เคยไหม? เห็นพระแล้วไม่อยากทำบุญ
มาคิดดู...มันอาจจะเป็นความคิดที่เลวร้ายสำหรับพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่าหลายคนคงเริ่มคิดแบบนี้ กับสังคมแบบนี้ กับสถานการณ์สงฆ์ที่เข้าขั้นวิกฤตไปทุกที จากภาพการบิณฑบาตขนของขึ้นรถแท็กซี่ จากภาพของห้องแอร์พร้อมโทรทัศน์จอแอลซีดีในกุฏิ หรือจากเวลาไปเที่ยวตามคลองถมหรือพันธุ์ทิพย์ แล้วมักจะเจอพระสงฆ์อยู่บ่อยครั้ง
ผ้าเหลืองที่ห่อหุ้มตัวดูจะไม่มีความสำคัญ หรือสัมผัสถึงจิตใจใฝ่ต่ำใดๆ ได้ หากแต่จะยิ่งเป็นการห่อหุ้มซ้อนเร้นอำพรางเสียจนคนเข้าใจผิด หรืออาจไม่กล้าเข้าใจถูก?
ผู้คนที่เห็นถึงช่องทางแห่งธารบุญของพุทธศาสนิกชน จึงไม่รีรอต่อกิเลสของความอยาก ต่อกิเลสของสามัญมนุษย์ ทั้งนอกคราบสงฆ์ที่อาศัยเพียงเครื่องแบบสงฆ์ในการหากิน และในคราบสงฆ์ที่อาศัยทั้งยศศักดิ์ ความนับถือ เครื่องแบบอันเป็นสัญลักษณ์ของความสูงส่ง เพื่อหากินอย่างต่ำชั้น
จึงไม่แปลกที่ ‘พระปลอมมืออาชีพ’ จะเกิดขึ้น และเจริญงอกงามผลิดอกออกผลอยู่อย่างน่ากลัวในเมืองไทย เมืองที่มีผืนดินอันอุดมที่สุดในโลกสำหรับพระเหล่านี้ เมืองไทยที่มีฉายาหนึ่งว่าเมืองพุทธนั่นเอง
ผ้าเหลืองห่อโจร
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชื่อเสียงอันดีเด่นของคนไทยคือ ‘ความใจดี’
สะท้อนให้เห็นชัดจากข่าวหนึ่งที่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ ที่มีเหตุทะเลาะกันระหว่างคู่สามีภรรยา ที่สามีเป็นขอทานตาบอดกำมะลอ ซึ่งสามารถหาเงินเฉลี่ยได้มากถึงวันละ 3,000-4,000 บาท ตกเดือนละหลายแสน สามารถเช่าบังกะโลพักอยู่ได้อย่างสบาย พร้อมทั้งยังสามารถทิปนักร้องคาราโอเกะได้ จนภรรยาหึงหวงถึงขั้นมีปากเสียงทะเลาะกันจนเรื่องไปถึงตำรวจ
ความใจดีของคนไทยนั้น สามารถทำรายได้ให้กับขอทานคนหนึ่งได้ถึงวันละ 3,000-4,000 บาท!
ฉะนั้นจึงไม่แปลก เมื่อสวมใส่เครื่องแบบของพระเข้าไปแทนความพิการ จะยิ่งทำให้ได้เงินมากกว่า และต้องยอมรับว่า สบายๆ คือไทยแท้นั้น แทบจะเป็นสัจธรรมของสังคมนี้
และด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลง ช่องทางหาเงินบุญในบทบาทของบาปจึงเกิดขึ้น
พระปลอมมืออาชีพนั้น มีวิธีหาเงินที่มากมายหลากหลายรูปแบบ จากข่าวล่าสุดที่พบพระร่อนบิณฑบาตพร้อมควงสีกาเที่ยวเกาะช้างนั้น เป็นตัวอย่างของวิธีหาเงินในขั้นแรกจากเงินปัจจัยที่ใส่มาในซองของเหล่าพุทธศาสนิกชนได้เป็นอย่างดี
เรียกว่า แค่บิณฑบาตรับปัจจัยอย่างเดียวก็มีเงินพอเที่ยวเกาะช้างได้แล้ว
แต่เท่านั้นยังไม่พอ ในหน้าหนังสือพิมพ์ ยังมีวิธีแยบยลอย่างการที่ แม่ค้าคนหนึ่งใช้ คือการส่งลูกของตัวเองไปบวช เพื่อให้กลับมาเป็นพระบิณฑบาตหน้าร้านข้าวแกงของตัวเอง พอลูกค้าทำบุญถวายถุงข้าวแกง แม่ค้าก็หยิบเอามาขายต่อ
ว่าไป ก็เข้ากับกระแสรักษ์โลกที่รียูสกันไปจนถึงเรื่องบุญ
และเรื่องบุญพาวาสนาส่งนั้นก็ผูกติดอย่างแยกไม่ขาดจากเรื่องของโชค และเรื่องของโชคก็คงไม่ห่างไกลไปจากเรื่องการเสี่ยงโชคหรือหวยมากนัก
พระปลอมมืออาชีพจึงสบโอกาสในการใช้ความเชื่อตรงนี้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นผู้หยั่งรู้ตัวเลขที่จะออก ในทุกวันที่ 1 และวันที่ 16 ของเดือน พระพวกนี้จะไปปักกลดกลางตลาดหรือใกล้แหล่งชุมชน (ซึ่งผิดพระวินัย) จะมีบริการตั้งแต่ให้เลขหวย ดูดวง ให้เช่าพระซึ่งซื้อมาในราคาถูก และพอใกล้วันหวยออกก็จะย้ายไปอยู่ที่อื่นทันที เพราะกลัวชาวบ้านจับได้
ยังมีแบบที่ทำกันเป็นขบวนการอย่างเป็นล่ำเป็นสัน จากคำบอกเล่าของ พระสิทธินิติธาดา เลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพฯ เล่าว่า มีถึงขั้นแห่พระพุทธรูปขึ้นรถบรรทุก ให้พระปลอมนั่งบนรถแล้วให้มีลูกศิษย์ปลอมออกถือบาตรเรี่ยไรเงินตามตลาด ซึ่งตามปกติแล้วไม่สามารถทำได้
“เพราะเขาเห็นว่า คนไทยนับถือพระ พวกนี้มันก็คล้ายๆ ว่าหากินได้ และไม่กลัวบาปก็เลยแต่งเป็นพระ มันผิดกฎหมายอาญา จำคุก แต่พวกนี้มันหน้ามืดกัน ก็ต้องกำจัดกันไป ถ้าไม่เข้มงวดมันก็จะมีขึ้นมา ซึ่งสำนักพุทธฯ กับตำรวจต้องช่วยกัน ส่วนถ้าพระจริงๆ ก็จะกวดขันด้วย พระแท้ๆ เป็นพระจริงที่ผิดก็ไม่ค่อยมีแล้วนะ เพราะจะรู้กันแล้ว”
ถึงเป็นแบบนั้น แต่ก็ยังมีหลายกรณีที่เกิดขึ้น จากที่พระจริงบวชจริงเป็นเหตุ ตัวอย่างเช่นกรณีของวัดแห่งหนึ่งย่านฝั่งธนบุรีที่มีพระออกบิณฑบาตเกินเวลาไปจนถึงช่วงบ่ายโมงก็เป็นข้อกังขาให้กับชาวพุทธมากมาย มีข่าวถึงขั้นว่าทำกันเป็นกระบวนการ เริ่มจากให้พระออกไปบิณฑบาตโดยรถแท็กซี่ และจะรับแต่เฉพาะอาหารแห้งเพื่อมาส่งที่ร้านขายของชำที่ตั้งอยู่หน้าวัดให้มาขายต่อ นอกจากนี้ยังพบพระต่างชาติกว่า 400 รูปกางเตนท์พักอาศัยเสียค่าใช้จ่ายถึง 2,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 60,000 บาท)
แม้จะมีข้อแก้ต่างจากเจ้าอาวาสของวัดดังกล่าวว่า เหตุที่บิณฑบาตผิดเวลานั้นมาจากว่าพระต่างชาติจะบิณฑบาตคนละเวลากับพระไทย และพระที่มาจากต่างชาตินั้นมาเพื่อศึกษาธรรมและท่องเที่ยว โดยตนเองไม่รู้ว่ามีการเก็บเงินค่าพักหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนข้อแก้ต่างเหล่านี้จะฟังไม่ขึ้นสักเท่าไหร่ที่น่ากลัวคือนี่ไม่ใช่โจรสวมเครื่องแบบพระ หากแต่เป็นพระจริงๆ ที่มาเล่นบทโจร
“สิ่งสำคัญก็คือชาวพุทธต้องช่วยกันสอดส่องดูแลด้วย เจอตรงไหนพระปลอมก็สะกิดชี้บอกตำรวจ ให้ตำรวจจัดการ ไม่ใช่อยากได้บุญ ทำบุญๆ กันอย่างเดียวโดยไม่สนใจอะไร” พระสิทธินิติธาดากล่าวเสริม
ทั้งนี้ การยึดอาชีพพระหากิน หรือการเป็นพระปลอมนั้น ตามกฎหมายแล้วต้องโทษถึง 2 กระทง คือทั้งแต่งเครื่องแบบพระมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี พร้อมกับฉ้อโกงประชาชนมีโทษจำคุก 5 ปี ทว่าดูเหมือนสิ่งที่เป็นอยู่คือ มิจฉาชีพต่างกล้าเสี่ยงด้วยรายได้จากธารศรัทธาของชาวพุทธนั้นมากมายมหาศาลเหลือเกิน
ขณะที่ แสงสิทธิ์ ปาทอง ประกอบธุรกิจส่วนตัว พุทธศาสนิกชนคนหนึ่งที่เข้าวัดถวายสังฆทานเป็นประจำ เห็นว่าตรงนี้เป็นความเสื่อมของคนที่เกิดจากความหน้ามืดตามัว และไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรม
“เรื่องแบบนี้ยังไงสังคมก็ต้องช่วยกันจัดการ ช่วยกันสอดส่องดูแล บางทีเราจะติดกันว่าทำบุญอย่าไปคิดอะไรมาก ให้แล้วก็ให้ไป ซึ่งแบบนั้นก็ถูก เป็นการฝึกจิตใจ แต่การปล่อยให้มีคนมาฉกฉวยผลประโยชน์ตรงนี้ ผมถือว่าไม่ถูกต้อง คือยังไงเมืองไทยก็ยังเป็นเมืองพุทธที่มีวัฒนธรรมในการโอบอุ้มพุทธศาสนาแบบนี้ ดังนั้นเราควรจะแก้ไขให้มันเป็นไปอย่างถูกต้องจะดีกว่า”
มาถึงตอนนี้ คงจะโทษแต่คนบาปห่อผ้าเหลืองอย่างเดียวไม่ได้เสียแล้ว ด้วยเพราะส่วนหนึ่งที่ขับเคลื่อนให้เกิดระบบบาปบนศรัทธาบุญนั้น ก็คงหนีไม่พ้นชาวพุทธที่มีศรัทธาในการทำบุญทั้งหลายด้วย และต่อไปนี้คงต้องขอแก้ไขประโยคเปิดเสียหน่อยแล้ว
จาก ‘เคยไหม? เห็นพระแล้วไม่อยากทำบุญ!’ เป็น ‘เคยไหม? เห็นพระแล้วอยากแจ้งตำรวจ!’
......
เรื่อง : อธิเจต มงคลโสฬศ