การดูภาพยนตร์หรือหนังสักเรื่องหนึ่ง หลายคนอาจจะให้ความสนใจนักแสดงนำชาย-หญิง, เนื้อหา, เพลงประกอบ, ภาพ ฯลฯ และหลายคนอาจจะให้ความสนใจไปที่ 'ผู้กำกับการแสดง' ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่ขาดไม่ได้และสำคัญไม่น้อยไปกว่าสิ่งอื่นใด
เพราะกว่าจะมาเป็นหนังเรื่องหนึ่งนั้นก็ต้องอาศัยผู้กำกับการแสดงที่กำกับฯ ในขั้นตอนการสร้างภาพยนตร์ สร้างจินตนาการจากบท ถ่ายทอดความคิดออกมาตามแบบที่ผู้กำกับฯ ต้องการ และสามารถสั่งฝ่ายอื่นๆ ในกองถ่ายหนังได้ เพื่อให้ภาพรวมของหนังให้ออกมาตรงตามคอนเซ็ปต์ที่นำเสนอต่อนายทุน
'พยัคฆ์ร้ายส่ายหน้า' 'แสบสนิทศิษย์ส่ายหน้า' 'โปงลางสะดิ้ง ลำซิ่งส่ายหน้า' 'โหดหน้าเหี่ยว 966' '32 ธันวา' และ 'สุดเขต เสลดเป็ด' หนังทั้ง 6 เรื่อง ถูกกำกับฯ โดย 'ยอร์ช-ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์' และประสบความสำเร็จหมดทุกเรื่องจนสร้างสกุลหนังคอมิดีหรือหนังตลกฮาแบบยอร์ชขึ้นมาได้ในตลาดหนังไทย ล่าสุด ‘ส.ค.ส. สวีทตี้’ ซึ่งเป็นหนังเรื่องใหม่ที่ท้าทายต่อมความฮาของคนดูอีครั้ง
นั่งคุยกับเขาในวันที่ว่างเว้นจากงานที่รัดตัว ถึงเรื่องราวชีวิตของผู้กำกับฯ ที่ไม่เคยคิดว่า ตัวเขาเองจะกลายมาเป็นผู้กำกับฯ เหมือนเช่นทุกวันนี้...และยาวนานมาเป็น 10 ปีแล้ว
เคยคิดไหมว่าสักวันหนึ่งจะเป็นผู้กำกับฯ
ไม่เคย...ไม่คิดถึงเลย ถ้าพูดถึงหนังก็คือหนังที่เราซื้อตั๋ว 20-30 บาทเข้าไปดูคิดแค่นั้น ใครเล่น ไม่ได้คิดว่าจะมีคนไปกำกับฯ ตอนนั้นเด็กมากๆ ไม่เคยคิด และพอโตมารู้ว่าผู้กำกับฯ ทำอะไรแล้วก็ยิ่งไม่คิดใหญ่เลย
ทำไม!
คือตัวผมเองเป็นคนรักสนุกและรักสบาย คือผมชอบทำอะไรที่สนุกและสบาย ชอบเรื่องตลก ดังนั้นทุกอย่างถ้าหาอะไรด้วยตัวเอง ทั้งข้าวของหรืองานก็ต้องทำให้ผมมีชีวิตที่สนุกและสบาย มีงานที่สนุกผมก็อยากทำ และยิ่งเป็นงานที่สบายก็ยิ่งดี แต่ถ้าได้งานที่สบายแต่ไม่สนุกผมก็ไม่เอา แต่งานผู้กำกับฯ เป็นอะไรที่ทั้งไม่สนุกและไม่สบาย เพราะว่าต้องรับผิดชอบเยอะ ตอบคำถามเยอะ ตัดสินใจเยอะ ผิดถูกอยู่ที่การตัดสินของเราในบางทีเยอะมากเหมือนกันก็เลยผิดกับที่ตัวเองชอบ ก็เลยไม่ได้คิดถึงมัน เห็นคนนั้นกำกับฯ โห! ยากนะเนี่ย ก็ไม่ได้ชอบ ไม่ได้ใฝ่ฝัน
แล้วคิดว่าอยากทำอะไร
อยากเป็นนักกีฬาอาชีพ และนักดนตรีตามผับ เพราะไม่ต้องรับผิดชอบสังคม ผมอยากเล่นบาสเกตบอลอาชีพ สมมติเราเล่นเก่งหรือไม่เก่งไม่มีใครตายนะ นักดนตรีก็เหมือนกัน เป็นอาชีพที่สนุกสบายดี
เป็นผู้กำกับฯ ชีวิตเปลี่ยนไปไหม
ชีวิตจริงๆ ไม่ได้เปลี่ยนครับ แต่ชีวิตสังคมอาจจะเปลี่ยนบ้าง ก็คือต้องมาตอบอะไรแบบนี้ เพื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่ชีวิตรอบตัวยังไม่ได้เปลี่ยน ผมยังเป็นน้องคนสุดท้องที่ยังไม่ได้รับความเชื่อถืออยู่ดี กลับไปบ้าน (นครสวรรค์) ก็ยังเป็นคนที่พูดอะไรแล้วพี่ๆ ก็ไม่เชื่ออยู่ดี สมมติว่าผมพูดว่าสีขาวถูกเขาก็จะเลือกทุกสี ยกเว้นสีขาว
ทำไมเป็นแบบนั้น
ในบ้านผมผมเรียนไม่เก่ง คนอื่นเรียนเก่งมากมาก ผมไม่ค่อยตั้งใจเรียน บ้านผมเคารพคนที่เรียนเก่ง พอมาเป็นผู้กำกับฯ เขาก็ขำหนังผม ทำไรเหรอ ดูมัน...เห็นเราในทีวีก็ขำ คือที่บ้านขายอุปกรณ์การเกษตรวางระบบขายให้ราชการ ท่อน้ำเกษตร ยิ่งพ่อผมเขาอยู่คนละโลกกับผม พ่อบอกตั้งแต่ผมเด็กๆ แล้วว่าอยู่กันคนละโลก พ่อผมเป็นวิศวกร พ่อบอกเลยว่าถ้าไม่เรียนหมอก็วิศวกร ถ้าไม่ใช่ 2 คณะนี้ไม่ควรเรียน
แล้วเรียนจบอะไรมา หมอหรือวิศวกร?
พอจบม.3 ผมได้ที่สุดท้ายของเด็กที่สอบเข้าเรียนสายวิทย์ ได้ คือเขารับ 200 มีคนสละสิทธิ์ 3 คน ผมได้ที่ 203 ถ้านับที่สุดท้ายมาผมได้ที่ 1 ของคนสุดท้ายทีเรียนสายวิทย์ ผมคิดในใจอย่างดังนะว่า ผมควรเรียนหมอหรือวิศวะเหรอ และผมก็บอกพ่อไปว่าครับผมจะพยายาม...
พยายามยังไง
ตอนเขาสอบโควตา เข้ามช. (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ผมเด็กนครสวรรค์ก็มีสิทธิ์สอบ และสอบเข้าวิศวะ วันที่สอบเป็นวันที่ทีมบาสฯ ผมเข้าชิงอะไรสักอย่าง ผมกับเพื่อนนัดกันว่าถ้าทำข้อสอบเสร็จเมื่อไหร่ต้องลุกทันทีนะ คือถ้าเพื่อนทำเสียงกระแอม ต้องลุกทันที เพื่อนผมมันนั่ง 5 นาทีกระแอมเลย พอเพื่อนกระแอมผมลุกเลย เพราะไม่คิดว่าจะเรียนตั้งแต่ต้น ผมคิดว่าไม่ได้หรอก ผมไม่รู้เรื่องเลย วิศวะต้องเข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์เยอะมาก วิชาเดียวที่ผมเรียนรู้เรื่องคือฟิสิกส์ อย่างอื่นโง่มาก
โง่มากเลยเหรอ ยังไง
ผมเคยเรียนวิชาชีววิทยา เพื่อนบอกว่าผมแย่มาก เพื่อนให้ไปรายงานหน้าห้อง คือผมไม่ต้องทำรายงาน เพื่อนบอกให้ไปยืนพูดแล้วกันเดี๋ยวเพื่อนๆ ทำรายงานให้ ผมก็เอาสิ่งที่เพื่อนทำมาอ่านและท่องให้ขึ้นใจ และไปยืนรายงานหน้าห้อง ผมรายงานว่า มนุษย์เราทุกคนมีต่างสายพันธุ์ ทุกคนมี ดะนา (DNA) ผมพูดดีเอ็นเอว่า ดะนาน่ะ ผมโง่มาก และอาจารย์ก็งง อะไร คืออะไร เพื่อนก็งงมึงพูดอะไรออกไป .... พ่อบอกอยากให้ผมเรียนหมอ...ผมอยากให้เขาเห็นช็อตนี้จังเลย
สรุปแล้วได้เรียนอะไร
พอสอบโควตาไม่ติด ตอนเอนทรานซ์เลยเลือกเรียนวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์ที่ มศว. พิษณุโลก ดีใจมากนะ เด็กที่เอนท์ติดสมัยนั้น เป็นอะไรที่ภูมิใจมากเลยนะ พ่อพาไปที่มหา'ลัย พ่อลงรถเหยียบลงไปที่พื้น ผมยังไม่ทันลงจากรถเลย พ่อขึ้นมาปิดประตูและขึ้นรถบอกเลยว่า ไป! ไม่ต้องเรียน เขาบอกให้กลับไปขายของช่วยบ้าน
ทำไมพ่อไม่อยากให้เรียน
ก็ไม่อยากให้เรียน พอไปเห็นสถานที่แล้วคงแบบ...เขาอยากให้เรียนออกซ์ฟอร์ดมั้ง ไม่ประเมินลูกตัวเองเลย ผมคงใหญ่โตมากในสมองเขา ก็กลับมาเรียนพิเศษ และเอนท์ใหม่ เลือกวิศวะอันดับ 1 นะ แต่ไม่ได้หรอก ทำให้เขาเห็น และเราก็เลือกศิลปะ เอนท์ติด ทัศนศิลป์ มศว.ประสานมิตร พอเข้ามาเรียนสุดท้ายอาจารย์ที่คณะเฉลยว่า ตอนที่สอบเข้ามาคนที่ได้คะแนนที่สุดท้ายคือผม เพราะวาดรูปไม่ค่อยสวย
ถึงวันนี้กับการผู้กำกับฯ ที่ประสบความสำเร็จ ชีวิตเปลี่ยนไปมากไหม
ชีวิตเปลี่ยนไหม? ชีวิตจริงๆ ไม่ได้เปลี่ยนครับแต่ชีวิตสังคมอาจจะเปลี่ยนบ้าง ก็คือต้องมาตอบอะไรแบบนี้ เพื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่ชีวิตรอบตัวยังไม่ได้เปลี่ยน ผมยังเป็นน้องคนสุดท้องที่ยังไม่ได้รับความเชื่อถืออยู่ดี
เลือกได้อยากเป็นพวกตลกอาชีพหรือดาราตลกไหม
ชอบอยู่ในมวลนั้น เหมือนนั่งอยู่ตรงโต๊ะ ผมก็ไปสนใจคนนั้นชอบเรื่องที่สร้างรอยยิ้ม ในชีวิตอยากมีรีสอร์ต หรือบูทิกโฮเทล แล้วข้างล่างเป็นร้านขายของที่เมื่อเวลาลูกค้าเข้าร้านมา เจ้าของร้านต้องลุกไปทำ เช่น ขนมปังปิ้งโฮมเมด ไข่กระทะ ถ้าตอนนั้นเรามีเงินแบบไม่ต้องเดือดร้อนหาเงินนะ แล้วก็มีคนแปลกๆ มาพัก มากับแฟนกับคู่รัก เช่นทะเลาะกับแฟนมา เพิ่งมีลูกใหม่ คล้ายโฮมสเตย์ มีข้อแม้ว่าต้องกินข้าวร่วมกัน เพราะเดี๋ยวผมเหงา ใช้คนเป็นความบันเทิง
แล้วอยากเปิดที่ไหน
เชียงใหม่หรือหัวหิน เพราะมันต้องกระแดะ เพราะคนอยากไปเปลี่ยนบรรยากาศ ต้องเป็นเมืองที่กระแดะ ถ้าเปิดที่อ่างทองหรือนครสวรรค์ก็คงไม่มีคนไปกิน ชอบเที่ยวไหม ชอบมาก เที่ยวที่เดิม ชอบเดินทางไป แต่ไม่ชอบตอนเดินทาง ไม่ชอบเลย ตอนนั่งรถขึ้นเครื่องบิน เป็นคนขับรถเกิน 60 กิโลฯ ก็จะหลับ กรุงเทพฯ ถึงนครสวรรค์ คนอื่นขับ จอดนอนตามปั๊ม 2 ชั่วโมง ผมขับ 6 ชั่วโมง ก็จอดนอนอยู่นั่นแหละ เมื่อก่อนถ้าขับกลางคืนก็นอนเละเทะเลย เวลาไปถึงแล้วชอบมาก ชอบเดินตลาดนิมมานฯ เชียงใหม่ ชอบเดินตลาดหัวหิน ชอบไปที่เดิม เพราะไม่เกินและไม่ขาด ที่กระแดะๆ ก็มี ไม่ได้ถูกมันล้อมมากๆ พวกร้านบ้านๆ เดิมๆ ก็ยังมี แต่บางจังหวัดก็ขาด ผมเป็นคนหลงแสงสี กลับบ้าน เวลาเดินช้ามาก แต่จังหวัดที่ชอบ ผมว่าเวลามันเดินพอดีๆ สำหรับผม
>>>>>>>>>>>
……….
เรื่อง : มาลิลี พรภัทรเมธา
ภาพ : พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร