แม้ว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ของเมืองไทยจะผ่านพ้นไปแล้วแต่ความเสียหายเหล่านั้นก็ส่งผลให้คนที่มีความคิดหรือกำลังจะตัดสินใจซื้อบ้าน ต้องถอยกลับมาทบทวนปัจจัยเรื่องน้ำท่วมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง เพราะคงไม่มีใครอยากจะเสียเงินเป็นแสนเป็นล้านเพื่อแลกกับบ้านที่ต้องเสี่ยงกับน้ำท่วมทุกปี
และด้วยปัจจัยที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ทำให้ยอดขายบ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม (หรือเคยท่วมไปแล้ว) ตกวูบลงทันที โดยไม่เฉพาะโครงการใหม่ๆ หรูๆ เท่านั้นที่ขายไม่ได้ บ้านราคาถูกอย่างบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติก็กำลังเจอกับมรสุม ส่วนบ้านมือสองที่เคยเป็นตลาดที่คึกคักที่สุดนั้น นายแพทย์สมศักดิ์ มุนีพีระกุล นายกสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า ยอดขายนั้นหดตัวลงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาส เพราะในขณะที่คนซื้อบ้านกำลังกังวลเรื่องทำเล ก็มีทั้งภาครัฐและเอกชนออกมานำเสนอแบบบ้านสำหรับต่อกรกับน้ำท่วมโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นบ้านลอยน้ำได้ หรือบ้านใต้ถุนสูงที่ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบบ้านที่ได้รับแนวคิดมาจากวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของคนไทย ที่สามารถอยู่กับน้ำท่วมได้แบบไม่เดือดร้อน
‘บ้านสู้น้ำท่วม’ บ้านในอุดมคติ
ก่อนอื่น หลายคนคงจะสงสัยว่า แนวคิด ‘บ้านสู้น้ำท่วม’ นั้นมันเป็นอย่างไร มันจะแตกต่างจากบ้านธรรมดาอย่างไรบ้าง
โดยหน่วยงานแรกๆ ของภาครัฐที่ออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ก็คือ กรมโยธาธิการและฝังเมือง กระทรวงมหาดไทย โดยได้ทำการแจกแบบบ้านลอยน้ำให้แก่บุคคลทั่วไป ซึ่งนอกจากจะลอยน้ำได้แล้ว มันยังมีระบบสุขาภิบาลโดยใช้จุลินทรีย์ EM ติดตั้งอยู่ใต้ห้องน้ำเพื่อย่อยสลายและเร่งการตกตะกอนของสิ่งปฏิกูล สำหรับราคาค่าก่อสร้างประมาณการได้ว่า กรณีดำเนินการก่อสร้างเองจะมีราคาประมาณหลังละ 719,000 บาท หากจ้างเหมาราคาประมาณหลังละ 915,000 บาท
นอกจากนั้นก็ยังมีไอเดียประยุกต์บ้านของ ภานุเดช วัฒนสุชาติ พิธีกรและนักแสดงชื่อดัง ที่ได้แนวคิดนี้มาจากที่บ้านที่กำลังสร้างอยู่ของตัวเองถูกน้ำท่วม ซึ่งเป็นแบบบ้านที่ใต้ถุนโปร่ง - พื้นเปลือย - เพดานสูง คล้ายบ้านใต้ถุนโปร่งแบบบ้านไทยสมัยโบราณ แต่มีการเพิ่มดีไซน์เข้ามา มีการปรับระดับปลั๊กให้สูงขึ้น หรืออาจติดตั้งไว้ในระดับเพดาน แล้วใช้สายพ่วงเพื่อเวลาน้ำมาจะสามารถถอดสายพ่วงได้ ในส่วนของระบบน้ำนั้นก็ออกแบบให้แยกออกจากตัวบ้านมีช่องเพื่อระบายน้ำออกเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำผุดท่วมจากท่อเข้าบ้าน ทั้งยังมีอุปกรณ์เสริมเพื่อจอดรถสูงขึ้นที่เป็นโครงเหล็กอีกด้วย
ซึ่งแบบบ้านของภานุเดชนั้น มีความคล้ายคลึงกับแบบบ้านที่แจกโดยกลุ่ม creative living แต่บ้านของกลุ่ม creative living นั้นจะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่นำมาประยุกต์ใช้มากขึ้น เช่น ระบบพลังงานแสงอาทิตย์, ระบบบำบัดน้ำเสีย, ระบบกรองน้ำแบบใหม่ และระบบการเก็บข้าวสารอาหารแห้ง
ทั้งนี้ผศ.ดร.ภัทรพล เวทยสุภรณ์ คณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้ดำเนินรายการบ้านไม่บาน หนึ่งในกลุ่ม creative living ได้เอ่ยถึงวิถีทางของบ้านในอนาคตว่าจะต้องเป็นบ้านที่สามารถอยู่กับน้ำได้
“บ้านไทยสมัยนี้ ชานบ้านและชานเรือนหายไป สมัยก่อนมีชานบ้านไว้ตากปลาแห้ง ทำน้ำปลา เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก คนไทยสมัยก่อนมีความสุขมาก แต่เรามองข้ามสิ่งเหล่านี้ อย่างบ้านย่าผม ผสานระหว่างประโยชน์กับความสุข ฤดูน้ำมีความสุขมาก ฤดูแล้งก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับการขาดน้ำ”
เมื่ออุคมคติมาเจอกับความเป็นจริง
แม้ว่าเรื่องของแบบบ้านสู้น้ำท่วมจะฟังดูดี แต่ในความเป็นจริงแล้วมันจะเวิร์กหรือไม่ ประเด็นนี้ ธีรวัฒน์ พิพัฒน์ดิฐกุล อุปนายกฝ่ายกิจกรรมและประชาสัมพันธ์ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้กล่าวถึงโอกาสความเป็นไปได้ว่า อาจจะต้องศึกษาหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องกฎหมาย ความต้องการของตลาด รวมไปถึงงบประมาณที่ต้องใช้ในการลงทุน อย่างกรณีของบ้านที่ยกใต้ถุนสูงที่หลายคนก็คิดว่า เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศของไทย ก็ไม่แน่ใจว่าจะตอบโจทย์ในเชิงการค้าหรือไม่
"ต้องมองที่ตลาดเป็นหลักว่าตอบไหม หลายๆ โครงการก็เริ่มทำแล้ว อย่างที่เขาใหญ่ เขาก็ยกใต้ถุนสูงกันประมาณ 2-2.5 เมตร แต่ถ้าในเมือง ผมยังไม่แน่ใจว่าจะรับได้ไหม เพราะท้ายที่สุด หากอุทกภัยมันมา 1 ครั้งใน 50 ปี และสุดท้ายไม่มีน้ำมา คนที่ซื้อบ้านใต้ถุนสูงก็คงกั้นผนังเพิ่มอยู่ดี ซึ่งแบบนี้มันก็ไม่ตอบโจทย์"
ส่วนบ้านแบบอื่นๆ เช่น บ้านลอยน้ำ บ้านเหนือน้ำ บ้านไม่มีเสา ฯลฯ นั้น ก็มีอีก 2 ประเด็นให้คิดหนักเช่นกัน เรื่องแรกก็คือ เรื่องกฎหมาย ว่าบ้านแบบนี้สามารถทำได้ไหม เพราะการจัดสรรที่ดินก็ต้องมีการกำหนดหลักเขตให้ชัดเจนก่อนถึงจะออกโฉนดได้ แต่ถ้าเกิดบ้านนั้นอยู่ในน้ำหรือไม่มีรากฐานที่มั่นคง คำถามก็คือบ้านแบบนี้สามารถมาจัดสรรได้ไหม ขณะเดียวกันเมื่อมาพิจารณาในเชิงการตลาด บ้านแบบนี้คงไม่ตอบโจทย์สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจแบบปัจจุบัน เพราะต้นทุนคงจะสูงมาก เนื่องจากต้องออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถลอยน้ำได้
"เดิมงานโครงสร้างหลักของบ้าน พอเราตอกเข็มเสร็จปั๊บ เราก็ทำงานโครงสร้างที่เป็นชั้น 1 ชั้น 2 ต่อไปเลย แต่ถ้าบ้านแบบนี้ถ้ามันมีเสา แล้วเราก็ใส่โป๊ะลงไปด้วย เพื่อจะไปรับน้ำหนักบ้านไม่รู้กี่ 10 ตัน เราก็ต้องแบกทุนทุ่นลอยน้ำที่ไม่รู้จะใช้เมื่อไหร่ ทำเป็นบ้านยกใต้ถุนสูงประหยัดกว่าเยอะ แล้วนอกจากนี้ยังมีระบบอีก ทั้งท่อน้ำดี ท่อน้ำทิ้ง สายต่างๆ มันต้องทำใหม่หมดเลย ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ"
ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน
แต่สุดท้ายแล้ว คนที่จะเป็นผู้ตัดสินว่า บ้านสู้น้ำท่วมจะไปได้ในโลกของการแข่งขันและกลายเป็นเทรนด์ในการซื้อบ้านในอนาคตหรือไม่? ก็คือบรรดาเหล่าผู้บริโภคนั่นเอง ซึ่งมันก็มีความเป็นไปได้สูงเพราะใครๆ ก็ขยาดน้ำท่วมกันทั้งนั้น
"ก็ตอนแรกตั้งใจจะซื้อบ้านเดี่ยวสักหลังแถบชานเมือง แต่พอเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา หมู่บ้านที่เล็งๆ ไว้ก็ท่วมเสียมิด ก็เลยมาคิดใหม่ ก็มองๆ ดูคอนโดฯ ในเมืองอยู่นะ แต่คือต้องยอมรับว่าราคาแพง รถติด แต่ก็คุ้มถ้าปีหน้าน้ำจะท่วมหนักอีก"
แม้บ้านสู้น้ำท่วมจะไม่ใช่ตัวเลือกของ รจิพัชร แก้วแกมเสือ ชาวบ้านย่านบางบัวทอง ที่กำลังจะตัดสินใจซื้อบ้านอีกหลัง แต่การซื้อคอนโดฯ ก็แสดงให้เห็นว่าเธอขยาดน้ำท่วมเพียงใด
ส่วน ธัชกร กิจไชยภณ ที่เพิ่งวางเงินจองบ้านไปได้ไม่เท่าไหร่ น้ำก็เข้ามาท่วมบ้านในอนาคตของเขาเสียแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็คิดว่าบ้านสู้น้ำท่วมอาจจะไม่เหมาะกับวิถีชีวิตของเขา
“ถ้าถามว่าสนใจพวกบ้านสู้น้ำท่วมหรือบ้านลอยน้ำไหม ก็ไม่สนใจนะ เพราะว่าถ้าซื้อแบบนั้น ไปอยู่ต่างจังหวัดเลยดีกว่า”
ซึ่งจะว่าไปคนที่มีชะตากรรมแบบเดียวธัชกรก็มีอยู่ไม่น้อย รณิดา เชยชุ่ม ก็เป็นหนึ่งในนั้น และเธอก็ไม่ได้สนใจแนวคิดเรื่องบ้านสู้น้ำท่วมเช่นเดียวกับธัชกรด้วย
“บ้านพี่เพิ่งซื้อ แล้วก็ยังไม่ได้เข้าอยู่นะ เจ้าของหมู่บ้านเขาออกมาต่อสู้สุดความสามารถ ก็สู้ๆ อยู่ 2-3 วันมั้ง น้ำก็เข้ามา เราก็เศร้า แต่ถ้าจะให้ไปซื้อพวกบ้านลอยน้ำตอนนี้ก็ยังไม่สนใจนะ เพราะว่าพอดีแฟนพี่กับน้องชายพี่เป็นสถาปนิก ถ้าจะทำอะไรก็คงจะต้องปรึกษาเขา ความสนใจจะขึ้นอยู่กับบุคคลรอบข้างนิดนึง”
แต่กระนั้นคนที่ให้ความสนใจบ้านสู้น้ำท่วมก็ยังพอมีอยู่ ตัวอย่างเช่น เยาวดี สานพันธ์ แต่เธอก็บอกว่าก็ต้องมีเงื่อนไขว่าต้องไม่แพงจนเกินไป
“ก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน แต่ราคาก็ต้องไม่สูงมาก เช่น บ้านแถวบางบัวทองอาจจะมีราคาเริ่มที่หนึ่งล้านห้าแสนบาท ถ้าเพิ่มศักยภาพในการอยู่รวมกับน้ำได้เพิ่มขึ้น ก็น่าจะเพิ่มได้ไม่เกิน 5 แสนบาทโดยเฉลี่ย แต่หากราคาสูงมากหรือไกลเกินไปก็อาจเลือกที่จะซื้อคอนโดฯมากกว่า”
………..
แม้สุดท้าย การออกมาของแบบบ้านสู้น้ำท่วมจะออกไปในทางอุดมคติที่ยังไม่ใคร่มีผู้บริโภคคนใดสนใจนัก แต่อย่างน้อยมันก็เป็นความพยายามอย่างเป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาการอยู่ร่วมระหว่างคนกับน้ำ ที่สามารถจับต้องได้ นอกจากนั้น เรื่องที่เราพูดกันในวันนี้ มันก็สามารถแสดงให้เห็นถึงหนทางความเป็นไปที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย แนวคิดอาจจะได้ แต่จะไหวไหมในโลกของความเป็นความจริง
แน่นอน...เมื่อมีการเริ่มต้นเกิดขึ้น จุดหมายที่เคยอยู่ไกลแสนไกล ก็ได้เขยิบเข้ามาใกล้อีกนิดหนึ่งแล้ว
>>>>>>>>>>
………..
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร