xs
xsm
sm
md
lg

รู้เดียงสา : เปิดข้างในข้างนอก 'หยก’ ณัฐปภัสร์ ธนาธนมหารัตน์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“มูมู้ - ตัวเองทำแบบนี้ เค้าไม่กดไลค์ให้นะ อัพรูปลงเฟซฯ แบบนี้ กลัวคนทั้งโลกเขารู้ใช่ป่ะ...ว่ามีแฟนแล้ว ไปเปลี่ยนสเตตัสเป็นโสดเลยไป!”

โอเค นี่อาจจะฟังดูเป็นบทพูดไร้สาระชอบกลจนชวนหมั่นใส้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายคนคงคุ้นหูกับบทของเธอ กับสำเนียงงอนง้อแบบวัยรุ่นของเธอจากโฆษณาบริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และเธองอนได้น่ารักน่าหยิก หยก - ณัฐปภัสร์ ธนาธนมหารัตน์ เริ่มเข้าวงการมาเหมือนดาราวัยรุ่นทั่วไป ที่วันหนึ่งเดินอยู่สยามสแควร์ แล้วมีโมเดลลิ่งเข้ามาทักทายพาเข้าวงการ

“ตอนนั้นตกใจมากค่ะ ไม่แน่ใจว่าเป็นตัวจริงรึเปล่า แต่ก็ติดต่อคุยกับแล้วก็ไม่มีอะไร”

แต่เรื่องไม่ได้ง่ายขนาดที่ว่า เธอจะได้เล่นโฆษณา ถ่ายแบบ เล่นหนัง เล่นละคร มีชื่อเสียงโด่งดังในทันที เพราะนับจากนั้น เธอเดินสายแคสงานกว่า 30 ตัวในหนึ่งปี และผลคือยังไม่มีผลงาน ไม่ได้งานแม้แต่งานเดียว

“งานสุดท้ายที่หนูไปแคส พี่เขาบอกว่า 'หน้าบานขนาดนี้ ใครไปเรียกมา' คือมันแรงมากค่ะ จากนั้นหนูก็หยุดไปเลยค่ะ”

ทว่าวันนี้เธอผ่านงานโฆษณามากว่า 20 ตัว ถ่ายแบบนิตยสาร เป็นนางเอกหนัง 1 เรื่อง พร้อมงานพิธีกรรายการทีวี และยังมีภาพยนตร์เรื่องใหม่รอจ่อคิวเข้าฉาย คงไม่ต้องถามว่า เธอถอดใจหรือไม่ แต่คงต้องถามมากกว่าว่า อะไรทำให้เธอพลิกตัวเองกลับมาเดินหน้าต่อได้

เข้าวงการ

“พี่โมเดลลิ่งเขายังช่วยผลักดัน ช่วยให้กำลังใจ ให้หนูกลับมา ช่วงปีนั้นหนูก็ลดน้ำหนักไป 5-6 กิโลฯ พอกลับมาแคสงานตัวแรกก็ได้เลย”

นับจากนั้นเธอไล่แคสกวาดงานโฆษณามาได้อย่างต่อเนื่อง ได้งานเฉลี่ยเดือนละ 2 ตัว โดยระหว่างนั้นเธอก็เริ่มเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย และด้วยความที่มหาวิทยาลัยของเธอเคร่งครัดเรื่องเวลาเรียน ก็ทำให้ช่วงปีแรกเป็นไปอย่างยากลำบากพอสมควร

“เทอมนั้นก็มีดร็อปไปหลายตัวเหมือนกัน เพราะช่วงแรกที่ได้งาน มันจะมีอารมณ์แบบงานมาก่อน”

แต่การที่เธอศึกษาอยู่คณะนิเทศศาสตร์ การทำงานในวงการก็ถือเป็นบทเรียนหนึ่ง ที่ฝึกทั้งความรับผิดชอบและความตั้งใจให้กับตัวเธอ หลังจากผ่านงานโฆษณามาหลายตัว ไม่นานต่อมาเธอก็ได้รับโอกาสเข้ามาเป็นพิธีกรรายการเกิร์ลซ่าส์

“ไม่รู้พี่เขารับหนูมาได้ยังไง” เธอเอ่ยติดตลกเมื่อนึกถึงเทปแรก ครั้งแรกของการเป็นพิธีกร แน่นอนว่าไม่ใช่ง่ายๆ

“โฆษณามันไม่ต้องพูดมาก แค่ทำท่าโน้นนี่ แต่เป็นพิธีกรมันต้องพูดเยอะ แล้วหนูพูดไม่เป็น คือโฆษณาเรารับบทมาเป๊ะๆๆ แต่พิธีกรเขาให้สคริปท์ เราต้องเติมเองด้วย เอาความรู้ทั้งหมด 'ป๊ะ' ออกไปเลย”

ช่วงเทปแรกเธอจำได้ดีว่าเป็นช่วงคริสต์มาสที่ออกไปถ่ายนอกสถานที่ ทั้งผู้คน ทั้งต้องพูด ทั้งความเป็นมือใหม่ เธอสารภาพว่าหลังจากรับบทพิธีกรมาราวสองปีครึ่ง ก็ยังต้องฝึกตัวเองอยู่

“ช่วงแรกเราต้องต่อสู้กับน้ำเสียง เพราะเป็นคนพูดไม่เต็มเสียง และต้องต่อสู้กับความรู้ ต้องหาอะไรมาใส่มากขึ้น มากกว่าในสคริปท์ที่เรามี เพราะคิดว่าถ้าเราเป็นคนดูเราก็ไม่อยากรู้แค่ในสคริปท์เท่านั้น มันก็สนุกดี ทำงานกับพิธีกรรุ่นเดียวกัน เหมือนคุยกับเพื่อน พอเริ่มปรับตัวเข้าหากันได้ ที่นี่จะทำงานกันเป็นทีมทำให้สนิทกันเร็ว พอปรับตัวได้ งานก็ราบรื่นแล้วค่ะ”

จากนั้นโอกาสครั้งใหญ่ก็เดินเข้ามาหาชีวิตเธอ โดยมอบบทบาทในการแสดงภาพยนต์เรื่อง ‘ชิงหมาเถิด’ ให้เธอเป็นนางเอก ในบทของสัตวแพทย์สาว

“ยากมาก! เพราะเป็นเรื่องแรกด้วย และบทที่ได้รับมันไม่ใช่ตัวหนูเลย แต่พี่อ๊อฟ (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) ก็สอนเยอะ ให้คำแนะนำ ชี้จุดที่ยังขาดยังเกิน เน้นที่ให้เราเชื่อ เชื่อในสิ่งที่รับบท พยายามให้มันเป็นตัวเรามากที่สุด”

หลังจากไปอยู่กับสัตวแพทย์แถวบ้านมาอาทิตย์หนึ่ง เธอต้องเคี่ยวกรำความสามารถของตัวเอง ทั้งการคุมเสียงพูดที่เป็นจุดสำคัญของการแสดง ท่าทางที่ต้องให้เหมือนสัตวแพทย์ และงานแสดงภาพยนตร์เป็นงานหนักขนาดต้องอดหลับอดนอน บางช่วงเริ่มถ่ายตั้งแต่หกโมงเช้าไปเสร็จสิ้นเอาหกโมงเช้าของอีกวัน

“เมื่อก่อนก็มองวงการบันเทิงแบบคนทั่วไปนะ คิดว่าในทีวีเขาคงสบายกัน แต่มาตอนนี้รู้แล้วว่าไม่สบาย นอนไม่เป็นเวลา พักผ่อนไม่เหมือนคนอื่นเขา”

ล่าสุดเธอมีผลงานภาพยนตร์ที่ถ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้วจ่อคิวรอฉายอยู่ ครั้งนี้เธอยิ้มสบายแล้วบอกว่า เป็นบทที่ตรงกับตัวเองมาก แต่ก็ไม่แน่อาจเพราะเธอผ่านงานโหดหินมาก่อน งานนี้จึงง่ายสำหรับเธอ

“อาจเป็นได้ค่ะ เพราะหนูเริ่มชินกับการแสดงต่อหน้าคนเยอะๆ เลยกลายเป็นง่ายไป”

มาถึงช่วงนี้ตารางของเธอเริ่มเว้นว่างให้กับการเรียนมากขึ้น โดยมีงานพิธีกรที่ทำประจำ และรับงานอีกไม่กี่ตัวเสริม ตอนนี้บอกได้ว่าเธอเข้าวงการบันเทิงมาอย่างเต็มตัวแล้ว แต่เมื่อถามถึงความสนใจจริงของเธอ เธอกลับบอกว่า

“จริงๆ ไม่ได้สนใจเลย ไม่ชอบ ทำสนุกๆ มันโอเค เราไม่ได้เดือดร้อนอะไร และมันก็ภาคภูมิใจที่มีโอกาสได้ทำ คือวางอนาคตไว้อยากจะเปิดร้านอาหารนะคะ”

นอกวงการ

นอกเหนือจากเวลาของชีวิตการทำงาน และการเรียน ชื่อเล่นของเวลาเหล่านั้นคือ 'เวลาว่าง' และเธออุทิศแทบทั้งหมดให้กับการทำเบเกอรี่

“มันเริ่มจากหนูชอบกินค่ะ ชอบกินขนมพวกนี้มาก วันหนึ่งทานคุ้กกี้แล้วสงสัยเขาทำยังไง ก็ไปเปิดดูวิธีทำจากเว็บฯ ทำไม่ยากนี่นา ก็เลยเริ่มทำๆ มาตลอด ล่าสุดก็กับเค้กเครป หนูไม่ชอบเลย เพราะมันทำยากมาก ต้องทอดแป้งทีละชั้น 30-40 ชั้น”

และพื้นฐานเดิมของเธอก็คือคุณแม่ที่เป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้ว จากความชอบตรงนี้เองที่ทำให้เธอเริ่มไปเรียนคอร์สทำขนมอย่างจริงจัง จากการทำแบบหัดจัดทำจากสูตรเอง ก็มารู้วิธีการ เทคนิคเพิ่มมากขึ้น และจากความชอบในขนมหวาน เมื่อถามถึงหนังสือที่เธอชอบอ่าน

“หยกจะชอบอ่านเรื่องที่หยกสนใจ เรื่องที่ไม่สนใจก็ไม่อ่านเลย ก็ชอบแนวท่องเที่ยว และก็แนวพาเที่ยวพากิน”

เธอตอบเหมือนเขินๆ ดังนั้นในวันหยุดบางวัน จึงมีบางช่วงที่เธอพาตัวเองเที่ยวลองลิ้มชิมรสขนมเค้กที่เธอชื่นชอบ เมื่อมองไปในอนาคต ไม่แปลกที่เธอจะอยากอยู่กับสิ่งที่เธอรัก ทว่างานในวงการบันเทิงก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจุดหนึ่งของชีวิตเธอ

“เปลี่ยนเยอะค่ะ วันนั้นยังนั่งคุยกับเพื่อนอยู่เลยว่า ถ้าไม่มีงานทำ คงไม่เป็นผู้หญิงแบบนี้ อาจจะไร้สาระทั่วไป พอมาทำตรงนี้มันต้องเป๊ะขึ้น มันต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา มันทำให้เราต้องโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น อนาคตก็อยากจะมีกิจการ มีร้านขนมเป็นของตัวเอง แล้วก็ถ้ายังได้ทำตรงนี้อยู่ มีโอกาสได้ทำตรงนี้อยู่ก็ทำไปด้วย”

>>>>>>>>>>>

……….

เรื่อง : นายเอ็กซ์
ภาพ: พงษ์ศักดิ์ ขวัญเนตร







กำลังโหลดความคิดเห็น