xs
xsm
sm
md
lg

เปลื้องเส้นทางนางแบบ ‘โป๊เปลือย’ จาก ‘หนังสือ’ สู่ ‘...’

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ฮือฮากันยกใหญ่ หลังจากมีภาพสาวสวยคนหนึ่งยืนเปลือยกายแจกไพ่ในบ่อนใต้กฎหมาย ปลิวว่อนสู่สาธารณะ สืบไปสืบมา จึงรู้ว่าแม่หญิงนางนี้ ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เคยฝากฝีไม้ลายมือในการโชว์เนื้อหนังมังสาในนิตยสารแนวเซ็กซี่สุดฮาร์ดคอร์มาก่อน

ซึ่งจากข่าวคราวนี้เอง ก็ทำเอาสังคมถึงกับสั่นไหว เพราะไม่คาดคิดว่า บ่อนแบบนี้ก็มีด้วย จนมีเสียงออกมาถ่ายถามกันยกใหญ่ว่า บ่อนที่ว่านี้ มันอยู่ตรงส่วนไหนของมุมโลกกันแน่ และมีสถานที่เล่นการพนันที่มีออเดิร์ฟพิเศษเช่นนี้ยังมีที่อื่นอีกหรือเปล่า

แต่ถ้ามองไปในอีกมุมหนึ่งที่อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมจู่ๆ อดีตนางแบบซึ่งเพิ่งถ่ายภาพลงนิตยสารไปได้ไม่เท่าใด ถึงได้ไปโผล่ตัวในสถานที่แบบนี้ หรือว่านี่จะเป็นเส้นทางของนางแบบสุดเซ็กซี่ที่ถ่ายภาพแบบเปิดหมดเปลือก ทั้งบนและล่างกันแน่

จาก...’นางแบบ’

หากพูดถึงคำว่านางแบบในสังคมในสังคมแล้ว หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วสามารถแบ่งระดับและแบ่งประเภทออกเป็นหลายรูปแบบ แต่ที่ถ้าแบ่งกว้างๆ ก็จะเห็น 3 แนวทางที่ชัดเจน

แบบแรกก็คือ นางแบบเกรดเอ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่โด่งดัง สังคมรู้จัก มีการศึกษา บ้างก็เป็นลูกหลานไฮโซ และมักมีผลงานอยู่ตามนิตยสารหัวใหญ่ และถึงจะมีเป็นแนวเซ็กซี่ ก็ไม่ได้โฉ่งฉ่าง และถึงถอดเสื้อผ้าออกหมด คนดูก็ไม่มีทางเห็นจุดที่นางแบบเหล่านี้สงวนเอาไว้อย่างแน่นอน แถมบางคนมีค่าตัวในการเดินแบบหรือถ่ายแบบแต่ละคนแตะหลักหมื่นหลักแสนกันเลยทีเดียว และบางคนนอกจากตำแหน่งนางแบบแล้วยังควบตำแหน่งในดารานักแสดงในวงการบันเทิงอีกด้วย

ส่วนแบบที่ 2 ก็คือนางแบบเกรดบี ซึ่งส่วนใหญ่นางแบบประเภทนี้จะเป็นนางแบบโนเนม เน้นการถ่ายภาพที่ดูเซ็กซี่ (มากๆ) แต่ไม่อนาจาร โดยบางคนก็มีที่มาจากการประกวดหานางแบบของนิตยสารบ้าง หรือไม่ก็มาจากพริตตี้สาว ซึ่งพร้อมจะถ่ายในแนวเซ็กซี่ที่มีขอบเขต สังเกตได้ง่ายๆ ก็นิตยสารพวกนี้บางฉบับจะมาพร้อมกับดีวีดีภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเน้นไปที่ความน่ารักและความสดใสของนางแบบ รวมไปถึงกิจกรรมที่ทำให้ผู้ชมต้องลุ้น อย่างบางเล่มก็นำนางแบบมาเล่นเป่ายิงฉุบแก้ผ้า แต่พอแก้จนเหลือแต่ชุดชั้นในแล้ว ก็จะไม่ยอมถอดไปมากกว่านี้ หรือถอดแต่ชิ้นบนแล้วเอามือปิดจุดสงวนเอาไว้ ก่อนจะวิ่งหนีออกจากรัศมีของกล้องไป ซึ่งโอกาสที่นางแบบกลุ่มนี้ต่อไปอาจจะก้าวไปสู่ประเภทแรกก็มีความเป็นไปได้สูง

ขณะที่แบบที่ 3 ก็คือนางแบบเกรดซี ซึ่งเรียกง่ายๆ ว่ากลุ่มฮาร์ดคอร์ ซึ่งภาพที่ถ่ายบางขั้นจะเลยไปถึงขั้นอนาจารด้วยซ้ำ โดยบางคนเห็นด้านบน แต่ก็มีไม่น้อยที่เปลือยเปล่าทั้งร่างกาย โชว์อวัยวะเพศทั้งส่วนบนส่วนล่าง โดยนางแบบกลุ่มนี้มักจะไม่มีชื่อเสียงในสังคม บางคนไม่ยอมใช้ชื่อจริงในการถ่ายด้วยซ้ำ

ซึ่งในกลุ่มหลังนี้เอง ถือว่ามีที่มาและรูปแบบที่น่าสนใจมาก เพราะจากคำบอกเล่าของกูรูที่นิตยสารแนวเซ็กซี่อย่าง ชูชาติ ธนมงคลชัย หรือที่รู้จักกันดีในนาม ‘กังฟู’ ทำให้ทราบว่า ในสมัยก่อนนางแบบกลุ่มนี้มักจะเป็นผู้หญิงที่แรงๆ ต้องการหาเงินด้วยวิธีง่ายๆ ส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ไม่มีผู้ปกครองคอยคุมดูแล และมักจะเลือกประกอบอาชีพอะไรที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก แต่ได้เงินเยอะ โดยไม่คำนึงว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นใด

“เด็กสาวพวกนี้เขาไม่ได้อยู่ในกรอบของพ่อแม่ มาจากต่างจังหวัด เช่าอพาร์ตเมนต์หรือหอพักรวมกับเพื่อน แล้วแต่ละคนจะแข่งขันอวดสรรพคุณของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงเรื่องเสียเนื้อเสียตัว แล้วการแต่งตัวของเขามันจะเน้นความยั่วยวน ดูทีเดียวก็รู้ว่าแต่งเพื่ออะไร เพื่อเรียกค่านิยม เรียกความสนใจ อัพเกรดตัวเองขึ้นมา เพราะฉะนั้นอย่าแต่การถ่ายโป๊เลย เรื่องขายตัวบางทีเขาก็ทำได้อยู่แล้ว

“แล้วอย่างการถ่ายแบบลงนิตยสารแบบนี้ สมัยก่อน ผู้หญิงที่มาถ่ายก็เป็นผู้หญิงหาเงินทั้งนั้น ส่วนมากเป็นหมอนวด นักศึกษาแทบไม่มีเลย เพราะเขาต้องการอัพเกรดได้เอง ได้ถ่ายปก ไม่เสียค่าตัว เหมือนเป็นบาเตอร์ (เครื่องแลกเปลี่ยน) กันไง พอถ่ายเสร็จเราก็ตีพิมพ์เบอร์โทรศัพท์ให้เขา แล้วเขาก็ทำเมคมันนี่กันเอง เหมือนโฆษณา แล้วบางทีสถานบริการเป็นคนจัดหาเด็กมาลง คล้ายๆ เป็นโมเดลลิ่ง คือพอถ่ายเสร็จก็จะตีเบอร์เลยว่า ผู้หญิงคนนี้มาจากที่นี่ ชื่ออะไร สมมติชื่อ น้องแนน เป็นเด็กของฮานาริ พอคนดูแล้วเกิดอารมณ์ก็โทรไป ติดต่อค่าตัวเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นจากเดิมที่เคยหาได้ 500-800 บาท ตอนนี้ก็เป็น 5,000 บาท พูดง่ายๆ คือราคาขึ้นเป็น 10 เท่าเลย หรืออย่างดาราคนหนึ่งที่เคยเล่นหนังเอ็กซ์ก็เห็นชัด สมัยก่อนเขาหาเงินได้แค่พันเดียว แต่พอเป็นนางเอกหนัง เขาตัวขึ้นเป็นหมื่นเลยเป็นแสนเลย”

และนอกจากถ่ายภาพแบบโจ๋งครึ่มแล้ว กระบวนการปั้นดินให้เป็นดาวที่สำคัญอีกอย่าง ก็คือ การสร้างจุดขาย ซึ่งกังฟูบอกว่า ชื่อนั้นสำคัญไม่น้อย โดยนางแบบส่วนมากไม่ใช่ชื่อจริง เพราะอย่างที่รู้ๆ ว่านี่คือโลกมืดของวงการ ขณะเดียวกัน ถ้าชื่อโดนใช้มากๆ ก็เรียกเสียงฮือฮาได้สูง

ตัวอย่างเช่น นางแบบคนหนึ่งที่ชื่อ ติ๊กแม่โขง ที่กังฟูบอกว่าเรียกง่าย ติดปากเร็ว และคนก็ฮือฮา ลักษณะนี้จากเดิมที่คนไม่รู้จัก ก็สร้างเรียกค่าตัวได้ถึงกว่า 200,000-300,000 บาทเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป นิตยสารแนวเซ็กซี่เพิ่มมากขึ้น แถมยังสามารถยึดพื้นที่ของแผงเกือบทั้งหมดได้สำเร็จอีกต่างหาก แต่ความน่าสนใจก็คือ ความดุเดือดและขายเซ็กซ์แบบโจ่งแจ้งกลับน้อยลง นิตยสารที่เปิดหมดเปลือก แม้จะมีอยู่บ้างแต่บางคนก็ต้องไปหาซื้อในแหล่งเฉพาะเท่านั้น

ซึ่งส่วนหนึ่งปฏิเสธปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นโลกปัจจุบันมองความเซ็กซี่ต่างไปจากยุคอดีต การเปลือยหมด และปิดจุดสงวนเอาไว้ สมัยก่อนอาจจะเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ แต่ตอนนี้ถือเป็นเรื่องปกติที่บรรดานางแบบระดับแถวหน้ายังทำ ที่สำคัญต้องยอมรับด้วยว่า โลกของนางแบบเซ็กซี่ไม่ได้ถูกจำกัดไว้ที่คนที่อยู่ในโลกด้านมืดอีกแล้ว แต่สาวๆ ที่มั่นใจรูปร่างหน้าตาของตัวเอง และไม่ได้ทำงานกลางคืนก็มีสิทธิจะเข้ามาเดินอยู่ในวงการนี้เช่นกัน พูดง่ายๆ ก็คือ นางแบบกลุ่มที่ 2 เพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มที่ 3 กลับลดลง

ปรัชญา กุลธำรง บรรณาธิการนิตยสารรัช ผู้คลุกคลีอยู่ในวงการนางแบบเซ็กซี่ เล่าว่าจากที่ไปคลุกคลีกับบรรดานางแบบยุคใหม่ พบว่าส่วนใหญ่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ อายุตั้งแต่ 19-20 ปี บางคนก็เพิ่งเรียนจบมา อายุประมาณ 23-24 ปี ซึ่งหลักๆ ก็มาถ่ายเพราะอยากได้เงินเยอะๆ และยังไม่ได้คิดไปไกลว่า อนาคตจะไปทำอะไร แต่ส่วนใหญ่แล้ว กลุ่มพวกนี้จะไม่ยอมไปถ่ายภาพที่มีลักษณะโป๊เปลือยหรืออนาจาร

“ส่วนใหญ่ที่ผมคลุกคลีอยู่ เขายังเรียนอยู่หมดเลยนะ อายุ19-20 จบมาใหม่อายุ23-24 ถ่ายแบบก็ได้เงินเยอะพออยู่ได้แล้ว ยังไม่ได้มองไกลๆว่าจะทำอะไร”

เพราะฉะนั้น จึงอาจจะกล่าวได้ว่า แม้หนังสือแบบนี้จะไม่ถึงกับตาย แต่ก็ต้องแปรเปลี่ยนตัวเองเพื่อความอยู่รอด โดยกังฟูชี้ว่า อิทธิพลของอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารโลกออนไลน์ถือว่า เป็นกระบวนการที่ได้ผลและเข้าถึงผู้คนมากที่สุด และมีโอกาสสูงที่ใช้พื้นที่ตรงนี้ในการโชว์เนื้อหนังมังสา (ในระดับใดก็ได้) โดยไม่จำเป็นต้องยอมไปถ่ายลงนิตยสารแบบสมัยก่อน

"เดี๋ยวนี้ส่วนมาก เด็กมันจะไม่กล้าเปิดตัวเองมาก อย่างแรงสุดก็แค่ถ่ายเซ็กซี่ ไม่ได้เปลือกแหกขากันแล้ว เพราะทำแบบนี้จะไม่ได้รับความนิยม ไม่ได้รับการยอมรับ แถมในยุคนี้เป้าหมายของคนที่ถ่ายแบบก็เปลี่ยนไป เพราะต้องการเข้าวงการบันเทิง ไม่ใช่ต้องการขายตัว"

สู่....จุดหมายปลายทาง

แม้วงการนิตยสารโซนมืดจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นใด แต่สำหรับตัวนางแบบแล้วก็ดูยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ทั้งในแง่บุคลาการที่มีคนใหม่เข้ามาเสนอ ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยก็คือ เมื่อถ่ายภาพเสร็จแล้ว เส้นทางชีวิตของนางแบบพวกนี้จะดำเนินการเช่นใด

จากการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญทั้งสอง และการเก็บข้อมูลจากแหล่งความรู้อื่นๆ ก็ทำให้ทราบว่า จริงแล้วทางออกของนางแบบใจกล้าเหล่านี้มีอยู่เต็มไปหมด ซึ่งงานที่เด่นๆ ก็มีตั้งแต่

1. นางแบบ หลายคนอาจแปลกใจว่า ในเมื่อพวกเธอก็เป็นนางแบบของนิตยสารปลุกใจเสือป่าอยู่แล้ว แล้วทำไมต้องเอากล่าวถึงอีก แต่ก็อย่างที่บอกไว้แล้วว่า นางแบบนั้นมีหลายระดับ เพราะฉะนั้นมีหลายคนๆ ที่สามารถผลักดันตัวเองขึ้นสู่ระดับบนของวงการได้ โดยที่ง่ายสุดก็คือ ปฏิทินเหล้าในสมัยก่อนที่มักจะถ่ายภาพผู้หญิงแบบที่เห็นอวัยวะเพศด้านบนชัดเจน ซึ่งค่าตัวก็จะเพิ่มตามมูลค่าของผลิตภัณฑ์ที่ว่าจ้าง รวมไปถึงชื่อชั้นของนางแบบคนนั้นด้วย

แต่เนื่องจาก ในยุคหลังที่นิตยสารแบบนี้น้อยลง นางแบบพวกนี้จึงหันไปยืดอายุตัวเอง ด้วยการสร้างผลงานและกลุ่มแฟนคลับ (เห็นได้ในเว็บบล็อกและเฟชบุ๊ก) ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นช่องทางทางการตลาดโปรโมทตัวเองว่า ยังรู้ตัวเองยังรับงานอยู่ และอีกไม่น้อยที่รวมตัวกันจัดทริปถ่ายภาพแนวเซ็กซี่เป็นประวัติผลงานในการนำเสนอลูกค้าที่สนใจต่อไป

2. นางเอกหนังโป๊ แม้จะเป็นธุรกิจในสายใกล้กัน แต่ก็ในความเป็นจริงแล้ว ทั้ง 2 ส่วนนี้แยกขายกันชัดเจน แต่เนื่องจากนางแบบภาพแบบนี้ ส่วนใหญ่กล้าเปิดเผยเนื้อหนังมังสาของตัวเอง (แบบที่เป็นภาพนิ่งแล้ว) เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเปลี่ยนตัวเป็นภาพเคลื่อนไหว โดยผู้ผลิตหนังก็จะติดต่อสาวๆ พวกนี้แหละไปแสดงนำ โดยมีตั้งแต่แสดงคนเดียว จนไปถึงแสดงคู่ หรือไม่ก็มีเส้นเรื่องที่ชัดเจน

3. โคโยตี้ ในส่วนนี้หมายถึงกลุ่มที่แสดงแสดงลีลาหรือท่าทางในเชิงกามารมย์เป็นหลัก เน้นการนุ่งน้อยห่มน้อย บางคนก็ใส่แค่บิกินีชิ้นล่างชิ้นเดียว มักจะเดินสายโชว์ตามผับและเวทีต่างจังหวัด รวมไปถึงการเป็นนางแบบที่เดินตามค็อกเทลเลาจน์ โดยราคาการแสดงต่อคืนหนึ่งจะตกอยู่ที่ครั้งละ 1,000 บาท/งาน/วัน แต่ถ้าใครผู้สนับสนุนทุ่มไม่อั๋น จ้างไปเดินสายโชว์ต่างประเทศ อย่างสิงคโปร์ ราคาก็จะขยับไปถึง 50,000-80,000 บาท/เดือน กันเลยทีเดียว

4. พริ๊ตตี้/เอ็มซี ต้องเรียกว่าเป็นการต่อยอดที่ได้รับความนิยมสุดในยุคปัจจุบัน เพราะไม่ว่าสินค้าชนิดใดๆ ก็มักต้องการพรีเซ็นเตอร์หน้างานที่สวยและราคาถูก เพื่อจูงใจลูกค้า ซึ่งแน่นอนว่าคุณสมบัติในเรื่องความเซ็กซี่คงไม่ต้องพูดถึง แต่สิ่งที่อาจจะต้องการเพิ่มเติม ทักษะในการสื่อสาร หากเป็นงานที่เน้นเรื่องแนะนำสินค้า ซึ่งจุดสังเกตเห็นก็คือ งานแบบนี้มักเป็นงานชั่วคราว ที่จะมีต่อเนื่องหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถ และงานแบบนี้ ก็มีตั้งแต่ระดับเกรดดีๆ เช่นแนะนำรถตามงานมอเตอร์โชว์ เรื่อยลงมาระดับเกรดต่ำๆ ตัวอย่างเช่นกรณีที่เกิดกับพริตตีสาวที่ไปโผล่ตัวในบ่อนการพนัน

5. ขายบริการทางเพศ ซึ่งในส่วนนี้มีทั้งแบบมีและไม่มีเพศสัมพันธ์ ก็คือระดับเบาสุด อย่างเด็กนั่งดริ๊งก์ สาวคาราโอเกะ นวดกระปู๋ ไซด์ไลน์ หมอนวด โสเภณี ฯลฯ ซึ่งอย่างที่กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า นางแบบจำนวนไม่น้อยนั้นมีที่มาแบบนี้ เพราะฉะนั้น นี่คือหาทางอัพราคาของบรรดาสาวบริการแบบนี้ทางหนึ่ง โดยข้อมูลจากนิตยสารไฟกลางคืนเคยอธิบายว่า หากเป็นสาวไซด์ไลน์ธรรมดา ราคาอย่างต่ำก็จะตกอยู่ที่ 1,900 บาท และอย่างสูงไม่เกิน 2,700 บาท แต่ถ้าเคยถ่ายปฏิทินหรือนิตยสารผู้ชายจะสามารถเรียกค่าตัวเพิ่มขึ้นเป็น 3,500-5,500 บาทต่อครั้งเลยทีเดียว

6. เด็กเสี่ยหรือเมียน้อย ต้องเรียกว่าเป็นเรื่องปกติที่หลังจากมีผลงานออกมาสู่สายตาของสาธารณะ นางแบบทรวดทรงสุดเซ็กซี่เหล่านี้จะเข้าตาของบรรดาเศรษฐีน้อยใหญ่ที่หวังจะอุปการะสาวสวยๆ ซึ่งจากคำยืนยันของปรัชญา ก็บอกว่านางแบบทุกคนที่เขารู้จักต่างก็ได้รับข้อเสนอแปลกๆ เหล่านี้ทั้งสิ้น โดยที่เบาสุดก็มีตั้งแต่ชวนไปนั่งกินข้าวด้วยกัน รวมไปถึงส่งเทียบเชิญด้วยการของขวัญใหญ่มาล่อ ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม รถยนต์ ซึ่งจะมีคนรับข้อเสนอนี้เยอะแค่ไหน บรรณาธิการคนดังไม่สรุปแต่อย่างใด

7. แม่เล้า นี่คือเรื่องจริงที่กังฟูเผยออกมาว่า จริงๆ ธุรกิจพวกนี้เป็นธุรกิจลูกโซ่ประเภทหนึ่ง และบางคนก็ไม่สามารถอนตัวจากวัฏจักรนี้ได้แม้จะแก่ตัวไปแล้วก็ตาม จึงเปลี่ยนไปหันทำหน้าที่ส่งเด็กต่างๆ ไปถ่ายภาพหรือไปบริการแขกแทน แถมบางคนยังไปไกลกว่านั้น ด้วยการผันตัวเองเป็นนางนกต่อ หลอกเด็กสาวไปขายตัวที่เมืองนอกอีกต่างหาก
"ตอนนี้เด็กบ้านนอกเขาไม่ถูกหลกกันแล้ว เพราะการพัฒนาชนบทมันเข้าไปถึงหมู่บ้าน เพราะฉะนั้นเขาจะไม่มีทางส่งลูกหลานออกไปหรอก แต่ที่ถือว่าน่าสงสารก็คือ พวกเด็กลาวที่โดนหลอกมาแทน ตอนนี้ไปดูก็ได้ คาราโอเกะต่างจังหวัดเป็นเด็กลาวทั้งนั้น แล้วก็จะถูกบีบให้ขายตัว เพราะถ้าเป็นลูกจ้างธรรมดาก็ตกเดือนละพันบาท แต่ถ้าขายตัวด้วยก็หลักหมื่นขึ้นไป"

8 .ดารานักแสดง ในกลุ่มนี้ถือว่ามีน้อยมาก แต่ก็มีเล็ดลอดเข้าไปได้บ้าง เพราะถ้าเป็นสมัยก่อน สังคมจะไม่ยอมรับเลย แต่ตอนนี้หากนางแบบคนหนึ่งออกมาแก้ตัวกับสังคมไทย ก็อาจจะได้รับการยอมรับในฐานะเซ็กซี่สตาร์แทน แต่ก็มีไม่น้อยที่อยู่ไม่ได้ และสุดท้ายต้องกลับมาอยู่ในธุรกิจใต้ดินอีก เช่นกรณีของดาราสาวในซิทคอมเรื่องหนึ่งที่มีภาพในอดีตหลุดออกมา แล้วต้องถอนตัวจากงานแสดง ก่อนจะหันกลับไปแสดงภาพยนตร์เรตอาร์แทน

9. ออกจากวงการ ส่วนใหญ่จะถูกใช้เป็นสาเหตุของพวกที่มีอายุเกินกว่ามาตรฐาน เช่น 30 ปีขึ้นไป เพราะบางคนก็ถ่ายแบบมาเยอะ แต่ก็ยังไม่รุ่งกับทางนี้เสียที หรือบางคนก็อาจจะหันไปใช้ชีวิตครอบครัว ซึ่งการถ่ายแบบเช่นนี้อาจจะมีผลต่ออนาคตข้างหน้า เพราะสังคมไม่ยอมรับเท่าที่ควร

นี่แหละ...คือสังคมไทย

พอเห็นเส้นทางชีวิตของบรรดานางแบบเหล่านี้ไปแล้ว หลายคนอาจจะสงสัยไม่น้อยว่า เพราะเหตุใดพวกเธอถึงตัดสินใจเลือกชีวิตเช่นนี้ หรือแท้ที่จริงแล้ว สภาพสังคมนั้นบีบรัดกันแน่

ดร.สุกฤตยา จักรปิง อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า ที่ผ่านมา สังคมไทยตั้งบรรทัดฐานตามสิ่งที่อยากให้เป็น เพราะหากลองมองจะเห็นว่า ทั้งดารา-นางแบบที่ค่าตัวเป็นหลักล้าน หรือหลักหมื่นหลักพันก็ตาม ลักษณะงานก็ไม่ได้ต่างกัน นั่นคือขายเรือนร่างหน้าตา เพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ทำไมการยอมรับนั้นกลับแตกต่าง

“กิจกรรมแต่ละอย่างจะถูกสังคมจัดวางว่าสังคมจะยอมรับได้หรือไม่ หรือเลือกที่จะให้เครดิตกับใครให้ออกมาใช้ร่างกาย หน้าตาได้โดยไม่มีปัญหา แต่กับอีกกลุ่ม การปลดเปลื้องเสื้อผ้าในที่สาธารณะนี่เป็นเรื่องผิด ถึงแม้จะทำกิจกรรมเดียวกันก็ตามแต่ถูกประณาม เพราะไม่มีชื่อเสียง มาเป็นหลักประกัน บางคนที่ไม่ได้อยู่ในระดับที่มาตรฐานสังคมให้การยอมรับ เราก็ไปบังคับคนในสังคมให้ยอมรับไม่ได้ แต่หากลองมองอย่างมีสติ ไม่ยึดเรื่องตรงนี้ เราสามารถเห็นแง่มุมที่หลากหลายมากกว่าที่จะมองในฟากเดียว”

เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไม่ว่ายุคไหน ใครไม่ฉาวก็ไม่ดัง ไม่ดังก็ไม่ได้ขึ้นค่าตัว หญิงสาวเหล่านี้จึงเป็นการตอบโจทย์ของสังคมที่ดีว่า มีความต้องการเสพย์เรื่องแบบนี้สักแค่ไหน

“คงไม่มีใครอยากออกมาโป๊เปลือย หรือทำพฤติกรรมในลักษณะนี้ ซึ่งแทนที่จะประณามคนที่ทำแบบนี้ เราลองกลับไปมองโครงสร้างสังคมที่ไม่มีความเท่าเทียมจะดีกว่า รายได้ ของคนยังไม่สามารถตอบโจทย์ชีวิตได้ สวัสดิการไม่ดี หลายคนจึงเลือกทำอะไรๆ ให้ตัวเองมีกินมีอยู่ และทำไมองค์กรภาครัฐยังไม่ทำตรงนี้ให้ดีแทน”

…...

มาถึงตรงนี้ กับชีวิตของหญิงสาวเหล่านี้ เราคงจะมองแต่เพียงเปลือกอันฉาวโฉ่อย่างเดียวไม่ได้ หากแต่ต้องมองให้ลึก และขุยให้เข้าใจ เพราะหลากวิถีทางเดินในยุคสังคมปัจจุบันที่เปิดกว้างพอ และยอมรับในการเป็นนางแบบเซ็กซี่แล้ว

แต่ทว่าในมุมมืดของสังคม ก็ยังคงมีการหยิบยื่นตัวเลือกที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ด้วยเหตุผลง่ายๆอย่างการไม่มีกิน ไม่มีที่อยู่ หลายครั้งผู้หญิงเหล่านี้จึงจนต้องผลักตัวเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่าบันทัดฐานทางสังคมไม่ได้ยอมรับ มันทำให้ต้องถามไปถึงสังคมที่หยิบยื่นหนทางแบบนี้ให้พวกเธอ หนทางที่ชื่อว่า 'การทำมาหากิน'

>>>>>>>>>>>>>>>
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK


กำลังโหลดความคิดเห็น