึ่งดูเหมือนสิ่งที่เขาสูญเสียจะไม่ใช่สิ่งที่เขารู้สึกเสียดายมากนัก โดยเฉพาะวิถีชีวิตของการเป็นทนายความกับหมอดูแล้ว
“เป็นหมอดูอย่างทุกวันนี้ดีกว่า เป็นงานอิสระ ที่ผมเป็นทนายฯ ต้องมีผู้บังคับบัญชีอยู่ในธนาคาร เหมือนงานประจำทั่วไป ต้องเลีย ต้องประจบประแจง เป็นปกติ มันก็ขัดกับความรู้สึกของเรา อยู่นี่เราเป็นตัวของตัวเอง เป็นนายของตัวเอง ทำก็ได้เงิน ไม่ทำก็ไม่ได้เงิน”
กับชีวิตที่มืดบอดด้วยโรคที่ไม่หยิบยื่นทางเลือกให้กับชีวิต ระหว่างถ่ายรูป เราให้เขาเลือกไพ่ใบหนึ่งในสำรับมาถือ และเขาเลือกไพ่เดอะ ซัน ตัวแทนของเทพอพอลโล ผู้ให้ชื่อเสียง ความสำเร็จ และเสียงเพลง
>>>>>>>>>>>
……….
เรื่อง : อธิเจต มงคลโสฬศ
ภาพ : พลภัทร วรรณดี