หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยคุ้นหน้า 'แจนจี้-ปาลิดา จงใจพระ' สาวตัวเล็กหน้าหวานคนนี้มากนัก แต่ถ้าสังเกตนามสกุลเชื่อว่าคงจะคุ้นๆ หูกันอย่างดี เพราะเธอเป็นลูกสาวคนสุดท้องของโหรการเมืองชื่อดัง 'เก่งกาจ จงใจพระ' เธอเป็นลูกไม้ใต้ต้นที่ศึกษาเรื่องโหราศาสตร์มาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างสนุก และน่าสนใจ จนคุณพ่อเก่งกาจถึงกับเอ่ยปากชมว่าลูกสาวคนนี้เก่ง และมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว
เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้ แต่ความสามารถไม่ได้เล็กไปด้วย เธอมีบุคลิกคล่องแคล่วแบบสาวทำงาน ช่างพูดช่างคุย ชอบแต่งตัว มีความสามารถหลายอย่าง วันนี้เธอสวมเสื้อถักแขนกุดตัวยาวสีเทา สวมถุงน่องตาข่ายสีดำ เปรี้ยว เก๋ รองเท้าบูธสั้น ซึ่งเธอบอกว่าสีเทาเป็นสีนำโชคสำหรับวันนี้ (วันพฤหัสบดี) นอกจากความสามารถด้านการดูดวงแล้ว เธอยังเป็นวีเจช่อง True Music และพิธีกรรายการจงใจดู (รายการโหราศาสตร์ฉบับวัยรุ่น) เป็นนักออกแบบและพิธีกรรายการ DIY (On Route TV:Metro Bus) และยังเป็นดีไซเนอร์ประจำให้แก่แบรนด์เสื้อผ้าดัง rebecca อีกด้วย
เพียงได้เริ่มสนทนากับแจนจี้ก็สัมผัสได้ถึงความสนใจในเรื่องของโหราศาสตร์อย่างจริงจัง เริ่มจากเรื่องชื่อของเธอ 'ปาลิดา' (แปลว่าผู้ที่ถูกคุ้มครองรักษา) ก็เป็นชื่อที่เธอเปลี่ยนตามความเชื่อในเรื่องของเลขศาสตร์ด้วยตนเองจากชื่อเดิมคือ 'ปนัดดา' ส่วนชื่อเล่นที่เธอใช้ชื่อ 'แจนจี้' ก็เป็นชื่อซึ่งเธอบอกว่าส่งผลดีต่อการทำงาน และความรัก นอกจากนั้นเรื่องการเลือกสีของเสื้อผ้า โหงวเฮ้งการแต่งหน้า ก็ล้วนเป็นสิ่งที่เธอให้ความสำคัญอย่างเห็นได้ชัด
ซึมซับเรื่องโหราศาสตร์ตั้งแต่เด็ก
แม้ว่าตอนเด็กเธอจะยอมรับว่าไม่ค่อยสนใจกับเรื่องเหล่านี้นัก ทั้งๆ ที่คุณพ่อพยายามอยากให้ลูกๆ ทุกคนได้ศึกษา แต่พอโตขึ้นมาเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ได้พบเจอความเปลี่ยนแปลงในชีวิต โดยเฉพาะเรื่องของคน เธอจึงเริ่มหันมาสนใจศึกษาเรื่องโหราศาสตร์อย่างจริงจัง และนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างดี
"ที่บ้านจะมีเปิดอบรมเรื่องโหราศาสตร์ ตอนเด็กคุณพ่อเคยส่งแจนจี้ไปเรียน ช่วง ม.ต้น คุณพ่อก็จะชวนว่าวันนี้วันหยุดนี่ มานั่งเรียนไหม นั่งแถวหน้า แล้วในคลาสมีแต่ผู้ใหญ่ ยอมรับเลยว่าคลาสแรกที่ไปเรียน...หลับค่ะ รู้สึกว่ามันยาก ยากจริงๆ มันไม่เข้าหัว เรื่องพื้นฐานโหราศาสตร์ เรื่องตัวเลขเบื้องต้น ท่านจะให้ลูกๆ ไปเรียนดูดวงทุกคน เราก็ไปนั่งเรียนนะ ตอนเด็กบอกตรงๆ ว่าไม่เข้าหัว แต่พอโตแล้วเราใส่ใจเอง
ช่วงเข้ามหาวิทยาลัยอยู่ดีๆ มันก็ซึมเข้ามา เริ่มจากเราสนใจเรื่องโหงวเฮ้งคน เพราะว่าเราเจอคนเยอะ เราคิดว่าทำไมเราไม่ค่อยถูกกับคนนี้ ทำไมเรามีปัญหากับคนนี้ แล้วมีช่วงที่เราอยู่หอ มันมีการจำกัดห้องนอน เราก็คิดว่ามีการดูฮวงจุ้ยกันหน่อยไหม เอาพระตั้งตรงไหน วางเตียงไปทิศไหน ก็เลยเริ่มสนใจเอาหนังสือมาเปิดอ่าน คุณพ่อจะซื้อหนังสือเยอะมาก บางเล่มก็เขียนเองบ้าง มีเป็นห้องหนังสือ เป็นหนังสือค่อนข้างหายากมีของหลายๆ ยุค
นอกจากอ่านหนังสือเองคุณพ่อก็มีส่วนช่วย ท่านโยนหนังสือให้เลย ท่านจะไม่ได้สอนแบบป้อนข้าว แต่ท่านจะแนะนำ หลักมันมีในหนังสือ เรื่องของลัคนาว่าคนเกิดวันนี้จะเป็นอย่างี้ เราลองเรียงแบบนี้นะลูก แล้วมันหาคำตอบได้จากตรงนี้ ตามทิศ ตามธาตุ มันฟังดูแล้วยาก แรกๆ จะงง แต่ฟัง2-3 รอบจะเข้าใจ"
แจนจี้ดูดวงได้ประมาณหนึ่ง แต่จะไม่ผูกดวง เพราะเธอมองว่าเป็นเรื่องที่ยาก และเครียดเกินไปสำหรับเธอตอนนี้ “ก็มีดูให้เพื่อนๆ บ้าง ดูว่าเกิดวันอะไร คือการผูกดวงมันเหนื่อยนะ มันต้องใช้พลังเยอะ ใช้สมอง การผูกดวงมันจะต้องเอาชื่อ-นามสกุลเขา ถอดชื่อเสร็จ ก็ต้องเอาดวงเขามาแยก แตกออกมา เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ถ้าดูผิดชีวิตเขาก็เปลี่ยน มันไม่ใช่ดวงเขา มันไม่ตรง เรารู้สึกว่ามันเหนื่อย และมันเยอะ แต่ถ้าเปิดหนังสือเราก็ดูได้ แต่คุณพ่อไม่ต้องเปิดหนังสือท่านจำได้หมด มันอยู่ในหัวท่านแล้ว
คุณพ่อเป็นคนที่เราปรึกษาท่านได้ทุกเรื่อง ไม่เฉพาะเรื่องดูดวง เรื่องความรู้ทุกเรื่องท่านได้ทุกศาสตร์ ไม่ได้มีความรู้เรื่องดูดวงอย่างเดียว วิทยาศาสตร์ สังคม แพทย์ได้หมด ท่านไปเรียนแพทย์แผนโบราณมาด้วย เรื่องกดจุด เรื่องอาหารการกิน เราถามท่านได้หมด "ป๊า...ทำไมช่วงนี้ปวดหลัง" "ช่วงนี้สิวขึ้นทำยังไงดี” ท่านก็แนะนำ สิวขึ้นหน้าผากแสดงว่าช่วงนี้กินสัตว์ปีกเยอะใช่ไหม การที่เราเป็นคนชอบค้นคว้า ชอบอ่านหนังสือ ก็มาจากคุณพ่อท่านเป็นหลักให้เรา ท่านจะบอกว่าหนังสือน่ะดีนะ อ่านไปเถอะ พยายามอ่านหนังสือให้ทุกประเภท ทุกอย่างมันลิงค์กันได้หมด หนังสือแฟชั่นก็ยังต้องอ่าน ฮาวทู นิตยสาร การ์ตูน นิยาย หนังสือมาเกตติ้ง พีอาร์"
ด้วยความที่เป็นลูกสาวของหมอดูชื่อดัง เวลาใครเห็นนามสกุล 'จงใจพระ' ก็มักจะทักว่าลูกสาวดูดวงได้เหมือนคุณพ่อหรือเปล่า ซึ่งแจนจี้บอกว่าลูกๆ (พี่น้อง 6 คน) ของคุณพ่อสามารถดูดวงได้ทุกคน เพราะคุณพ่อให้เรียนพื้นฐานโหราศาสตร์ตั้งแต่เด็ก เพียงแต่แจนจี้ได้นำความรู้เรื่องการดูดวงมาใช้ในอาชีพที่เธอทำอยู่ จึงทำให้มีคนเห็นมากกว่าคนอื่น และมองว่าเธอเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
"เคยมีคนทักเราว่านามสกุลจงใจพระ ลูกสาวเก่งกาจ ดูดวงได้ไหม เราก็รู้สึกว่าก่อนที่คนอื่นจะถามเราศึกษาเองอยู่ก่อนแล้ว เราศึกษาโดยเอาตัวเรามาทดลอง แต่ว่าพี่ๆ ทุกคนดูได้หมดนะ จะผูกดวงได้ทุกคน คุณพ่อบังคับให้เรียนทุกคน ท่านอยากให้เป็น บางช่วงที่มีคนมาดูดวงเยอะๆ อยากให้ลูกช่วยผูกดวงรอ แต่แจนจี้จะไม่ผูกดวง แต่มีความรู้เหมือนพี่ๆ คนอาจจะมองว่าแจนจี้ดูดวงได้ แจนจี้ว่าเป็นจังหวะมากกว่า จังหวะที่เราออกมาทำงานพิธีกรรูปแบบรายการเกี่ยวกับโหราศาสตร์เราเอาความรู้ที่เรามีมาเผยแพร่ มันก็เลยเหมือนเชื่อมไปหาคุณพ่อ"
จงใจดู (ดวง)
แจนจี้เริ่มเข้าทำงานในวงการบันเทิงจากการเป็น VJ Shaker Screen (Siam Square) ต่อมาเธอก็เข้ามาเป็นวีเจประจำช่อง true music และความที่ชอบนำความรู้เกี่ยวกับเรื่องการดูดวงมาพูดให้คนดูฟังตอนจัดรายการอยู่บ่อยๆ จึงทำให้โปรดิวเซอร์ทำรายการพิเศษเกี่ยวกับการดูดวงโดยเฉพาะเพิ่มขึ้นมาใช้ชื่อว่า 'รายการจงใจดู' ซึ่งตรงกับบุคลิกและความสามารถของเธอ
“"ตอนนี้แจนจี้เป็นวีเจ ช่อง true music 81และทำพิธีกรรายการจงใจดู ก่อนหน้านี้เราก็ทำรายการtrue music radio 93.5 ตอนหลังก็มีออนแอร์ทางทีวีด้วย ไลฟ์สดทางวิทยุด้วย ตอนเป็นวีเจเราก็มีพูดเรื่องโหราศาสตร์ คนเกิดวันไหน คู่กับวันอะไร ตอนเช้าเราก็เอาเรื่องดวงมาพูด บางทีช่วงกลางเดือนก็มีเรื่องเลขเด็ด เราก็ชอบเอาเรื่องดวงมาพูดแทรกตอนจัดรายการ จนพี่โปรดิวเซอร์เห็นว่าเราน่าจะมีรายการเกี่ยวกับดูดวง แต่เป็นรายการดูดวงแบบเข้าใจง่าย ก็เลยเป็นที่มาของรายการจงใจดู
โหราศาสตร์คำบางคำมันเข้าใจยาก คนก็จะฟังแล้วงง เนื่องจากว่ากลุ่มคนฟังเป็นวัยรุ่น เราก็เลยมีการปรับเปลี่ยนภาษา สิ่งที่เราอ่านให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย หรือบางคำก็ถามคุณพ่อว่าคำนี้มันคืออะไร คุณพ่อจะมาแนวภาษาโหาราศาสตร์มาก แต่เราเข้าใจนะ เพราะว่าเราซึมมาตั้งแต่เด็ก แต่คนกลุ่มใหญ่ หรือเด็กวัยรุ่นอาจจะไม่เข้าใจ ก็จะปรับภาษาใหม่
รูปแบบรายการจะเป็นเรื่องของ 12 ราศี เป็นปักษ์แรกกับปักษ์หลัง เราก็นำข้อมูลมาจากคุณพ่อ แล้วก็จะมีตอนพิเศษ จะเป็นเรื่องทุกเรื่องเลย ครอบคลุมทุกราศี ทุกเดือนเกิด คนดูจะได้รับความรู้เรื่องโหราศาสตร์ ช่วงไหนมีกระแสอะไร ปีใหม่ควรไปไหว้พระที่ไหน หรือมีของวัตถุมงคลอะไร ต้องรู้ไหม ถัดไปเดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนแห่งความรัก เราก็จะมีดูดวงคนที่เกิดวันนี้ควรคู่กับคนที่เกิดวันไหน คนในวงการบันเทิงปีหน้าคนไหนมาแรง คนเกิดวันไหนชีวิตจะเฮงเราจะมีบอกในรายการ
ตามหลักโหราศาสตร์เรื่องของวันดีจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกปี อย่างปี 2011 เนี่ย วันพฤหัสบดีไม่ดี มันเป็นอิทธิพลของดาวที่มันโคจร พอโลกหมุน ทิศดาวที่อยู่รอบตัวเราก็จะเปลี่ยน แต่มันจะมีวิธีแก้ อย่างวันไหนไม่ดี มันมีเคสอย่างนี้ค่ะ ลบกับลบเป็นบวก อะไรที่ไม่ดีกับไม่ดี มันจะกลายเป็นดี นี่เป็นเรื่องลึกลงไป ซึ่งก็ต้องเข้ามาถาม ยังไงมันมีทางของมัน ขึ้นอยู่กับว่าจะแก้ไหม หรือจะเป็นเหมือนเดิม หรือจะดันทุรัง”
"อย่างเรื่องของปีชง เขาห้ามพูดนะว่าชง ต้องบอกว่าปีนี้ฉันไม่ชง แต่เราก็ไปทำบุญปกตินะคะ เรารู้อยู่ในใจ แต่เราจะไม่พูดออกมา เพราะว่าเวลาเราพูดอะไรไปมันจะเป็นไปตามปาก เวลาเราพูดอะไรเราต้องเชื่อก่อน เหมือนสร้างเกราะให้ตัวเอง ส่วนใหญ่เจอใครแจนจี้ก็จะบอกแบบนี้นะคะ ห้ามพูด แล้วมันจะซอฟท์ลง มันต้องสร้างกำลังใจให้ตัวเองก่อน"
รู้เขารู้เราจากโหงวเฮ้ง
หนังสือดูดวงเล่มแรกที่สาวแจนจี้สนใจหยิบขึ้นมาอ่าน คือเรื่องของการดูโหงวเฮ้งบนใบหน้า ด้วยความที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องความสวยความงาม เรื่องการดูคนจากใบหน้า จนเป็นที่มาของการศึกษาศาสตร์โหราศาสตร์แขนงอื่นๆ ต่อมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ฮวงจุ้ย เรื่องวันเกิด เรื่องสีนำโชค เรื่องตัวเลข ฯลฯ
“เริ่มจากช่วงวัยรุ่น เป็นคนที่ต้องเจอคนเยอะ เจอคนนู้นคนนี้ก็มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก เรื่องเพื่อน ก็คิดว่าทำไมนะ เวลาเราอยากดูดวงเราเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานก่อนเลยว่าเราอยากดูเรื่องอะไร ก็จะไปหยิบหนังสือของคุณพ่อมาอ่าน
หนังสือเล่มแรกที่เปิดคือ โหงวเฮ้ง เรื่องความสวยความงาม ตอนนั้นเราอยากรู้ แล้วโหงวเฮ้งอีกอย่างก็คือเราอยากรู้จักคนโดยที่เราไม่ต้องถามอะไรเขาเยอะ เราเจอคนเรามองหน้าคน เราจะรู้เลยว่าคนนี้เราเข้าถึงแค่ไหน คนนี้เราต้องคุยแบบไหน โหงวเฮ้งแจนจี้คุณพ่อก็บอกว่าดีนะคะ เป็นคนมีแก้มเขาบอกว่ามีคนหนุน แก่ๆ จะสบาย ถ้าหน้าตอบเห็นกระดูก ไม่เต็ม เรียกไม่ดี แก่ๆ จะเหนื่อย ลำบาก การแต่งหน้าก็มีส่วนนะ อย่างวันไหนที่เราต้องเสี่ยงดวง จมูกจะต้องไบร์ทที่สุด ห้ามซีด ใช้การแต่งหน้าช่วย คิ้วอย่าให้รกนะ ทุกคนเลยนะคะ คิ้วรกไม่ดี ถ้าผู้ชายคิ้วชนกันมากๆ แล้วรกๆ พวกนี้เจ้าชู้ และเจ้าเล่ห์ด้วย ต้องหลีกหนี แต่ต้องดูวันเกิดเขาด้วยนะ
ถ้าเป็นเรื่องศัลยกรรมเพื่อเสริมเหวงเฮ้งก็มีส่วนช่วย จมูกหักนี่ไม่ดี จมูกเปรียบเสมือนขุนเขา แต่ห้ามจมูกโด่งเกิน ทำงานอะไรจะมีอุปสรรคตลอด เปรียบเทียบกับโครงหน้าหลักจมูกต้องสมดุลกับโครงหน้าหลักของเรา บางคนไปทำเยอะเกิน โหงวเฮ้งเปลี่ยนเลยนะ บางคนอยากปรับโหงวเฮ้งต้องดูด้วยว่าตอนนั้นงานเราโอเคอยู่หรือเปล่า บางคนปรับแล้วดีขึ้นก็มี บางคนปรับแล้วงานแย่ลงก็มี เรามองว่าเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลนะ
ตามโหงวเฮ้ง ถ้าอายุมากหน่อย จะต้องเปิดหน้าผาก เปิดรับทรัพย์ แต่ตอนนี้เราขอทำทรงนี้ก่อนแล้วกันนะ ผมม้าปาดอย่างนี้ อย่างคิ้วเราแม่ก็จะวาดคิ้วให้แต่เด็กใช้วิธีโบราณ ใช้กานพลู กลั้นหายใจ เขียนคิ้ว คิ้วเราก็เลยโค้งแบบนี้"
เธอยกตัวอย่างกรณีเพื่อนให้ฟัง “คือช่วงนั้นดูบ่อยๆ จนเพื่อนเอารูปคนที่ชอบมาให้เราดู แล้วถามเราว่าคนนี้ผ่านไหม เราก็ดูหน้า แล้วก็บอกเพื่อนว่าคนนี้จะเป็นอย่างนี้นะ จะนิสัยอย่างนี้ๆ แล้วก็ถามว่าเกิดวันอะไร แล้วเพื่อนเกิดวันอะไร แล้วเอามาแมตช์กัน ตอนนั้นก็ดูว่าเหมือนเป็นคู่เพื่อน ถ้าคบกันก็จะไม่เหมือนคนรัก เราก็บอกเพื่อนไป พอผ่านไป 3 เดือน เพื่อนมาบอกเราว่า “แก...มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย ชั้นเลิกกับมันแล้วล่ะ” คือเราดูแล้วเห็นเลย แต่เรื่องอย่างนี้ต้องใช้เวลา
ต่อมาเราก็เริ่มสนใจเรื่องของฮวงจุ้ย อยากเสริมเรื่องการงานความรัก มีอะไรช่วยแก้ ช่วยปัดเป่าบ้างเราก็เอามาใส่ที่บ้าน
ทำอย่างนี้มันจะจำง่าย เพราะเราเอาตัวเราเป็นเคสก่อน แล้วก็เริ่มมีเคสของเพื่อน ถ้าเรื่องไหนเราไม่เคยศึกษา เราก็จะไปอ่าน ว่ามันคืออะไร ถ้าเราอ่านทั้งเล่มทีเดียวมันจำยาก เพราะมันเยอะมาก หลักของโหราศาสตร์หนึ่งมันเอามาผนวกกันเยอะมาก"
อย่างที่สังเกตว่าเธอใช้ความรู้เรื่องของโหราศาสตร์มาใช้กับชีวิตเยอะมาก เรียกว่าใช้กับทุกเรื่อง และใช้ได้ทุกวัน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเป็นคนช่างสังเกต ช่างค้นคว้าหาข้อมูล ประกอบกับนำมาทดลองโดยใช้ตัวเองเป็นเครื่องพิสูจน์ ซึ่งทำให้เกิดเป็นความเชื่อ ความสนุก และอยากเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ได้รู้บ้าง
"แจนจี้ว่าเรื่องดวงมันใช้ในชีวิตประจำเยอะนะคะ สมมติไปทำงานอะไร เรื่องหมายเลข จะเอาหมายเลขอะไร เรารู้แล้วว่าหมายเลขนี้ดีกับเรา เราเลือกหมายเลขนี้ มันเป็นเรื่องการใช้ชีวิตเล็กๆ น่ะค่ะ เช่น การเลือกสีรถ การแต่งตัว เราใช้กับชีวิตจริง มันก็เลยสนุก ถ้าเป็นเรื่องผูกดวง จี้ว่ามันค่อนข้างเครียด แต่คิดว่าในอนาคตก็คงอยากจะศึกษา แต่ว่าตอนนี้เราอยากเอาพื้นฐานของโหราศาสตร์ตรงนี้มาใช้อิงกับชีวิตประจำวันของเราจริงๆ
ตื่นเช้ามาจะดูชาร์ต ทุกวันนี้เวลาแต่งตัวก็ต้องเลือกเสื้อตามสีนะ จะมีชาร์ตเลยว่าวันนี้ควรใส่สีอะไร วันไหนห้ามใส่สีไหน แล้วก็จะทำตามแบบนี้ วันนี้เราอยากมีอารมณ์ไหน วันนี้อยากได้โชคลาภ วันนี้อยากจะประสบความสำเร็จ เราก็จะเลือกสีตามนั้น วันนี้ใส่สีนี้ไม่ดีก็จะไม่ใส่ เราเคยลอง วันนี้ใส่สีนี้ดีแล้ว ไม่เปลี่ยนจะเป็นยังไง วันนั้นรู้สึกมันดูนิ่งๆ มันมีส่วนนะ บางคนบอกว่าวันนี้ไม่ดีเลย เราก็แอบคิดว่าใส่เสื้อสีผิดวันหรือเปล่า"
“สีประจำปีมะโรง 2555 สีเด่นประจำปีมะโรง ดำ ฟ้า สีที่ห้ามหมายถึงเวลาไปทำธุระหรือกิจการใดที่สำคัญควรเลี่ยงสีเหล่านี้เขียว ชมพู แดง” แจนจี้แนะนำ
เรื่องพื้นฐานของการดูวงในชีวิตประจำวันเล็กๆ น้อย เธอสามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่สำหรับบางเรื่องที่เป็นเรื่องการผูกดวง สาวแจนจี้ก็ยังต้องให้คุณพ่อเป็นผู้ช่วยดูให้อยู่
"บางเรื่องก็ต้องถามคุณพ่อ อย่างเราจะออกรถ ก็ต้องผูกดวงแล้ว วันไหนดี หรือเรื่องทำโลโก้ ก็ปรึกษาคุณพ่อ ท่านจะบอกว่าเรื่องของสินค้ากับโลโก้มันสำคัญ เช่น ถ้าเป็นเรื่องของสวยๆ งามๆ ต้องดูวันเกิดว่าใช้สีไหนดี หรือถ้าเป็นสินค้าอีกแบบหนึ่งเช่นน้ำดื่ม ก็ต้องทำโลโก้อีกแบบหนึ่ง มันมีเรื่องของโครงสร้างของมันอีกนะ สามเหลี่ยม วงรี สี่เหลี่ยม มันจะเสริมพลังกับสินค้านั้นๆ ด้วย นี่มันอีกศาสตร์หนึ่งนะ มันเยอะมาก"
มุมมองโหราศาสตร์ปี 2555
การที่มีหมอดูหลายๆ แขนงออกมาทำนายว่าปี 2555 จะเกิดเหตุการร์รุนแรงกว่าปี 2554 ที่ผ่านมา น้ำจะท่วมหนักกว่าเดิม จะเกิดเหตุการณ์อย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งก็ทำให้คนที่เสพข่าวอาจจะวิตกกังวล หรือเป็นกระต่ายตื่นตูมไปก่อนแล้ว 'การเสพข่าว' อย่างใช้สติ ก็เป็นเรื่องที่สาวแจนจี้อยากเตือนให้ระวัง
“ปี 2555 หลายๆ คนบอกว่าปีหน้าน้ำจะท่วมกว่านี้ แจนจี้มองว่าไม่ค่ะ ปี 2555 จะแล้ง แต่จะมีเรื่องอะไรหลายๆ อย่างที่คนกังวล เรื่องอาชีพการงาน ก็จะเปลี่ยนไปด้วย เนื่องจากการต้องฟื้นฟูหลังเหตุการณ์น้ำท่วม แต่ใครที่คิดจะเปลี่ยนงาน หรืออยากทำอะไรช่วงที่ 2555 ยังไม่ใช่ช่วงดีที่จะเปลี่ยน ถ้าจะเปลี่ยนจริงๆ ควรจะเป็นหลังสงกรานต์ เพราะว่าการเข้าสู่ปีมะโรงจริงๆ คือหลังสงกรานต์ เรานับแบบไทย วันที่1 มกราคม มันคือหลักสากล แต่มันยังไม่ใช่ปีมะโรงอย่างแท้จริง
ถ้าคนมองว่าปีโน้นปีนี้น่ากลัว มันก็คงฟังดูน่ากลัวทุกปี ถ้าคุณรู้สึกว่าปีนี้มันไม่ดีกับตัวเอง อย่างปีกระต่ายก็ว่ากระต่ายดุกระต่ายโหด แจนจี้มองว่าอย่าไปคิดว่าเขาโหดหรือเขาดุ เราต้องคิดว่าเขามาจริง เขาอาจจะมีเรื่องนั้นเรื่องนี้ อะไรที่ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลง โลกของเรา เศรษฐกิจ หรือการงาน สุดท้ายแล้ว โลกของดวงมันเป็นภาพรวม ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราเองด้วย ถ้าเราไปตื่นตระหนกตาม เราก็จะไม่มีสติที่จะทำอะไร เราต้องกลับมาดูตัวเองก่อนว่า เราพร้อมที่จะลุยไหม
การที่เรารู้เรื่องของโหราศาสตร์การดูดวงเนี่ย เป็นการรู้ก่อนเพื่อเตือนตัวเอง ไม่ใช่ว่าเรารู้แล้วเรากลายเป็นกระต่ายตื่นตูม หรือทำอะไรไม่ถูก แล้วจะใช้ชีวิตยังไง มันไม่ได้ เรารู้เพื่อเราใช้เป็นการหลีกเลี่ยง อ๋อ...มันจะไม่ดีนะ เราจะต้องเลี่ยง เลี่ยงยังไงให้มันรอด เรารู้เพื่อให้เราอยู่รอดได้ ไม่ใช่รู้แล้วเราอยู่ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปรู้อะไรเลยดีกว่า"
รู้เพื่อหลีกเลี่ยง
ในยุคที่หมอดูแท้ หมอดูเทียม หมอดูแปลกๆ เกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย สาวแจนจี้ก็เตือนว่า "เรื่องโหราศาสตร์เป็นความเชื่อเฉพาะบุคคล ถ้าเราเลือกที่จะเชื่อ อย่าให้มาเป็นอิทธิพลกับเราทั้งหมดของการใช้ชีวิต เป็นแค่ไกด์ส่วนหนึ่งได้ เพราะแจนจี้ทำอย่างนั้นอยู่ ที่เหลือเราทำของเราเอง บางคนอาจจะเชื่อมากจนหลง เพราะมันมีหลอกด้วยไงคะ มันไม่ได้มีแต่ของจริง ถ้าเจอของจริงก็ดีไป แต่ถ้าเจอพวกหลอกลวงต้มตุ๋น แล้วเราไปหลงงมงาย พลาดมามันแก้ยากแล้ว เพราะฉะนั้นต้องมีสติ ไม่ใช่แค่เรื่องโหราศาสตร์อย่างเดียว ไม่ใช่แค่เรื่องดวง คุณเชื่อเรื่องคำพูดของคน ก็ต้องมีสติ กลับมาคิด ประมวลเองด้วยว่า เรารู้มาแบบนี้ ถ้าเป็นเรา เราจะแก้ไข ปรับยังไงให้มันเหมาะกับเรามากที่สุด เพราะว่าการดูดวงบางอย่างมันเป็นภาพองค์รวม มันอาจจะเหมาะกับคนหนึ่งมาก ๆแต่มันอาจจะไม่เหมาะกับเราซะเลย แนะนำให้ดูเอามาเป็นไกด์พอ อย่าไปงมงายซะเยอะ เป็นสิ่งที่เรารู้เพื่อหลีกเลี่ยง ไม่ใช่รู้เพื่อไปทำตามอะไรมากมาย
ถ้าถามแจนจี้ แจนจี้เชื่อนะ แต่ว่ามันมีอยู่สองอย่าง หนึ่งมันเป็นไกด์ให้เรา ตีซะ 50 % อีก 50% คือตัวเรากับรอบข้างสภาพแวดล้อม ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด ยังไม่รวมฮวงจุ้ย ที่อยู่ โหงวเฮ้ง นี่รวมหมดเลย ความประพฤติเราด้วย แจนจี้มองว่าโหราศาสตร์มันเป็นไกด์ว่าเราควรจะใช้เป็นตัวช่วยในการเลี่ยงสิ่งที่ไม่ดี ถึงแม้มันจะมีสิ่งที่ไม่ดีรออยู่ แต่มันช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา มันช่วยลด แล้วเราก็พยายามหาทางแก้ คือรู้เพื่อหลีกเลี่ยง แล้วเราก็ดำเนินชีวิตได้อย่างสบายใจ
แต่ไม่ใช่ว่าการตัดสินใจของเราจะต้องเกี่ยวร่วมกับโหราศาสตร์ทั้งหมด ไม่ใช่ สุดท้ายเราก็ต้องกลับมาที่ตัวเองด้วยเหมือนกันว่าโอเคไหม แต่ถ้าไม่มีเลยเราจะมีความรู้สึกว่ามันไม่สมบูรณ์ เหมือนมันขาดอะไรบางอย่างไป แต่ถาเราไม่เคยรู้เรื่องของโหราศาสตร์เลย ไม่รู้ว่ามันมีอยู่บนโลกใบนี้ เราก็ยังรูสึกว่าเหมือนขาดอะไรบางอย่าง แต่จริงๆ มันอยู่กับเรามาตั้งแต่เด็กๆ นะ เรื่องของการตั้งชื่อ ก็ยังไปหาพระให้ตั้งชื่อให้ มันอยู่กับเรามานานนะ ไม่ได้อยู่กับคนแค่ยุคนี้ มันอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ตำราพิชัยสงครามของจีน มีฤกษ์รบ มีซินแส มีคนทรง มีคนตาทิพย์เห็น เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องลี้ลับ เพียงแต่ใครจะสัมผัสได้มากกว่ากัน คนโบราณก็มีวิธีในการดำเนินชีวิต หลายๆ อย่าง มีการพัฒนา และปรับเปลี่ยนให้เราใช้โหราศาสตร์ในปัจจุบัน"
แฟชั่นนิสต้า
ดูจากลักษณะการแต่งตัวที่มีสไตล์เป็นตัวของตัวเอง มีการใช้ดีเทล และมีลูกเล่นตรงเครื่องประดับก็บ่งบอกได้ระดับหนึ่งว่าเธอเป็นผู้หญิงที่รักสวยรักงาน และชื่นชอบเรื่องแฟชั่น ซึ่งเธอบอกว่าเรื่องแฟชั่น และการออกแบบเป็นสิ่งที่แสดงความเป็นตัวตนของเธอได้อย่างชัดเจน
“ตอนเด็กๆ เราเป็นคนชอบแต่งตัวมาก แม่จะบอกว่าเราเป็นคนเยอะๆ คือเป็นคนชอบใส่นู่นใส่นี่ ชอบเอาผ้ามาโพกหัว พอโตขึ้นมาก็รู้ตัวว่าเป็นคนชอบแต่งตัว ชอบวาด แต่เราก็ไม่ได้เรียนไปทางนั้นโดยตรง เพราะว่าคุณพ่ออยากให้เรียนภาษาอังกฤษ ท่านบอกว่าภาษามีความสำคัญ เป็นสิ่งที่ต้องใช้ตลอด
ตอนนั้นก็ยังงๆ อยู่ ว่าเราอยากเรียนอะไร เราเคยเรียนบัลเล่ต์ เรียนเต้นแจ๊สมาด้วย ตอนแรกก็สับสนระหว่างคณะศิลปกรรม กับคณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ สุดท้ายก็ไม่ได้ไปสอบเต้น คือเรารู้สึกว่าไม่ต้องใช้ปริญญาตรีก็ได้ ทุกวันนี้ก็ยังเต้นได้อยู่ ก็เลยเลือกเรียนคณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษที่ม.เอแบค ดีกว่า แล้วเราอยากจะเรียนอะไร ก็เรียนเสริมเอาได้ เราอยากมีความรู้หลายๆ สาขาในหัว เหมือนมีระบบการจัดการกับตัวเอง ไม่อยากให้ตัวเองพุ่งไปอย่างเดียว เพราะเราคิดว่าจริงๆ แล้ว การได้ใช้ความรู้หลายๆ อย่างมารวมกันมันน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า”
ความสามารถทางด้านแฟชั่นดีไซน์โดดเด่น จนมีคนชักนำให้เข้าสู่วงการแฟชั่น โดยเริ่มจากการเป็นดีไซเนอร์ประจำให้แก่แบรนด์ดัง rebecca ถึงแม้ในวงการนักออกแบบสาวคนนี้จะยังเป็นหน้าใหม่ แต่เรื่องความสามารถ บวกกับความตั้งใจรับรองว่าเธอไม่เป็นรองใคร
"ก่อนหน้านี้เราเป็นคนชอบออกแบบ ชอบทำชุดอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้หลัก พอเรียนจบ ป.ตรี ก็เลยไปเรียนเพิ่ม ทางด้านดีไซน์โดยตรง เรียนแฟชั่นดีไซน์ต่อที่สถาบันออกแบบนานาชาติชนาพัฒน์ (CIDI) พอเรียนจบมาเพื่อนเห็นเราชอบทำชุดก็เลยแนะนำให้ไปทำงานกับแบรนด์ rebecca ก็เลยได้เข้ามาทำงานเป็นดีไซเนอร์เลย เป็นเฮดโปรเจ็กต์ ทำงานคนเดียว แบรนด์เสื้อผ้าเพิ่งทำมาได้ 9 เดือน ทำมา 2 คอลเลกชันแล้ว แบรนด์นี้อยู่มา 7 ปีแล้ว เขาอยู่มานานแล้วค่ะ แล้วจังหวะคือเขาเปลี่ยนดีไซเนอร์ใหม่ ก็เข้าไปแทน จริงๆ แบรนด์นี้ไม่ใช่สไตล์แจนนี้ซะทีเดียว เป็นแนวผู้ใหญ่ เรียบหรู ทำงาน เป็นเฟมินีน
อนาคตก็อยากทำแบรนด์ของตัวเอง อยากจะโกอินเตอร์ค่ะ เราก็มีปรึกษาคุยๆ กับอาจารย์ เรามีอะไรของเราที่อยากจะทำ คงเป็นสไตล์ตัวเอง เป็นผู้หญิงที่มีดีเทล สไตล์ชิคๆ ฟังก์ๆ หน่อย ผสมป๊อบเล็กๆ แต่ว่าคลาสซี่ก็มี เป็นผู้หญิงที่รวมหลายๆ อย่างอยู่ในตัวเอง แจนจี้จะเป็นสไตล์ฟังก์ก็ฟังก์ แต่จะมีมุมคลาสสิก สไตล์โรแมนติกก็มี เรื่องโกอินเตอร์เรามั่นใจว่าเราต้องทำได้ เราต้องเชื่อมั่น เราต้องเชื่อในตัวเองก่อน ถ้าเราเชื่อว่าเราทำไม่ได้ เราก็จะทำไม่ได้ เราต้องเชื่อไปก่อนว่าทำได้ คนอื่นจะมองว่ายังไงอย่าเพิ่งไปสนใจ ไม่เป็นไร ลุยไปก่อน ถึงเวลามันก็มีทางของมันเอง
งานที่เราทำส่วนใหญ่เป็นงานที่เราอยู่กับมันแล้วไม่เบื่อ อย่างงานพิธีกรก็ไม่เหมือนมาทำงาน มันเหมือนเรามาสนุก มาพูดมาคุย อย่างงานออกแบบก็เป็นสิ่งที่เราชอบอยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกว่าทุกวันไม่ได้เครียดมากนัก โอกาสเป็นเรื่องสำคัญเราได้งานมักจะเป็นเพราะโอกาสเสมอ จากเพื่อนแนะนำ จากผู้ใหญ่ให้ทำงาน เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้รับโอกาส เราก็จะทำตรงนั้นให้ดีที่สุด อย่าคิดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะดีกว่าไม่ได้ทำตอนนี้ อะไรก็ตามที่อยู่ในมือเรา ทำให้ดีที่สุดก่อน" สาวหน้าหวานกล่าวยิ้มๆ
ดูโหงวเฮ้งก่อนเลิฟ
สำหรับหนุ่มๆ ที่เห็นหน้าตาน่ารัก คิดอยากจะเข้ามาจีบ ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ก็คงรู้ตัวก่อนเลยว่าถ้าโหงวเฮ้งไม่ผ่าน จีบสาวคนนี้ไม่ติดแน่นอน เพราะเธอใช้โหงวเฮ้งเป็นเกณฑ์ตัดสินหนุ่มๆ ที่จะเข้ามาเป็นด่านแรกเลยทีเดียว
"ความรักของแจนจี้ มองว่าต้องเป็นอะไรที่เข้าใจ ต้องเข้าใจความเป็นตัวตนของคนที่เราคบด้วย เราต้องเข้าใจธรรมชาติของอีกฝ่ายจะไม่มีการทะเลาะกันเลยนะ จริงๆ เรื่องสเป็กไม่ใช่ทั้งหมดหรอกค่ะ แต่แจนจี้ก็มีเรื่องโหงวเฮ้งเข้ามาดูด้วยนะ ถ้าโหงวเฮ้งไม่ผ่าน จีบไม่ติดจ้า แต่ไม่บอกเขานะ ถามวันเกิดด้วยว่าเกิดวันอะไร แต่เราไม่ได้ถามแต่แรก จะเนียนๆ ถาม ต้องรู้ก่อน รู้คร่าวๆ เกิดวันนี้แสดงว่าคบๆ กันได้ อย่างนี้โอเค ที่เหลือก็เป็นนิสัยคนแล้ว วันเกิดเป็นแค่ไกด์เรา แต่ก่อนเราไม่ดูไง (หัวเราะ) ก็เศร้า พอดูแล้วเหมือนเราถือไพ่เหนือกว่านิดหนึ่ง (หัวเราะ)
เรื่องกรรมกับชีวิตคู่ก็สำคัญนะ ถ้าเราหมดกรรมซึ่งกันและกันแล้ว เลิกแล้วต่อกัน ก็ต้องมีอโหสิกรรมด้วยนะ ถ้าคุณทำไม่ดีกับเรา เราก็อโหสิกรรมให้แล้วกัน ถ้ายิ่งเคียดแค้น มันจะยิ่งไม่จบ
สมมติว่าเราคบคนนี้แล้วเขาไม่ดีกับเราเลย เลิกกันไม่ดี เราต้องมองว่าเราโชคดีที่เราหลุดจากเขาได้ เราหมดกรรมกับเขาแล้ว ถามตัวเองว่าถ้าคบต่อจะมีความสุขไหม สิ่งที่ควรทำคืออโหสิกรรม ถ้าเราอโหสิกรรมและไม่เคียดแค้นเขานะ บอกได้เลยว่าเราจะเจอคนใหม่ ที่ดีกว่าคนเก่าตลอด ต้องอโหสิกรรมจริงๆ นะ อย่าคิดว่าต่อไปนี้ชั้นจะทำอย่างนี้บ้างชีวิตรักก็จะไม่เจอดี ก็จะวน เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย วนอยู่อย่างนี้ เพราะเราสร้างกรรมใหม่ไง อย่าสร้างกรรมใหม่ อโหสิกรรม แล้วคุณจะเจอคนที่ดีกว่า ถือว่าหมดกรรมแล้วไม่ต้องเฮิร์ทกับมัน เราโชคดีแล้วให้คิดอย่างนี้"
พ่อเป็นหมอดู... ลูกก็เป็นหมอดู
“เก่งกาจ จงใจพระ” เป็นที่รู้จักของสังคมในฐานะ หมอดูชื่อดัง แต่วันนี้หมอเก่งกาจมาในฐานะพ่อ ที่มีลูกสาวคู่เหมือน “แจนจี้” ซึ่งถอดแบบจากพ่อมาเป๊ะ! ทั้งนิสัย บุคลิก และความสามารถที่ไม่แพ้ต้นแบบเลยก็ว่าได้
หลายคนอาจสงสัยว่าต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ไม่เห็นหน้า อ.เก่งกาจ ออกสื่อ ทั้งที่หมอดูเมืองไทยทั้งประเทศออกมาชักภาพตามสื่อต่างๆ ไม่เว้นวัน เพราะใกล้ช่วงเปลี่ยนผ่านขึ้นปีใหม่ซึ่งกำลังจะมาถึง แต่หมอดูท่านนี้ขอใช้ช่วงเวลา 2 อาทิตย์แรกของเดือนเข้าวัด ห่มผ้าเหลือง บวชถวายเป็นพระราชกุศลในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา
แน่นอนว่าลักษณะอย่างหนึ่งที่แจนจี้เหมือนพ่อ คงต้องเป็นความสามารถเรื่องการดูหมอ ซึ่งมีพ่อคอยสอนและชี้แนะมาตลอด จนตอนนี้เธอเก่งกล้าสามารถ และสนใจศึกษาด้านโหราศาสตร์ด้วยตัวเอง
“ลูกคนนี้เหมือนผมมาก โดยเฉพาะอันดับแรก กรุ๊ปเลือด AB เป็นกรุ๊ปที่เอาเปรียบคนอื่น รับของคนอื่นได้ แต่ให้คนอื่นไม่ได้ และเรามีนิสัยคล้ายๆ กัน ชอบการแสดงออก การแต่งตัว มันเหมือนเราตอนเด็กๆ จึงสนับสนุนเขา อยากเรียนเต้นก็ให้ไปเรียนเต้น เพราะสมัยก่อนเราไม่ได้เรียนพื้นฐานด้านตรงนี้ พอมาเข้าวงการเลยไม่พร้อม ตอนนี้พอเขาออกปุ๊บ...จึงพร้อม พริ้วเลย บางคนลูกชอบแบบนี้ พ่อแม่ให้ไปเรียนอีกอย่างหนึ่ง ลูกก็เรียนไป แต่สรุปแล้วไม่ได้ใช้ ฉะนั้นเราต้องเรียนให้ถูก”
“เราไม่เคยห่วงเขาเลย เขาเอาตัวเองรอด อีกอย่างเขาเป็นคนแก้เหตุการณ์เฉพาะหน้าเก่งเหมือนผม ยิ่งเรื่องพูดไม่ต้องกลัวพูดเก่งเหมือนกัน ผมดูดวงให้ลูกตั้งแต่เด็ก แต่ก่อนเขาไม่สนใจเรื่องการดูดวง แต่เดี๋ยวนี้งานทำให้ต้องดูเป็น เราจึงให้ตำราไปอ่าน ตอนนี้ก็เก่งแล้ว เขาไปได้เร็ว”
ไหนๆ ได้มานั่งคุยกับหมอดูชื่อดัง เจ้าของฉายา “โหรการเมือง” แล้ว จึงขอถามดวงชะตาบ้านเมืองสักเล็กน้อยว่าจะมีเรื่องเด่น เรื่องดังอะไรเกิดขึ้นบ้าง เพื่อให้ได้รู้หลบรู้หลีกและระมัดระวังตัวได้ทันการณ์
“ปีหน้ามีภัยแล้งตั้งแต่ต้นปีเลย เริ่มเดือนมกราคมถึงสิงหาคม มีระยะเวลาถึง 8 เดือน และมีฝนเพียง 3 เดือน ที่มีข่าวบอกว่าน้ำจะท่วมน่ะโกหก ก็เขาคาดการณ์ไง พยากรณ์อากาศมันไม่แม่น แต่โหราศาสตร์นี้แน่นอนกว่า เพราะดูจากสถิติ และวิถีโคจรของโลก ระบบสุริยะจักรวาล โลกของเราอยู่หนึ่งในนั้น อย่างเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เกิดจันทรคราส จึงทำให้อากาศหนาว”
อ.เก่งกาจได้อธิบายการเกิดน้ำท่วมประเทศครั้งใหญ่ที่ผ่านมาด้วยโหราศาสตร์ว่า “คราส คือเงามืด ปีนี้เรามีจันทรคราส สุริยคราส รวม 6 หน มันมากไง และไปคราสช่วงหน้าฝนด้วย จึงมีลมหอบเอาฝนมา ถ้าคราสช่วงฤดูฝน ฝนก็เยอะ ถ้าคราสช่วงฤดูหนาว ลมก็เยอะ ถ้าคราสหน้าร้อนก็พายุเยอะ เพราะใกล้ดวงอาทิตย์ คนโบราณเขาสอนมาอย่างนี้ โดยการจดฤดูกาลว่าช่วงไหนเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ส่วนเรื่องการเมือง อ.เก่งกาจ ทำนายพอเป็นน้ำจิ้มว่า ยังคงเป็นปัญหาและทะเลาะกันอยู่เช่นนี้...แล
“ดวงชะตาฟ้าลิขิต ชะตาชีวิตเราลิขิตเอง” หมอดูชื่อดังพูดทิ้งท้ายเพื่อเป็นคติสอนใจ การเรียนรู้โหราศาสตร์เพื่อไม่ประมาท และใช้ชีวิตด้วยความรอบคอบอย่างมีสติ
ชื่อ-สกุล : ปาลิดา จงใจพระ
ชื่อเล่น : แจนจี้
วัน/เดือน/ปีเกิด : 8 มกราคม 2523
ประวัติการศีกษา: ปริญญาตรี (มหาวิทยาลัยอัญสัมชัญ คณะศิลปศาสตร์ เอกอังกฤษ, โทโฆษณา), Diploma: สาขา Fashion Designer จาก สถาบัน CIDI
ประวัติการทำงาน : พิธีกร รายการ จงใจดู (True Music : True Visions81), รายการ Shopping Gang (Guru Tv : True Visions67), พิธีกร รายการ DIY (On Route TV:Metro Bus), พิธีกร รายการ Club Centerpoint (Mango Tv), พิธีกร รายการ IT Intrend (DailyTV)
Facebook fanpage: จงใจดู Jongjaido
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน