xs
xsm
sm
md
lg

“ทับทิม-ปลื้ม” เธอเป็นแฟนฉันแล้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
เกิดเป็นประเด็นฮอตขึ้นมา เมื่อ “ทับทิม มัลลิกา จงวัฒนา” สาวสวยน่ารักจากเน็ตไอดอล กลายเป็นสาวข้างกายคนใหม่ของ “ปลื้ม สุรบถ หลีกภัย” จนเกิดเป็นศึกสเตตัสบนโลกออนไลน์ ระหว่างเธอและพลอย-พงษ์รตี เจริญ สาวคนก่อนของปลื้ม จนหลายคนอาจจะมองว่าการตอบโต้ของเธอดูเป็นคนตรง แรง และชัดเจนในความคิดอย่างมาก รวมถึงกระแสข่าวศัลยกรรมทั้งหน้าที่เธอบอกว่าความสวยของเธอเสกได้ในพริบตา

“ทับทิม มัลลิกา จงวัฒนา” สาวสวย หน้าหมวย ผิวขาว ดวงตากลมโต เธอมาในชุดเดรสกระโปรงสีดำเรียบง่าย ผมถักเปียเกล้าขึ้นสองข้างในสไตล์ลุคสาวหวาน เข้ามาทักทายพร้อมรอยยิ้ม สดใส พร้อมสั่งเมนู คาปูชิโนเย็น มาดื่มให้สดชื่น ก่อนจะพร้อมให้ M-Lite พูดคุยในทุกๆ เรื่องในความเป็นคน เท่-ตรง-รั่ว ของเธอ
 

ฉันรักดนตรีไทย
ชื่อของ “ทับทิม มัลลิกา จงวัฒนา” ได้เริ่มเป็นที่รู้จักและเห็นหน้าค่าตากันในยามเช้าทุกวันอาทิตย์ที่แสนสดใสของใครหลายคน กับงานพิธีกรรายการสตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก บุคลิกของสาวตัวเล็ก ผมสั้น สีทอง ถือเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเธอในรายการ หลายคนอาจจะมองว่าเด็กคนนี้เธอดูแรงและมีความชัดเจนในการแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด แต่ในทางตรงกันข้ามเส้นทางที่ทำให้ชื่อของ ทับทิม ได้ก้าวสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัวด้วยการเล่นดนตรีไทยและร้องเพลงไทยเดิม
 
 
บอกถึงเรื่องความสามารถที่ตรงกันข้ามกับบุคลิกของเธอ อาจจะทำให้ทุกคนตกใจ เพราะ M-Lite เองก็ยังไม่เชื่อหูตัวเอง ว่าเธอมีความสามารถทางด้านดนตรีและรักการร้องเพลงไทยเดิมมาตั้งแต่เด็ก
 
 
“ตอนนั้นเด็กมากค่ะ อายุประมาณ 15 มั้งค่ะ ก็มีรุ่นพี่ซึ่งเป็นนางแบบเค้าเคยถ่ายงานมาก่อน รู้จักกันในฐานะพี่สาวน้องสาวกันมาก่อน เขาก็ชักชวนให้ทับทิมไปถ่ายภาพนิ่งก่อนค่ะ เป็นงานโปรดักต์ตัวหนึ่ง ถ้าถามว่าเข้าวงการมาแบบเต็มตัวเลยก็คือ รายการสตรอเบอร์รี่ฯ ค่ะ ตอนนั้นเราเองก็เป็นเด็กของโมเดลลิ่งแล้วนะ แล้วเค้าก็ให้มาแคสต์งานเข้าช่องสาม ก็เลยเข้ามาแคสต์
 
 
แล้วรายการนี้ เขาให้แสดงความสามารถ แสดงตัวตน ของเราออกไป โดยที่เราก็โชว์ร้องเพลงไทยเดิมนะ ซึ่งลุคทิมตอนนั้นจะเป็นเด็กผู้หญิงโกรกผมทอง ตัดผมสั้น ลุคจะดูเป็นญี่ปุ่นมากๆ แล้วพี่ตุ๊ก จันทร์จิรา จูแจ้ง ก็ค่อนข้างจะเซอร์ไพรส์กับทับทิมมากค่ะ เพราะว่าพี่เค้าคงตกใจว่า หน้าแบบนี้จะสามารถร้องเพลงไทยเดิม เล่นดนตรีไทยได้ด้วยเหรอ เค้าก็ประทับใจในตรงนั้นของเรา ก็เลยได้มาเป็นหนึ่งในพิธีกรรายการนั้นค่ะ”
 
