หากจะพูดถึงปัญหาพระตุ๊ดเณรแต๋วนั้น มาถึงวันนี้คงไม่ใช่ของใหม่ของสังคมไทยแล้ว ด้วยเป็นสิ่งที่แฝงเร้นอยู่อย่างยาวนาน ไม่แพ้ปัญหาใดๆ ของสังคมบ้านนี้เมืองนี้
จากภาพหลุดหลายกรณี ฉายให้เห็นถึงพฤติกรรมของพระเหล่านี้ที่ไม่เข้ากับรูปรอยของสมณเพศ และความคิดเห็นของสังคมที่มีต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า ‘รับไม่ได้’ แต่กระนั้น มาถึงตอนนี้กรณีพระตุ๊ดเณรแต๋วก็ยังมีให้เห็นกันอยู่อย่างไม่ว่างเว้น
ยิ่งกับยุคแห่งสังคมเครือข่ายโซเชียล เน็ตเวิร์ก พฤติกรรมพวกเขาก็มีออกมาให้เห็นทั้งแบบภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเสียงวิพากษ์จากสังคม เสียงของความรู้สึกของพุทธศาสนาก็ดูจะไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้เกิดขึ้นนัก
และจากกรณีล่าสุดกับข่าว ‘พระแต๋วหลุยส์ วิตตอง’ ก็ยิ่งท้าทายกระแสสังคมที่มีต่อภาพซึ่งหลุดออกมาในกระแสวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเร็วสูงของระบบอินเทอร์เน็ต มาถึงตอนนี้ ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า
ที่ทางและทางออกของปัญหานี้ควรอยู่ที่ใดในสังคมไทย
เมื่อ ‘พวกเธอ’ แสดงตัว
จากหลายกรณีพระตุ๊ดเณรแต๋วที่เกิดเป็นข่าวในช่วงต่างกรรมต่างวาระกัน เป็นเพียงบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเป็นข่าว ซึ่งไม่แน่ชัดว่าปัญหานี้เกิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่และเกิดอย่างไร หากทว่าหลายกรณีที่เกิดขึ้นนี้ก็สะท้อนภาพลักษณะที่ทาง และการมีอยู่ของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
พระเกย์เล่นน้ำตก ถือเป็นกรณีฉาวครั้งใหญ่ ที่มีข่าวในช่วงเดือนมกราคมของปี 2551 โดยมาในรูปของฟอร์เวิร์ดเมลที่ส่งต่อๆ กัน เป็นภาพของพระเกย์ 2 รูปเล่นน้ำตกกับชายหนุ่ม 2 คน โดยมีท่าทีส่อไปในทางลามกอนาจาร ต่อมาก็มีการสืบสวนขยายผลจนพบกับกลุ่มพระเกย์ในจังหวัดนนทบุรี
พระตุ๊ดเณรแต๋วสะพายย่ามหวานแหววเดินตลาด เกิดขึ้นช่วงเดือนสิงหาคม 2553 ชาวบ้านร้านตลาดต่างต้องงงงันกับภาพกลุ่มพระเณรที่ออกท่าทางตุ้งติ้ง ทาแป้งขาวทาปากแดง พร้อมสะพายย่ามสีหวานแหววจำนวน 10 รูป มาเดินเฉิดฉายกันอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าในแอร์พอร์ต พลาซาจังหวัดเชียงใหม่
เณรแต๋วเต้นในยูทิวบ์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2554 แน่นอนว่าเป็นช่วงปีที่ยูทิวบ์สร้างสีสัน และสร้างกระแสให้กับคนหลายคนได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งไม่แน่ว่าด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เกิดคลิปการเต้นที่เรียกกันได้ว่า แดนซ์กระจาย ของเณร 2 รูปในชุดจีวรที่นำมาพาดอกอย่างผู้หญิง ซึ่งมีถึงสองคลิปด้วยกัน โดยตั้งชื่อคลิปว่า ‘เรื่องลับๆของเธอ The show’ และ ‘เรื่องลับๆของเธอ The show 2’ โพสโดยใช้ชื่อว่า ‘สามเณรวัดบรบือสราราม’
เณรพับเพียบไทยแลนด์ กรณีนี้เกิดขึ้นช่วงเดือนมิถุนายน 2554 ซึ่งเป็นช่วงกระแสนิยมของการทำท่าแพลงกิ้ง จนเกิดการทำท่าพับเพียบไทยแลนด์ขึ้น และมีพระมาทำแพลงกิ้งกันจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของคนในสังคมด้วย และในนั้นก็มีภาพของเณรแต๋วนั่งท่าพับเพียบออกมาให้สังคมร้องถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
เณรแฟชั่น เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธุ์ของปี 2555 นี้ โดยมีภาพเณรถ่ายแฟชั่นในท่าโพสอย่างนางแบบพร้อมจีวรยาวเหมือนชุดกระโปรง ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม จนถึงขั้นบ่อนทำลายพุทธศาสนา แม้ภายหลังจะเป็นที่ทราบกันแล้วว่ารูปดังกล่าวเป็นผลงานศิลปะของนักศึกษา แต่ก็ยังถูกทวงถามถึงความเหมาะสม ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็สะท้อนความคิดเห็นของผู้คนที่มีต่อกรณีที่เกิดขึ้นด้วยว่ารับไม่ได้กับกรณีแบบนี้
พระตุ๊ดขนตางอน เกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคมของปีนี้ ที่มีภาพของพระตุ๊ดขนตางอนกำลังนั่งจดบางอย่างอยู่บนรถทัวร์ ถูกเผยแพร่ทางเว็บไซต์ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ซึ่งภาพจะยังไม่แน่ชัด แต่การประดับตาด้วยเรียวคิ้วแบบนี้ก็ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของการดำรงอยู่ในฐานะสมณเพศเหมือนกัน
พระแต๋วในเต็นท์ เกิดเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พระสงฆ์รูปหนึ่งโพสต์ภาพแต่งกายไม่เหมาะสมลงเฟซบุ๊ก สวมจีวรในลักษณะที่ไม่เหมาะสม โดยพันผ้าคล้ายสไบเปิดเผยช่วงเอว แถมยังมีผ้าคลุมลายเสือดาว นั่งคุกเข่ายิ้มอยู่ในเต็นท์ ซึ่งภายในเต็นท์นั้นยังเห็นกระเป๋าเดินทางยี่ห้อหรูอย่าง "หลุยส์ วิตตอง" จนสำนักพุทธศาสนาตรวจสอบพบว่าเป็นพระลูกวัดของโบสถ์คงคาล้อม อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา
ทั้งหมดทั้งปวงของกรณีพระตุ๊ดเณรแต๋วที่เกิดขึ้นจะมีข้อสรุปบทลงโทษเพียงว่า ‘ไม่ผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรง โทษเพียงแค่ตักเตือน’
ที่มา-ที่ (ควร) ไปของ ‘พวกเธอ’
หลายครั้งการบวชนั้นไม่ได้เกิดจากเงื่อนไขเพื่อแสวงหาความสงบ หรือการบรรลุนิพพาน หากแต่เต็มไปด้วยเงื่อนไขหลายต่อหลายอย่าง เหตุผลที่มาของพระตุ๊ดเณรแต๋วนั้นก็มีมากมายหลายที่มาไม่ต่างกัน ทั้งนี้ ดร.บุญรอด บุญเกิด หัวหน้าภาควิชาศาสนาและปรัชญา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เล่าถึงสาเหตุที่มีพระตุ๊ดเณรแต๋วเข้ามาอาศัยใต้ร่มกาสาวพัสตร์ อย่างแรกเป็นความเชื่อกันมาตั้งแต่โบราณกาลของชาวพุทธที่มีบุตรชายต้องให้บวชเพื่อทดแทนคุณจะได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์
“โดยธรรมชาติพ่อแม่ถ้ามีลูกผู้ชายก็อยากจะให้ลูกบวช ธรรมชาติของชาวพุทธอยากจะให้ลูกบวช ได้เกาะชายผ้าเหลืองอะไรต่างๆ เป็นต้น แต่เด็กที่เข้ามาบวชก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้บ่งบอกหรอกว่าเป็น แต่พอบวชเข้าไปแล้วก็เข้าไปเจอสภาพต่างๆ ก็เลยปรากฏลักษณะตรงนี้ โดยวินัยของพระพวกลักเพศจะบวชไม่ได้เป็นบุคคลที่ห้ามบวช แต่ถ้าบวชมาแล้วก็ถือว่าเป็นพระแต่ว่าคนที่บวชให้ก็ต้องโทษอาบัติ”
มองกันตามสภาพจริงในสังคมไทยปัจจุบัน สามารถบอกได้ว่าหลายที่ค่อนข้างจะยอมรับคนเหล่านี้ เพราะมีพระที่มีลักษณะแบบนี้เป็นใหญ่เป็นโตอยู่พอสมควร มีตำแหน่งทางคณะสงฆ์สูงๆ ก็มีเยอะ เช่นเป็นระดับเจ้าอาวาส, เจ้าคณะตำบล เมื่อมีตัวอย่างอยู่ในวงการศาสนาผู้ที่มีจิตใจเบี่ยงเบนก็ถือเอาเป็นบรรทัดฐานและแฝงตัวเข้าไป
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสำคัญที่ทำให้วงการศาสนายังมีผู้ห่มผ้าเหลืองเพศที่ 3 ดร.บุญรอด กล่าวเพิ่มเติมว่า
“เรื่องอยู่เพื่อหาเงินมันไม่ได้เป็นปัจจัยหลัก คนพวกนี้ถ้าเป็นฆราวาสก็จะหาเงินได้เก่งมากเพราะเขาค่อนข้างที่จะมีความสามารถ อย่างเช่นการจัดดอกไม้ คือในขณะที่อยู่เป็นพระเขาก็จะทำงานพวกนี้ ที่วัดไหนมีงานคนพวกนี้จะเข้าไปช่วย งานศพ งานบวช พอไปทำแล้วเจ้าภาพก็จะร่วมทำบุญถวายเงิน คนพวกนี้ก็จะเอาไปใช้จ่ายเรื่องส่วนตัว
“และเรื่องบวชเรียนก็มีส่วน คนพวกนี้บวชมาก็สามารถเรียนได้ ทางศาสนาเปิดโอกาสให้คนทุกกลุ่มอยู่แล้วที่เข้ามาบวชเรียน ซึ่งเขาก็อาจจะยังศึกษาอยู่เลยไม่อยากจะสึก ก็เลยรู้สึกว่าอยู่ตรงนี้สบายดี”
ขณะที่ความเห็นของพระรัตนเมธี หัวหน้าพระวินยาธิการ มองว่า สาเหตุนั้นมีส่วนสำคัญมาจากการคัดเลือกบุคคลเข้าบวชของพระอุปัชฌาย์ โดยมีส่วนของครอบครัวประกอบอยู่ด้วย
“ระบบพระอุปัชฌาย์ในปัจจุบันมันมีปัญหาอยู่ บางที่พระอุปัชฌาย์ไม่ได้เจอกับคนที่จะบวชเลยด้วยซ้ำ ทำให้การคัดคนเข้ามาบวชทำได้ไม่ดี และระยะเวลาที่หลักแล้วต้องให้มาอยู่วัดก่อน 30 วัน ก็ทำไม่ได้แล้วในปัจจุบันเพราะคนที่มาบวชตอนนี้บวชไม่กี่วัน มีเวลาไม่มาก
“ในส่วนของครอบครัวนั้นก็มีส่วนอยู่มาก เพราะบางทีปิดบังไม่ให้พระรู้ พอพามาพบเจอก็ยังเสแสร้งท่าทีเป็นผู้ชายได้ แต่พอบวชแล้วมาออกจริตเป็นหญิง มันก็ลำบาก”
ในส่วนของที่ทางและที่ไปของบรรดาพระตุ๊ดเณรแต๋วนั้น หัวหน้าพระวินยาธิการกล่าวว่า หากเป็นไปตามขั้นตอนก็ต้องไล่ไปหาพระอุปัชฌาย์ที่บวชให้พระหรือเณรรูปนั้น และให้พระอุปัชฌาย์ตัดสินใจอีกที
“คือลักษณะของการแสดงออกมันมีขอบเขตอยู่ด้วย หากมากเกินไป จะเรียกว่าเป็น ‘บัณเฑาะก์’ ตามนัยจริงๆ คือชายที่มากราคะกล้าประพฤตินอกจารีตในทางเสพกาม ไปยั่วยวนชายอื่น ถ้าเบี่ยงเบนมากเกินไปก็จำเป็นต้องให้สึก เพราะถ้าปล่อยไว้มันก็มีผลเสียทั้งของสงฆ์ของพุทธศาสนา และพระอุปัชฌาย์จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ต้องบังคับหรือสั่ง หรือทำการใดๆก็ตามให้พระรูปนั้นพ้นสภาวะจากความเป็นพระออกไป ตามขั้นตอนของคณะสงฆ์”
โดยในปัจจุบันนั้น พระรัตนเมธี ยอมรับว่าป้องกันแก้ไขได้ยากมากด้วยเงื่อนไขของการบวชในปัจจุบันที่ทำให้ไม่มีเวลาในการคัดเลือกผู้บวช ทำให้ต้องแก้ไขแบบเฉพาะหน้าที่เมื่อเจอปัญหาเมื่อไหร่ก็จับมาสึกออกไปเสมอๆ
ในส่วนของประเด็นเดียวกันนี้ ดร.บุญรอดแสดงทัศนะด้วยความหนักแน่นว่าไม่ควรให้พระประเภทนี้อยู่ในศาสนา เพราะการเข้ามาบวชและแสดงพฤติกรรมไม่สมควรจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของวงการพุทธศาสนา ถึงคนพวกนี้ในศาสนาจะมีไม่มาก แต่พอมีข่าวในที่สุดเขาก็จะมองภาพรวมพระในพุทธศาสนา
“ผู้นำระดับเจ้าอาวาส ระดับเจ้าคณะ ที่มีอำนาจในการปกครองต้องสอดส่องดูแลคนพวกนี้ ถ้าเขาเข้ามาบวชแล้วมีลักษณะเป็นอย่างนี้ก็กั้นออกไป คือให้สึกหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่ควรให้อยู่ในวัด แล้วตัวของคนที่เป็นเองถ้ารู้ตัวว่าตัวเองเป็นมันจะเป็นจุดเศร้าหมองหรือจุดด้อยศาสนา ฉะนั้นตัวเองไม่ควรที่จะอยู่”
..........
ดูเหมือนสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจะมีเงื่อนไขที่ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนได้เลย สังคมที่แปรเปลี่ยนจนพิธีกรรมในการบวชต้องย่อหดตัวเอง จนทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่า ทางออกของปัญหาคือการสึก แต่ขอบเขตที่ยอมรับในการแสดงออกยังคงเป็นปัญหาที่เส้นเขตแบ่งยังไม่ชัดเจนนัก ด้วยเงื่อนไขของสังคมที่ความยอมรับในการแสดงออกนั้นแตกต่างกันออกไป
และบางทีไม่แน่ว่าในอนาคตต่อไปสังคมอาจจะสร้างเงื่อนไขอื่นๆ ขึ้นมาอีก อันเป็นเงื่อนไขที่จะบีบให้พุทธศาสนาต้องแปรเปลี่ยนไป...
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK