เปิดตัวมาซะฮือฮา ยึดครองหน้าหนังสือพิมพ์และจอโทรทัศน์เป็นเดือน แต่พอจะจบกลับเงียบเชียบอย่างเหลือเชื่อ ถูกต้องแล้ว เรื่องที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ ก็คือกรณีความขัดแย้งของ 3 คน 2 ฝั่ง คือดาราสาว 'แอนนี่ บรู๊ค' กับฝั่งอาร์เอสอย่างนักร้องดัง 'ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์' และเจ้าของต้นสังกัด 'เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์' ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน)
โดยฝั่งดาราสารให้ข่าวว่า เธอมีบุตรกับฟิล์ม ขณะที่นักร้องดังรีบปฏิเสธเรื่องนี้ทันที ก่อนที่เจ้าของค่ายจะออกมาสำทับถึงพฤติกรรมของฝ่ายหญิงให้นักข่าวฟัง จนสุดท้ายฝ่ายต่างก็ฟ้องหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณากันอุตลุด
เวลาผ่านไปปีกว่า ความจริงไม่ปรากฏ แต่สิ่งที่ออกมากลับเป็นว่า ทั้งสองฝ่ายจบลงด้วยดี โดยต่างฝ่ายต่างก็ถอนฟ้อง สร้างความงุนงงแก่ผู้สังเกตการณ์ว่า ทำไมเรื่องดังๆ ที่เป็นกระแสไปทั่วเมืองเช่นนี้ กลับจบลงแบบไม่มีบทสรุปเช่นนี้
งานนี้จึงได้ 2 ผู้รู้จาก 2 ด้านมาวิเคราะห์กันแบบให้ถึงแก่นไปเลยว่า จริงๆ แล้วประเด็น (เคย) ร้อน น่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า
กูรู 'บันเทิง'
เปิดฉากด้วยความเห็นของตัวจริงผู้อยู่ในวงการบันเทิงมานานกว่า 20 ปี ทัศน์สรวง วรกุล อดีตนายกสมาคมนักข่าวบันเทิง ที่ให้ความเห็นว่า การจบแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด และโดยส่วนตัวแล้ว เชื่อว่าจากการสัมภาษณ์ของผู้เกี่ยวข้อง พ่อเด็กที่แท้จริงก็คงไม่ใช่นักร้องดังอย่างที่เป็นข่าวมาตลอด 1 ปีกว่าๆ
“รู้สึกว่าฟิล์มออกมาพูดได้อย่างสบายใจในเรื่องนี้ แอนนี่เองก็คงทราบเรื่องนี้ เพราะคงมีการพิสูจน์ดีเอ็นเอแล้ว ทราบแล้วว่าใครเป็นใครหรือที่มาเป็นพ่อของเด็กในท้อง แล้วฟิล์มเองเขาก็คงไม่อยากทำร้ายแอนนี่ อาจจะมีการตกลงกันแล้ว และการจะไปสาวไส้ว่าใครเป็นพ่อเด็กก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
เพราะฉะนั้นการยอมความครั้งนี้ จึงเหมือนทั้งสองได้แยกย้ายกันไปโดยสวัสดิภาพ ไม่ต้องมานั่งขุดคุ้ยกันอีก แล้วปล่อยให้แต่ละฝ่ายดำเนินชีวิตของตัวเองไป
“ตอนแรกเขาคงคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ตอนนี้เขาคุยกันรู้เรื่องแล้ว และการจบกันไปง่ายๆ แบบนี้มันก็ดูดีพอสมควร เพราะสังคมคงไม่ได้อยากเห็นการจบที่ไม่ดี จริงๆ มันควรยอมความกันมานานแล้ว ที่จบแบบนี้จะได้ไม่ต้องออกมาประจานกัน เพราะมันบอบช้ำทั้งคู่ อย่างฟิล์มเองก็ได้รับความบอบช้ำ ทั้งเรื่องงาน เรื่องของชื่อเสียง แอนนี่เองก็ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวเป็นซิงเกิลมัม”
และที่สำคัญหากย้อนไปดูการฟ้องที่ผ่านมา เกือบทั้งหมดจะเป็นการฟ้องหมิ่นประมาทในเรื่องที่แต่ละฝ่ายตอบโต้กัน แต่กรณีเรื่องใครเป็นพ่อ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ ไม่มีใครฟ้อง เพราะฉะนั้นถ้ามองในแง่ดีก็ต้องถือว่าสังคมได้รับบทเรียนจากกรณีนี้มากพอสมควร โดยเฉพาะการคิดให้รอบคอบก่อนที่จะไปทำอะไร เพราะถ้าพลาดพลั้งมาก็ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้นั่นเอง
“ถ้าคุณจะไปรักสนุกกับใคร คุณก็ต้องระมัดระวังแหละ วันดีคืนดี เกิดคุณออกมา เจอแบบฟิล์ม คุณก็คงเอ๋อเหมือนกัน ส่วนในเรื่องของการออกมาทะเลาะกันให้คนอื่นเห็น มันก็ไม่ควร จริงๆ ควรจะคุยกันก่อน ระหว่างคนสองคนเขาไปทำอะไรกันเราไม่รู้ไง แต่พอมีเรื่องบาดหมางกัน เขาก็ออกมาแฉประจานกันในสังคม สุดท้ายใครได้ประโยชน์ก็ไม่มี มันก็เสียประโยชน์กันทั้งคู่แหละ"
เพราะต้องยอมรับที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายตรงก็ใช้ช่องทางสื่อเป็นตัวประจานซึ่งกันและกัน และแน่นอนว่า หลายคนคงต้องเสียเครดิตที่สั่งสมมาจากกรณีนี้ไปไม่น้อย ดังนั้นนี่จึงเป็นอุทาหรณ์ที่สำคัญ ที่ไม่ว่าจะเป็นตัวดารา หรือนักข่าวเองต้องจดจำเอาไว้ เพราะถ้าไม่ระวังสุดท้ายก็จะไม่ใครช่วยคุณได้
กูรู ‘กฎหมาย’
ฟังการวิเคราะห์แบบมุมบันเทิงกันไปแล้ว คราวนี้ก็ลองหันมาดูในเชิงกฎหมายกันบ้างจะแตกต่างกันสักแค่ไหน โดยคราวนี้ได้ ทนายความที่ดังที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย อย่าง ลีนา จังจรรยา หรือที่รู้จักในชื่อของ ลีน่า จัง ซึ่งนอกจากจะรู้จักคู่กรณี โดยเฉพาะฟากฝั่งของแอนนี่แล้ว ยังรับบททนายความให้ พจน์ อานนท์ ซึ่งเป็นคู่กรณีกับดาราสาวในอีกคดีต่างหาก แต่มาคราวนี้ ธอบอกไม่ได้เข้าข้างใคร เพราะส่วนตัวแล้วก็เข้าใจความรู้สึกของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นอย่างดีว่า คงอยากให้เรื่องจบโดยเร็วที่สุดหลังจากยืดเยื้อมานาน
โดยเหตุผลหนึ่งน่าจะมาจากความรักที่ดาราสาวมีให้ต่อนักร้องหนุ่ม ประกอบกับถึงสู้คดีไปก็ไม่มีทางชนะอยู่แล้ว เพราะต่างฝ่ายต่างก็หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาจริง พูดง่ายๆ ก็คือ ‘แพ้ทั้งคู่’ และดีไม่ดีอาจจะติดคุกด้วยซ้ำ หากศาลไม่เมตตาหรือรอลงอาญาให้
แต่ปัญหาหนักจะตกอยู่ที่ตัวแอนนี่มากกว่า เพราะเธอไม่ได้มีฐานะร่ำรวย หากแพ้คดี โอกาสที่มีเงินมาจ่ายให้นั้นมีน้อยมาก ซึ่งผิดกับเฮียฮ้อซึ่งมีทั้งเงิน และอิทธิพลเต็มไปหมด แถมการสู้คดีในศาลนั้นไม่ใช่เรื่องสนุก เสียเวลา เสียทั้งเงินทอง แถมถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป สุดท้ายก็จะเป็นผลร้ายแก่เด็กที่โตขึ้นทุกวันอาจจะมีปมด้อย เพราะยุคนี้เป็นยุคของเทคโนโลยี ความดีความชั่วปรากฏอยู่ในอินเทอร์เน็ตหมด
“ต้องเข้าใจว่าแอนนี่เขาไม่มีใครเลย ถึงแม้จะมีมูลนิธิผู้หญิงที่ฟ้องให้ฟรีแต่หลายศาลก็คงไม่ไหว แถมเขายังแพ้อยู่แล้ว เวลาก็ไม่มี ลูกก็โตขึ้น ค่าใช้จ่ายก็เยอะขึ้น งานแสดงก็ไม่จีรัง แล้วจะตลกก็ไม่ตลก จะสวยก็ไม่สวยเพราะแก่แล้ว ถ้าเป็นแบบตุ๊กกี้ไปเลยก็อาจจะมีจุดขาย แล้วเคยให้คำแนะนำกับแอนนี่ว่าอย่าไปทะเลาะกับเจ้าของค่าย เพราะพวกนี้เขารู้จักกันหมด น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ใครจะไปรู้ต่อไปลูกชายโตขึ้นอาจจะได้เป็นศิลปิน อาจจะได้เข้าสังกัดของอาร์เอสก็ได้”
ที่สำคัญ คดีแบบนี้เป็นคดีที่ ‘ยอมความ’ กันได้ เพราะไม่ใช่ความผิดอาญา และศาลก็มักจะตัดสินให้รอลงอาญาอยู่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วศาลมักจะพยายามให้เกิดการไกล่เกลี่ยขึ้นก่อนอยู่แล้ว เนื่องจากวันๆ หนึ่งมีคดีเข้ามาในศาลเยอะมาก แถมเรื่องนี้ยังอยู่ในบทบัญญัติของกฎหมาย และต้องให้คดีสู้จนขั้นฎีกาแล้ว แต่มีการไกล่เกลี่ยยอมความ คดีก็สามารถจบได้ทันทีโดยไม่มีใครต้องรับโทษ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับคดีหมิ่นประมาท ฉ้อโกง ยักยอก ฯลฯ
ส่วนเรื่องผลประโยชน์คงต้องมีอยู่แล้ว และถือเป็นเรื่องธรรมดามาก โดยลีน่าวิเคราะห์ว่าจริงๆ แล้วการที่เฮียฮ้อให้ฟิล์มไปฟ้องแอนนี่ ส่วนหนึ่งก็คือต้องการบีบให้แอนนี่ถอนฟ้องด้วย เพราะเรื่องนี้ชัดเจนอยู่แล้วว่าผิดทั้งคู่ซึ่งสู้ไปก็มีแต่เสียกับเสีย
“เฮียฮ้อมีเงินอยู่แล้ว พอฟ้องไปก็มีทรัพย์ให้ยึด แต่เฮียฮ้อกับฟิล์มฟ้องแอนนี่ไป แล้วแอนนี่จะมีเงินที่ไหนให้เฮียยึด แถมยังไม่เป็นผลดีแก่ฟิล์มด้วย เพราะคนจะมองว่าฟิล์มไปรังแกแอนนี่ เนื่องจากทุกวันนี้เขาก็น่าสงสารอยู่แล้ว เป็นผู้หญิงคนหนึ่งต้องมานั่งเลี้ยงลูก เลี้ยงแม่ และถ้าเกิดศาลตัดสินมา เฮียฮ้อจะเสียมากกว่าแอนนี่อีก เพราะยังไงแพ้อยู่แล้ว เขาถึงพยายามกดดันแอนนี่ไง แต่ถ้าดิฉันเป็นทนายคงไม่ยอมให้ถอน เพราะยังไงแอนนี่ก็ได้เงินอยู่แล้ว”
ส่วนเรื่องที่ยังค้างคาใจคนในสังคมมากที่สุด ก็คือตกลงฟิล์มเป็นพ่อเด็กหรือไม่นั้น ก็เชื่อว่าทั้งสองฝ่ายคงรู้ความจริงอยู่แล้วแต่ไม่ได้เปิดเผยออกมาในสังคมวงกว้างเท่านั้นเอง เพราะจริงๆ แล้วการตรวจดีเอ็นเอไม่ได้ทำยาก เช่นหากมีใครไปเก็บเส้นผมของเด็กมาตรวจก็สามารถรู้ผลได้ทันที เช่นเดียวกับตัวแอนนี่เองก็เคยทำงานในโรงพยาบาลมาก่อน ย่อมรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
“เรื่องนี้เราต้องสงสารเด็ก เพราะเด็กโตขึ้นทุกวัน แล้วสมมติหากตรวจมาแล้วดีเอ็นเอมันไม่ใช่ เด็กจะอยู่ในสังคมได้ยังไง แล้วแอนนี่ล่ะจะไปหากินที่ไหน เพราะจะถูกตราหน้าเป็นนาธาน 2 สู้ให้คดีจบไป แล้วทั้งแอนนี่หรือฟิล์มก็ยังอยู่ในสังคมได้ต่อไป”
ฟื้นความทรงจำคดีบันเทิงฉาวคาวโลกีย์ ฟิล์ม-แอนนี่
15 กันยายน 2553 แอนนี่ บรู๊ค ออกมาประกาศว่าตั้งครรภ์กับนักร้องชื่อดัง ฟิล์ม - รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ จนกระทั่งมีลูกชายวัย 3 เดือน
16 กันยายน 2553 ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ออกมาแถลงข่าวรับว่าเคยมีสัมพันธ์กับแอนนี่ บรู๊คจริง ส่วนเรื่องลูกขอให้แอนนี่พาเด็กมาตรวจดีเอ็นเอ ถ้าใช่พ่อเด็กจริงก็จะรับผิดชอบ
17 กันยายน 2553 แอนนี่ บรู๊ค อุ้มลูกแถลงข่าวฯ ที่รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ยืนยันไม่ตรวจดีเอ็นเอ มั่นใจดีเอ็นเอฟ้องอยู่บนหน้าลูกชายแล้ว
18 กันยายน 2553 เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อาร์เอส ต้นสังกัดของนักร้องหนุ่มโพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์เตรียมชี้ชะตาอนาคต ฟิล์ม และถูกบริษัทต้นสังกัดสั่งระงับงานชั่วคราว
20 กันยายน 2553 จันทร์คำ มีเลข แม่ของแอนนี่สั่งลูกสาวเลิกคบฟิล์ม
21 กันยายน 2553 พจน์ อานนท์ แถลงเหตุที่ฟิล์มไม่ได้ป้องกัน ฝ่ายหญิงอ้างทำหมันใส่ห่วงแล้ว
22 กันยายน 2553 โคมนต์ ทองมั่น มารดาของนักร้องชื่อดัง เกิดอาการช็อกเนื่องจากความเครียดสะสมได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลบีเอ็นเอช
23 กันยายน 2553 ฟิล์มร่ำไห้ร้องขอแอนนี่ ตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์ข้อเท็จจริง
24 กันยายน 2553 แอนนี่ออกรายการตีสิบ ยืนยันว่าไม่ตรวจดีเอ็นเอเด็ดขาด เพราะกลัวฟิล์มจะมาแย่งลูกไป
28 กันยายน 2553 เฮียฮ้อแฉว่าแอนนี่คบผู้ชายรวดเดียว 4 คน แถมเรียกเงินคนละ 250,000 บาท โดยอ้างว่าแต่ละคนเป็นพ่อเด็ก
29 กันยายน 2553 สมรักษ์ ณรงค์วิชัย ผู้บริหารฝ่ายผลิตรายการของช่อง3 เปิดเผยว่า ดาราในสังกัด จุ๊น-กิตติคุณ สัมฤทธิ์พันธ์สุข ได้โทร.มาปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องการโอนเงินให้แอนนี่ ตามที่เฮียฮ้อแถลงข่าวจริง
5 ตุลาคม 2553 เมธี อมรวุฒิกุล ดาราเสื้อแดงแฉว่าดาราสาวเคยอ้างท้องกับตนมาก่อน
21 ตุลาคม 2553 แอนนี่ฟ้องเฮียฮ้อในข้อหาหมิ่นประมาท หลังถูกกล่าวหาว่า ป็นผู้หญิงไม่ดี มีความประพฤติเสื่อมเสีย สำส่อนทางเพศ
25 พฤศจิกายน 2553 ฟิล์มลาบวช 25 วัน ก่อนจะเดินทางไปเมืองนอก
22 มกราคม 2554 ฟิล์มส่งทนายฟ้องแอนนี่ หลังนำบุตรชายไปให้สัมภาษณ์ทางช่อง 3 ในทำนองเป็นผู้ชายที่ไม่มีคุณธรรม ไม่รับผิดชอบ ฯลฯ
3 พฤษภาคม 2554 ฟิล์มเดินทางกลับไทย หลังหลบเรื่องวุ่นวายไปอยู่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นระยะเวลากว่า 4 เดือน พร้อมเดินหน้าสู้คดีต่อ
14 มิถุนายน 2554 ฟิล์มไปตรวจดีเอ็นเอ ขณะแอนนี่ไม่แสดงความคิดเห็นแจงเรื่องยังอยู่ในศาล
7 กุมภาพันธ์ 2555 ทั้งสองฝ่ายประกาศถอนฟ้อง และยินยอมไกล่เกลี่ยและยอมความกันเอง
>>>>>>>>>>>
……….
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK