xs
xsm
sm
md
lg

'โฆษกรัฐบาล' 'กระบอกเสียง' หรือ 'องครักษ์'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ต้องเรียกร้องว่าลือเร็วและลือแรงสุดๆ สำหรับกระแสข่าวการเปลี่ยนตัวโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจาก ฐิติมา ฉายแสง อดีต ส.ส.จังหวัดฉะเชิงเทรา มาเป็น จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ มารับตำแหน่งแทน

ซึ่งสาเหตุหลักๆ ก็มาจากบทบาทการทำหน้าที่ของตัวโฆษกรัฐบาลหญิง ที่อาจจะไม่สามารถตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามได้เท่าใดนัก บวกกับน้ำเสียงลีลาที่เรียกว่าอาจจะไม่ได้ใจประชาชนสักเท่าใด สะท้อนได้จากคำพูดของตัวเธอเองที่บอกกับผู้สื่อข่าวในการให้สัมภาษณ์กรณีดังกล่าวว่า

"ก็ดี เพราะมันกว่าพี่เยอะ"

แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งแล้ว หลายคนก็อาจจะรู้สึกสงสัยว่า ตกลงแล้วบทบาทของผู้ที่ดำรงตำแหน่ง 'โฆษกรัฐบาล' แท้จริงคือ การตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามแบบเผ็ดร้อนหรือเปล่า

เพราะถ้าย้อนกลับไปดูคนที่ทำหน้าที่นี้ ก็จะพบว่า โฆษกที่มีบทบาทในการตอบโต้โดยลีลาการพูดสูงๆ นั้น มีไม่กี่คน ด้วยเหตุนี้เอง เพื่อทำความเข้าใจกันแบบถ่องแท้ว่า สรุปแล้วมีไว้เพื่ออะไรกันแน่ และที่ผ่านมามีการใช้ประโยชน์นี้อย่างไรบ้าง ฉะนั้นจึงขอย้อนกลับไปดูที่มาที่ไป ตลอดจนบทบาทของโฆษกรัฐบาลกันแบบลึกซึ้งเลยดีกว่า

บทบาทของ 'โฆษกรัฐบาล'

แม้คนไทยจะรู้จักตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี 2501 ที่รัฐบาล พล.ท.ถนอม กิตติขจร (ตำแหน่งในขณะนั้น) ได้แต่งตั้งให้ พล.ท.อำนวย ไชยโรจน์ ดำรงตำแหน่งนี้เป็นคนแรก

แต่หากพิจารณาตามตัวบทกฎหมายแล้ว ก็จะพบว่าในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง นับตั้งแต่ปี 2518 เป็นต้นมานั้น ไม่เคยมีการระบุหน้าที่หรือบทบาทของตำแหน่งนี้เอาไว้เลย คือมีแต่บอกว่า ตำแหน่งนี้เป็นโครงสร้างหนึ่งของข้าราชการการเมืองเท่านั้นเอง

หรือถ้าจะเอาให้ชัดเจนหน่อยก็คงต้องเป็นประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งโฆษกฯ เมื่อปี 2537 ที่ระบุวัตถุประสงค์เอาไว้คร่าวๆ ว่า ปฏิบัติหน้าที่ด้านการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล ซึ่งก็ดูจะครอบจักรวาลเสียเหลือเกินด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้หลายคนอาจจะสับสนกับบทบาทของตำแหน่งนี้ว่า มีอะไรกันบ้าง

ฉะนั้นก่อนอื่นเลย มุมแรกที่ต้องทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อน ก็คือตำแหน่ง ‘โฆษกรัฐบาล’นั้นแตกต่างกับโฆษกประเภทอื่นๆ อย่างไร เรื่องนี้ รศ.อวยพร พานิช อาจารย์ประจำสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน ในฐานะของผู้เชี่ยวชาญด้านวาทวิทยา ก็สะท้อนให้เห็นว่า ความเป็นโฆษกรัฐบาลนั้นมีความยากกว่าการเป็นโฆษกทั่วๆ ไป เพราะจะอาศัยเพียงความฉะฉานและความสุภาพอ่อนน้อมอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องรู้จักความเหมาะสมและความเป็นทางการของตำแหน่งที่ได้รับด้วย

“การเป็นโฆษกรัฐบาลที่ดีนั้น จะต้องถ่ายทอดเนื้อหาที่รัฐบาลต้องการไปถึงกลุ่มประชาชนได้ ซึ่งแค่นี้ถือว่ายากแล้ว เพราะนอกจากจะต้องทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจได้ง่ายๆ แล้ว ยังต้องใช้ภาษาให้เหมาะสมด้วย เพราะต้องไม่ลืมว่า ตำแหน่งนี้มีความเป็นทางการของรัฐบาลครอบอยู่”

จากเหตุผลดังกล่าวนี้ จึงทำให้ ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล อาจารย์ประจำสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อธิบายต่อว่า อย่างน้อยๆ คนที่จะดำรงตำแหน่งนี้ได้ก็ต้องมีคุณสมบัติบางประการ โดยเฉพาะในเรื่องภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือและความสามารถ เพราะต้องไม่ลืมว่า คนผู้นี้จะต้องมารับหน้าที่ติดต่อสื่อสารเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันถูกต้องระหว่างรัฐบาลกับประชาชน

“ในวิธีปฏิบัติที่ผมเคยอ่านจากผู้รู้หลายๆ ท่าน เคยอธิบายคร่าวๆ ถึงหลักเกณฑ์การแต่งตั้งโฆษกรัฐบาลว่า อย่างแรกก็คือต้องมีความรอบรู้ในงานการเมือง และงานราชการ แล้วก็ต้องมีความสามารถในการประสานงานจากส่วนต่างๆ เพื่อนำมาเผยแพร่ให้ประชาชนทราบและเข้าใจ ที่สำคัญต้องมีภาพลักษณ์ที่ดี คือเป็นบุคคลที่ผู้คนยอมรับ ให้เกียรติยกย่อง เพราะตำแหน่งนี้ถือเป็นหน้าตาของประเทศ และทางที่ดีก็ควรจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เพื่อจะได้มีความสามารถในการรับแขกบ้านแขกเมือง และตอบคำถามผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างชาติได้ดี พูดง่ายๆ ก็คือมีความสามารถในแง่ของสื่อสารมวลชนนั่นเอง”

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่รัฐบาลก่อนๆ นั้นมักจะเลือกนักวิชาการหรือไม่ก็เป็นบุคคลที่เคยเป็นสื่อสารมวลชนมาก่อนเข้ามาทำหน้าที่ เช่นในรัฐบาลของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็เลือก ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี และ ดร.มีชัย วีระไวทยะ ซึ่งก่อนหน้านั้นก็เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเข้ามาทำหน้าที่ หรือแม้แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ อย่าง พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ก็เลือก ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ซึ่งเป็นนายธนาคารที่มีชื่อเสียงจากธนาคารกสิกรไทยเข้ามาหน้าที่ เช่นเดียวกับรัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน ที่มาจากการรัฐประหารก็ยังเลือก ลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ประกาศข่าวของช่อง 11 มาทำหน้าที่นี้

แต่เมื่อสภาพแวดล้อมทางการเมืองเปลี่ยนไป ตำแหน่งนี้กลายเป็นเครื่องมือในการตอบสนองผลประโยชน์ทางการเมืองไป โดยเฉพาะรัฐบาลหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 เป็นต้นมา ซึ่งมักจะเลือกแต่งตั้งบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับตัวนายกรัฐมนตรีเข้ามาทำหน้าที่เป็นหลักก่อน หรือคนที่มีศักยภาพในเชิงการต่อสู้ทางการเมืองด้วยคำพูด ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้นว่าเป็นเช่นใด จากนั้นก็ถึงค่อยพิจารณาถึงความเหมาะสมในแง่ของการประชาสัมพันธ์อีกที

เช่น ในช่วงสถานการณ์สงบ ก็มักแต่งตั้งคนใกล้ชิดเข้ารับตำแหน่ง เช่น รัฐบาลชวน หลีกภัย ก็แต่งตั้ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งถูกมองว่าเป็นลูกรัก และคนที่จะผลักดันต่อไปในอนาคต หรือรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา ก็แต่งตั้ง สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แต่ถ้ารัฐบาลกำลังเผชิญปัญหาอยู่นั้น ก็อาจจะเลือกคนที่เผชิญหน้าได้มากกว่า เช่น รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่กำลังมีปัญหาการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็เลือกแต่งตั้ง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ขึ้นเป็นโฆษกรัฐบาล แทนที่จะเป็นคนที่มีภาพลักษณ์ดีอย่าง ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม ซึ่งมีกระแสข่าวก่อนหน้านั้น เพื่อตอบโต้กลุ่มพันธมิตรฯ โดยตรง

ที่สำคัญ หากวิเคราะห์ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะพบวา การแต่งตั้งตำแหน่งนี้ นอกจากจะหวังผลทางการเมืองในอนาคตแล้ว ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงอำนาจและบทบาทของนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้เป็นอย่างดีอีกด้วยว่าเป็นเช่นใด เช่น นายกรัฐมนตรีบางคนก็ไม่มีอำนาจในการแต่งตั้ง อย่างกรณีของรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช ที่แต่งตั้ง พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ หรือแม้แต่ในรัฐบาลปัจจุบันก็ถือว่าอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ กัน

“ช่วงหลังๆ การแต่งตั้งโฆษกรัฐบาล ก็มักจะมาจากเหตุผลทางการเมือง เช่น บางคนก็อกหักจากตำแหน่งรัฐมนตรี บ้างก็เป็นการเลี้ยงดูตอบแทนกันจะได้ไม่ไปไหน หรือไม่ก็บางทีก็เอาคนมาปั้น เพื่อให้รับตำแหน่งในอนาคต เช่น จักรภพ เพ็ญแข ตอนแรกก็เป็นโฆษกฯ ต่อมาก็ไต่เต้าขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอีกไม่น้อยที่ก็เลือกคนเข้ามาเพื่อปะทะหรือตอบโต้ในทางการเมือง ซึ่งคนที่จะเข้ามาทำหน้าที่นี้ก็มักจะเป็นคนที่มีความเข้มแข็ง อดทน และเจ็บแทนนายได้ หรือไม่บางทีก็เป็นตัวแทนของกลุ่มทุน กลุ่มการเมืองด้วย เพราะสามารถโน้มน้าวสื่อสารกับประชาชนได้ เพราะฉะนั้นพรรคการเมืองบางพรรคก็จะเลือกส่งคนที่เป็นตัวแทนกลุ่มก๊วนต่างๆ ซึ่งหากเป็นกรณีหลัง เรื่องภาพลักษณ์ก็คงไม่ถือว่าจำเป็น” ผศ.ทวีกล่าว

ย้อนกลับมาดู 'โฆษกหญิง'

พอเห็นคุณสมบัติและที่ไปที่มาคร่าวๆ ของคนที่จะเข้ามาตำแหน่งโฆษกรัฐบาลกันไปแล้ว คราวนี้ก็ลองกลับมาดูถึงการทำหน้าที่ของโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันกันบ้างว่า มีความเหมาะสมและตอบโจทย์ในเก้าอี้นี้มากน้อยอย่างไร

แน่นอน หากจำกันได้ การเข้ามาของ ฐิติมา ฉายแสง นั้น นอกจากจะเป็นเก้าอี้ปลอบใจหลังจากพลาดหวังจากการเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 แล้ว ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ไปทำงานเข้าคู่กับนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้หญิงด้วยกัน ซึ่งนัยหนึ่งก็เป็นการหวังผลในเรื่องภาพลักษณ์ที่จะแสดงไปสู่สายตาของประชาชน

ซึ่งในมุมของ ผศ.ทวี ก็มองว่ายังค่อนข้างตอบโจทย์ทางการเมืองอย่างสูงอีกต่างหาก เพราะประเด็นนี้อาจจะมองได้ว่า เธอคือเป็นตัวแทนของกลุ่มบ้านเลขที่ 111 ซึ่งถือเป็นขั้วอำนาจที่แท้จริงในพรรคเพื่อไทยปัจจุบัน เนื่องจากเป็นน้องสาวของ จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ขณะเดียวกัน ฐิติมายังสามารถทำหน้าที่ปะทะและชนกับฝ่ายตรงกันข้ามได้ดี เพราะเธอมีภาพของผู้หญิงแกร่ง และอดทนบึกบึนติดตัว

แต่ในทางที่เป็นปัญหาก็คือ บทบาทดังกล่าวกลับเข้ามาทำร้ายตัวของฐิติมาเอง เพราะสุดท้ายแล้วรัฐบาลอาจจะตกเป็นเป้าเสียเอง ดังเช่นความเห็นของ รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด ที่สะท้อนการทำงานของโฆษกรัฐบาลคนปัจจุบันออกมาตรงๆ ว่า ไม่มีความเหมาะสม แถมดูขัดหูขัดตาทั้งวาจาและกิริยาอย่างยิ่งยวด

“เท่าที่สังเกตการทำงานของโฆษกคนนี้มาพบว่า เธอตั้งหน้าตั้งตาจะทะเลาะและขัดแย้งกับอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) อย่างเดียว คือบางครั้งบางเรื่องที่ควรจะแถลงเพื่อที่จะให้ประชาชนได้รู้ ก็ไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับส่วนนั้น แต่ถ้าการแย้งคำพูดหรือเถียงอภิสิทธิ์เธอให้ความสำคัญกับส่วนนั้นมาก

“แล้วสุ้มเสียงของเธอไม่เป็นมิตร คือถ้ารัฐบาลคิดจะปรองดองคือต้องได้คนที่ท่าทางและสุ่มเสียงเป็นมิตรมากกว่านี้ สิ่งที่สำคัญของการเป็นโฆษกก็คือ พฤติกรรมของต้องเป็นมิตร สุ้มเสียง ลีลา เนื้อหา จะต้องทำให้คนอยากฟัง แต่บางทีพอเปิดฟังเธอแล้วจะไม่ค่อยอยากฟัง เพราะเธอดูเหมือนจะทะเลาะกับฝ่ายตรงข้ามตลอด อยากให้รัฐบาลนี้เลือกโฆษกไม่ว่าจะเป็นโฆษกพรรคหรือโฆษกรัฐบาลให้เป็นคนที่สะท้อนภาพของรัฐบาลที่บอกว่า อยากปรองดองอยากแก้ไข ไม่อยากแก้แค้น”

เมื่อเป็นเช่นนี้ คำถามต่อมาก็คือ ทำไมฐิติมาถึงเลือกจะแสดงจุดยืนอย่างนั้น แน่นอนเรื่องแรกก็น่าจะมาจากความเข้าใจถึงการทำหน้าที่ของโฆษกรัฐบาลที่อาจจะเชื่อว่า หน้าที่หลักเอาไว้พุ่งชนกับฝ่ายตรงข้าม ดังคำสัมภาษณ์ของเธอที่ออกมาสนับสนุนให้จตุพร เข้ามาทำหน้าที่นี้แทน

ขณะที่อีกจุดหนึ่งซึ่ง รศ.อวยพรวิเคราะห์เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า เธออาจจะยังไม่แยกแยะบทบาทระหว่างช่วงที่ทำให้ที่ ส.ส.ในอดีตซึ่งเป็นดาวสภากับการทำหน้าที่โฆษกรัฐบาลในปัจจุบันได้ว่าเป็นเช่นใด

“ภาพของคุณฐิติมาคือผู้หญิงเก่งคนหนึ่ง โดยเฉพาะในฐานะของส.ส.ที่ออกสื่อ แต่ไม่ตรงกับโจทย์ของการเป็นโฆษก เพราะตำแหน่งมันมีกรอบของตัวเองอยู่ คือความสุภาพ จริงอยู่ที่คุณฐิติมาอาจจะทำตามนโยบายทุกอย่างที่รับมา แต่โดยรูปแบบแล้ว โจทย์ตรงนี้อาจจะยังไม่ตรงกับลักษณะของท่านนัก แน่นอนผลที่ตามมาก็คือสุดท้ายแล้ว ภาพลักษณ์ของโฆษกรัฐบาลที่จะใช้เป็นเครื่องยืนยันหรือเครื่องประกาศความเป็นทางการของรัฐบาล ก็อาจจะหายไป”

ทางออกสำหรับเก้าอี้ 'โฆษก'

เมื่อสถานการณ์ของโฆษกรัฐบาลคนปัจจุบันดูค่อนข้างไม่สู้ดีเท่าใดนัก คำถามก็คือ สุดท้ายแล้วรัฐบาลจะจัดการกับปัญหาคาราคาซังเหล่านี้อย่างไรดี

มุมแรกก็คือ การกลับไปจัดการปัญหาภายในของตัวเองซึ่ง รศ.ดร.เสรี อธิบายว่าปัญหาอย่างหนึ่งที่กองโฆษกไม่ว่าจะรัฐบาลไหนๆ เผชิญมาตลอดก็คือ มุ่งแถลงข่าวอย่างเดียว แต่ไม่ยอมวางยุทธศาสตร์การทำงาน

“ทุกวันนี้ กองโฆษกจะคิดแต่ว่าจะออกมาแถลงประชุมว่าอะไร สรุปว่าอะไร แต่พอเรื่องนั้นเรื่องนี้น่าจะออกทีวีหรือเปล่า น่าจะเขียนบทความ น่าจะนำไปอภิปรายหรือเปล่าบางทีพวกเขาคิดตรงนี้กันไม่เป็น”

หรือไม่ทางที่ดีก็อาจจะบริหารจัดการเหมือนกับรัฐบาลชุดที่แล้ว ก็คือมีการตั้งโฆษกประจำตัวนายกรัฐมนตรี เอาไว้ตอบโต้กับฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะ ซึ่งแบบนี้จะไม่กระทบกับภาพรวมของรัฐบาล เพราะถือว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัว

แต่หากจะแก้ให้ตรงจุดมากที่สุด ก็น่าจะมีอยู่ทางเดียวคือ การกลับไปพิจารณาแต่งตั้งโฆษกฯ ใหม่ โดยเน้นจากคนที่มีความรู้ความสามารถในด้านนี้ เพราะในต่างประเทศเองก็ใช้วิธีการนี้เช่นกัน โดย ผศ.ทวีได้ยกตัวอย่างตำแหน่งโฆษกประจำตัวประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาว่า มีบทบาทสำคัญมาก ซึ่งคนที่เขาแต่งตั้งจะเน้นคนที่มีภาพลักษณ์ดี ไม่มีอคติ ตรงไปตรงมา ไม่ตอบประเด็นที่ยั่วยุ ดูนุ่มๆ ออกไปในแนวของนักวิชาการมากกว่า และหน้าที่ส่วนใหญ่คือแถลงข่าว หรือมาเป็นผู้ลำดับพิธีการต่างๆ ส่วนคนที่ตอบโต้ก็จะมีทีมเฉพาะอีกทีมหนึ่ง

“โฆษกรัฐบาลนั้นไม่ใช่เป็นสถานการณ์ แต่เป็นเพราะหน้าที่ ตรงนี้ถือว่าสำคัญสุด ส่วนสถานการณ์ถือเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ลองคิดดูถ้ารัฐบาลเอาคุณเฉลิม อยู่บำรุงมาเป็นโฆษกจะเกิดอะไรขึ้น มันไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าเราได้ใครก็ได้ ที่เป็นนักประชาสัมพันธ์ มีความอดทน ยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์พร้อมจะชี้แจง มีข้อมูลที่ถูกต้อง แบบนี้ถือว่าทำหน้าที่ของโฆษกแล้ว ไม่ใช่ไปตอบโต้กับฝ่ายตรงข้าม หรือทำท่ากร่าง”
..........

แม้เก้าอี้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจะถือเป็นเก้าอี้ที่มาจากฝ่ายการเมือง แต่ในมุมหนึ่งก็ต้องไม่ลืมว่า เก้าอี้นี้ก็มีความสำคัญไม่น้อย เพราะบุคคลผู้นี้มีหน้าที่สำคัญในการเป็นสื่อกลางระหว่างประชาชนกับรัฐบาล ฉะนั้นการเลือกใครเข้ามารับหน้าที่ ก็เปรียบเสมือนการสะท้อนภาพลักษณ์และตัวตนของรัฐบาลแต่ละชุดว่าเป็นเช่นใดด้วย
>>>>>>>>>>
………..
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK
ฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
อนุตตมา อมรวิวัฒน์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
อนุสรณ์ เอี่ยม สะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
กำลังโหลดความคิดเห็น