 
ความสามารถทางด้านดนตรีไทยที่เป็นผลพวงให้เธอได้เข้ามาสู่วงการบันเทิง เริ่มต้นขึ้นด้วยการรับหน้าเป็นหัวหน้าวงดนตรีของโรงเรียน ไม่ว่าจะออกไปงานของโรงเรียน จึงกลายเป็นการซึมซับให้เธอได้เรียนรู้ไปโดยอัตโนมัติ เธอเล่นดนตรีไทยมาตั้งแต่ ป.2 ชอบที่จะอยู่ในชมรมดนตรีไทย ด้วยเหตุผลที่เธอเองก็ไม่ทราบได้ว่าเพราะเหตุใดเป็นเช่นนั้น จนกระทั่งอยู่ๆ เธอก็ได้เข้าไปอยู่ในวงและเป็นหัวหน้าวงดนตรีไทยของโรงเรียน
 
 
“ระนาดเอก” คือเครื่องดนตรีไทยสำหรับผู้ชาย และผู้หญิงอย่างทับทิม ระนาดเอก เป็นเครื่องดนตรีชนิดแรกที่เธอสามารถเล่นได้
 
 
“ระนาดเอก” ซึ่งมันเป็นเครื่องดนตรีของผู้ชายนะ แต่เราก็ไปจับระนาดเอก เราก็เป็นหัวหน้าวงตั้งแต่ตอนนั้นมา เพราะคนที่เล่นดนตรีไทยจะรู้ว่า ใครที่เล่นระนาดเอก คนนั้นก็จะเป็นหัวหน้าวงโดยอัตโนมัติเลยค่ะ แล้วเราก็เหมือนชอบ แล้วภูมิใจมากเลยค่ะ ไม่รู้ทำไม มีงานแข่งขันทีไร ก็อยากจะพาพ่อพาแม่ไปดู เหมือนเราชอบ เหมือนว่าเราไม่เคยเห็นใครมาเล่นดนตรีไทยง่ายๆ แล้วเราเองจับในสิ่งที่คนเขาไม่จับกัน แล้วเราเองก็รู้สึกภูมิใจค่ะ เราก็พยายามอยากจะเผยแพร่การเล่นดนตรีไปเยอะนะค่ะ”
 
 
“อย่างเข้ามาในสตรอฯ ก็ยังคงมีเล่นบ้าง จับเอาเครื่องดนตรีไทยมาแสดง เราก็พยายามดันดนตรีไทยเข้าไป เราเองเป็นอะไรที่รู้สึกว่าได้ทำแล้วภูมิใจมากค่ะ เหมือนอย่างที่ ซูเปอร์จูเนียร์มาเมืองไทย เราก็ไปร้องเพลงไทยเดิมให้เขาฟัง ซึ่งนักร้องเกาหลีก็บอกว่า มันเป็นเพลงที่เพราะมากค่ะ มันเหมือนเพลงเกาหลี คลาสสิกสมัยนั้น เรารู้ว่ามันเจ๋งอ่ะ”
 
 
เมื่อไหร่ที่เธอจับเครื่องดนตรีไทยที่เธอสามารถเล่นได้ทุกประเภท ยกเว้นเพียงแค่ ตะโพน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีสำหรับผู้ชายเท่านั้น มักจะทำให้เธอรู้สึกได้ว่าเธอ “เกิดมาเพื่อสิ่งนี้”
 
 
“มันเหมือนเป็นพรสวรรค์นะค่ะ อาจจะมองว่าขัดกับบุคลิกภายนอก ด้วยความเป็นเด็กที่อาจจะมีพลังในตัวเองสูงมาก ทุกช่วงเวลาพักเที่ยงก็จะวิ่งไปห้องดนตรี ไปอยู่ในนั้นแหละ มาโรงเรียนเช้ามาก หลังเลิกเรียนเพื่อนไปเรียนพิเศษแต่เราไปซ้อมดนตรี จนเราต้องไปอ้อนคุณแม่ให้ซื้อระนาดเอกให้ กลับมาบ้านก็มาเล่นทั้งคืนเลยค่ะ”
 
 
“10 กว่าปีที่อยู่กับดนตรีไทย เลยทำให้ทับทิมได้เข้ามาในวงการบันเทิง เพราะการที่เราได้เข้ามาในสตรอฯ ได้ก็เพราะมาจากดนตรีไทยเหมือนกันค่ะ พี่ตุ๊ก จันจิรา ก็ประทับใจเราที่เราเล่นเครื่องดนตรีไทยเนี่ยแหละค่ะ วันที่ได้เข้ามาเป็นพิธีกรก็ได้โทรไปหาครูที่สอนดนตรีไทยว่าเราได้เป็นพิธีกร นะ เราร้องไห้ด้วย ครูก็ดีใจ ถ้าทิมมีลูกหลานนะ จะจับให้เล่นดนตรีไทยเลยค่ะ เพราะมันทำให้เรามีสมาธิ มีสติมากขึ้นด้วยนะค่ะ ”
 
 
พิธีกรสุดหิน
ทับทิมเริ่มต้นการทำงานในวงการบันเทิงครั้งแรกด้วยการรับหน้าที่พิธีกร ในรายการสตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก รายการที่หลายๆคนอาจจะมองว่าไร้สาระ มีเพียงแค่เด็กวัยรุ่นมาแอ๊บแบ๊ว ทำตัวน่ารักสดใส แล้วออกมาแย่งกันพูด จนเกินพอดี หากได้ลองมานั่งดูรายการดังกล่าวอย่างจริงจัง และตั้งใจฟังสาวๆ พูด เชื่อได้ว่าคุณอาจจะตื่นขึ้นมาเจอเรื่องราวสาระพร้อมความสดใส เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของพวกเธอก็ได้
 
 
“การทำงานแบบนี้แล้วพิธีกรเยอะมาก เราต้องจับจังหวะการพูดให้ได้ ต้องดูจังหวะ ขนาดเราเป็นพิธีกรคนเดียว หรือพิธีกรคู่ เราจะต้องมีสมาธิให้มาก อย่างรายการนี้ เหมือนเป็นรายการเด็ก มันหนักกว่ารายการผู้ใหญ่ๆหลายรายการ ทับทิมเชื่อว่าอย่างนั้นนะ เพราะว่าอัดรายการกันทีก็เสร็จเช้าของอีกวันกันเลยค่ะ บางวันไปตั้งแต่ ตี 5 ก็จะเสร็จงานทั้งหมดก็ตีสองของอีกวันนึง เพราะกว่าจะแต่งหน้าให้ได้ครบทั้ง 13 ชีวิตเนี่ย มันนานมากค่ะ กว่าจะซ้อม เข้ารายการ กว่าจะลงขากัน มันใช้เวลาเยอะ แต่ก็คุ้มค่ามากที่ได้ผ่านจุดนั้นมา และทุกวันนี้ก็ยังภูมิใจว่าเราห้อยนามสกุล ทับทิม สตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก เพราะว่า ทับทิมกล้าพูดได้เลยว่าเป็นรายการที่มีคุณภาพ”
 
 
เวลาสามปีที่เธอทำหน้าที่พิธีกรในรายการนี้ มีหลายอย่างที่เธอได้เรียนรู้ทั้ง สุข ทุกข์ อดทน ซึ่งทับทิมเล่าว่าการอยู่รายการนี้ต้องอดทนในทุกๆด้าน ในเรื่องความกดดัน เราอาจจะเป็นเด็กใหม่ในวงการซึ่งเราต้องไปทำงานกับมืออาชีพในวงการค่ะ ซึ่งเราต้องรับฟังการติชม ซึ่งบางครั้งมันแรงสำหรับเด็กอย่างเราที่เพิ่งเริ่มต้นเข้ามาทำงาน ต้องปรับปรุงให้เขาเห็นด้วย ไม่ใช่ว่าจะเหมือนเดิม หรืออย่างเรื่อง โปรดักชันส์ ซึ่งมันต้องรอ ห้ามนอน ห้ามง่วง ซึ่งเราต้องตื่นตัวตลอดเวลา เพราะรายการมันเป็นรายการตอนเช้าค่ะ จะมาง่วงไม่ได้ เราไปอัดเอาต์ดอร์ กลางทะเล ต้องอดทนกับความร้อน แล้วเราต้องยืนกลางแดด ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก เพื่อให้ได้ภาพที่สวยงาม ค่ะ เราก็ต้องอดทน ก็ช่วยได้มากนะ
 
 
“ตั้งแต่ทิมออกมาจากรายการนั้น เชื่อมั้ยค่ะว่า ไม่ว่าจะเจองานไหน เราคิดว่างานอื่นๆ ไม่หนักหนาเลย อย่าง งาน mv นัดเราไปทำงานตอน 6 โมงเช้า ทีมงานก็บอกว่าเราจะมาไหวเหรอ โห นั่นสบายสำหรับทิมมาก เพราะสตรอเบอร์รี่นัด ตี 4-5 แล้วบางทีไปถ่ายโฆษณาที่เขาต้องให้เรายืนกลางแดด พี่เค้าก็ดูแลเราดี กลัวว่าจะร้อน แต่สำหรับทับทิม ร้อนแค่นี้สบายมากเลยนะ เหมือนว่าเราไปฝึกมาแล้วนะ ”
 
 
หนังสือ “แต่งเอง”
ทับทิมออกจากรายการนี้ตอนรายการครบรอบ 3 ปี เพราะคิดว่าซึมซับอะไรหลายๆ อย่างจากรายการ เธอเองเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีจุดยืนและมีความชัดเจนในการก้าวไปสู่เป้าหมายข้างหน้าที่เธอคิดเอาไว้ เมื่อการทำงานพิธีกรในรายการเต็มอิ่มสำหรับเธอ จึงตัดสินใจก้าวออกมาและมีผลงานของตัวเองมากมาย เช่นการเป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือการเขียนหนังสือเล่มแรกของตนเอง ชื่อ หนังสือ “แต่งเอง”
 
 
“หนังสือ “แต่งเอง” เป็นหนังสือสอนแต่งหน้าของผู้หญิง เพราะเล่มนี้ทับทิมเป็นคนชอบแพลนเอาไว้ ตั้งแต่อยู่สตรอฯ แล้ว เพราะเป็นคนชอบหยิบจับอะไร ชอบแต่งหน้า เปลี่ยนลุคให้เพื่อน ชอบอะไรสวยๆ งามๆ แล้วตอนนั้นเราไม่มีเวลาทำ พอเราออกมาเราก็ได้มีเวลาทำมากขึ้น มันก็เหมือนเป็นความภาคภูมิใจของตัวเองเหมือนกันค่ะ เพราะว่าทับทิมเป็นคนนึงที่ถือคติว่า เกิดมาชีวิตนึง มันต้องได้ทำอะไรหลายๆ ด้านที่เราอยากจะทำแล้วการที่เราได้มาทำหนังสือ แล้วมีชื่อเราอยู่ในบรรณานุกรมหนังสือของประเทศไทยเนี่ย ถือว่าเป็นเรื่องภูมิใจมาก
 
 
จำได้ว่าตอนที่เราทำหนังสือเล่มนี้เป็นช่วงปิดเทอม สามเดือน นั่งแต่ในห้อง เป็นเนิร์ด อยู่กับมันสามเดือน ตั้งแต่หาข้อมูลเอง ถ่ายรูปเอง เขียนเอง เตรียมคอสตูม เมกอัพ แล้วก็มาเรียบเรียง คิดเอง ว่าอยากให้หนังสือของเราออกมาแบบไหน เพราะงานที่ทำเองทุกอย่าง มันทำให้รู้สึกว่างานทุกอย่างเป็นตัวเองนะ ถ้าให้คนอื่นมาทำก็ไม่ใช่ตัวเราค่ะ เราก็นำเสนองานออกสู่ประชาชนไป เราทำทุกอย่างด้วยตัวเองเลยนะ เราชัดเจนไงค่ะ เราค้นคว้า ไม่ต้องพึ่ง ไม่ต้องรอใคร ถ้าเราเริ่มทำก็จะสำเร็จเอง ไม่ต้องรอใคร”
 
 
ธรรมะจากแม่
จากเด็กต่างจังหวัด เข้าสู่วงการบันเทิง ทับทิม เป็นลูกสาวคนที่สามจากทั้งหมดสี่คน ลูกสาวทั้ง 4 คน รวมถึงคุณแม่จะถูกเรียกว่าเป็นครอบครัวผลไม้ ไม่ว่าจะพี่สาวและน้องสาวอีกสามคน ต่างก็มีชื่อเล่นเป็นผลไม้ทั้งนั้น แต่ด้วยความพิเศษของชื่อทับทิมนั้น มีสองความหมาย ทั้งหมายถึงทับทิมที่เป็นผลไม้ และทับทิมที่เป็นอัญมณีประจำจังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดที่เธอเกิด
 
 
“ทับทิบก็มาจากจันทบุรีเนี่ยล่ะค่ะ จริงๆ แล้วมันมีสองความหมาย ซึ่งจันทบุรีเป็นเมืองผลไม้ แล้วก็เป็นเมืองเพชรพลอย เป็นเมืองอัญมณี เลยชื่อว่าทับทิม พี่สาวสองคนเป็นเด็กกรุงเทพเพราะเกิดที่นั่นก็ชื่อ ส้มกับองุ่นไป แต่เราเด็กจันทบุรีก็มีชื่อให้เข้ากับเมืองจันท์ จริงๆ ก็เป็นคนกรุงเทพฯ ค่ะ แต่เหมือนพ่อกับแม่ต้องย้ายไปเปิดกิจการที่นู้น เราก็เลยได้ไปเกิดที่นู้นค่ะ เป็นอู่ซ่อมรถ ลูกสาว สี่คน เปิดอู่ซ่อมรถ จริงๆ แล้ว ทับทิมทำได้ทุกอย่างนะ โป๊สีรถยนต์ เคาะพ่นสี เราอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็ก เห็นพ่อทำ ก็ทำได้นะ ก็ย้ายไปอยู่กะพ่อแม่ที่นั่น ที่บ้านก็จะครอบคลุมภาคตะวันออก ม.ปลายก็ย้ายไปโรงเรียนที่ชลบุรี”
 
 
เธอเล่าว่า ถึงที่บ้านจะมีแต่ลูกผู้หญิง แต่คุณแม่เองก็สอนให้ลูกสาวทุกคนสามารถยืนหยัดด้วยตนเอง เป็นลูกผู้หญิงที่แข็งแกร่งกกันมาก จึงทำให้เธอเป็นลูกผู้หญิงที่แข็งแกร่งกันมากขึ้น ทำอะไรที่ชัดเจนในการกระทำ และสิ่งที่คุณแม่คอยสอนมาโดยตลอดคือการนำเอาธรรมะมาสอนลูกๆทุกคน
 
 
“คุณแม่สอนอะไรหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะธรรมะ คุณแม่จะอัดธรรมะใส่ให้ตลอด ส่วนคุณพ่อจะสอนให้ใจแมนๆ ไว้ก่อนเลย แล้วเราก็จะอยู่กลางๆ ระหว่างสายธรรมะและสายบู๊ บางคนเลยเห็นว่าบางเวลาเรานุ่มนิ่ม บางเวลาก็ดูแรงอ่ะ ดูชัดเจนมาก บางทีก็หวานๆ เล่นดนตรีไทยได้ เราก็เป็นคนกลางๆ แบบนี้ล่ะค่ะ แม่ก็หวาน พ่อก็บู๊หน่อย จริงๆ แล้วก็ชอบนิสัยตัวเองนะ เพราะเป็นคนตรงๆ มีอะไรก็พูดเคลียร์ๆ เราก็แฟร์ด้วย ไม่ใช่ว่าตรงๆ แล้วจะไปทำร้ายใคร”
 
 
ตอนเด็กๆ ทับทิมเป็นเด็กติดแม่มาก ตั้งแต่เด็กไม่เคยอยู่ห่างจากแม่ จนกระทั่งได้เข้ามาเรียนและทำงานที่กรุงเทพฯ ความรู้สึกทั้งกดดันและการต้องดูแลตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้เธอมาอยู่ตัวคนเดียวทำอะไรไม่เป็น และร้องไห้
 
 
“ไม่ได้ ตอนเด็กเคยไปอยู่หอ แต่อยู่ไม่ได้ ร้องไห้หาแม่ทุกวัน แต่พอมาอยู่ กทม. เราต้องทำงาน กดดันด้วย ร้องไห้หาแม่ จำได้เลยว่า เราเป็นเด็กต่างจังหวัดมาก ที่เข้ากรุงเทพฯ มานั่งรถเมล์ไม่เป็น นั่ง BTS ก็ไม่เป็น ทำอะไรไม่เป็นเลยค่ะ ง่อยเลย แล้วก็ค่อยๆ เรียนรู้ คุณแม่เป็นคนไม่โอ๋ลูกอ่ะ ปีแรกๆ แอบน้อยใจแม่เลยนะ แม่บอกเลยว่า เฮ้ย ทำไม ร้องไห้อ่ะ แค่นี้เอง ไม่เห็นจะมีอะไรเลย เรื่องปกติมาก เราก็เนียนๆ แล้วก็แข็งแกร่งขึ้นมาได้”
 
“คุณแม่สอนธรรมะแบบแก่นแท้จากพระไตรปิฎกแล้วเอามาปรับสอนลูกทุกคน ไม่ใช่ว่าจะให้เราต้องนับถือพระรูปนั้นนะ หรืออะไร แต่แม่จะสอนเน้นการสอนแบบเอาพระไตรปิฎกมาสอนเลยนะ เห็นแม่แบบนี้ คุณแม่เข้าใจวัยรุ่นนะ สมมติเรามีเรื่อง อกหัก โทรไปฟ้องแม่ แม่ก็เอาธรรมะมาสอนเรื่องการอกหักของเราโดยอะไรก็ไม่รู้ ก็ยกตัวอย่างเอามาสอน ทำให้เราเข้าใจง่าย แล้วเราก็รู้ว่า เฮ้ย! ธรรมะเนี่ยก็คือธรรมชาติของชีวิต มันหนีไม่ได้อ่ะ ทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน มันอิงอยู่กับชีวิตเราหมด เราหนีมันไม่ได้หรอก แล้วมันเป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ค่ะ เวลาคุยกันกับคุณแม่เราก็จะโทร.คุยกับท่านเป็นชั่วโมงเลยค่ะ คุณแม่ท่านก็จะสอนธรรมะของเขาไปเรื่อย เราเองก็ฟังผ่านๆ จนวันนึงที่เราประสบกับเหตุการณ์ที่เราเสียใจ เราท้อ แล้วเราก็คิดถึงคำนั้นของคุณแม่เสมอ
 
ต้องขอบคุณแม่ไว้เลยนะค่ะ เพราะที่ลูกแข็งแกร่ง เข้มแข็งมาจนทุกวันนี้ก็มาจากคำสอนของคุณแม่อย่างเดียวเลยค่ะ เพราะเราเป็นลูกผู้หญิงตัวคนเดียวซึ่งมันบอบบางกับสังคมที่กว้างใหญ่ ถ้าโดนอะไรมากระแทกกระทั้นเยอะมันก็เหมือนเป็นเกราะป้องกันภัยที่ดีอย่างนึง ซึ่งถึงแม้ว่าคุณแม่จะไม่ได้มาเฝ้าเราที่กองถ่ายเหมือนคุณแม่ท่านอื่น บางทีก็น้อยใจนะ เพราะบางทีเราอัดรายการเสร็จตี 4 แม่คนอื่นเขามารับกลับบ้าน แต่หนูต้องนั่งแท็กซี่กลับบ้านคนเดียว แต่แม่ก็มีคำสอนเจ๋งๆ ให้อ่ะ เหมือนว่า ทำไมอ่ะ ถึงฉันจะนั่งแท็กซี่กลับเอง ฉันก็เจ๋งอ่ะ ฉันดูแลตัวเองได้นะ ทำให้เราภูมิใจในตัวเอง เพราะคุณแม่ก็ดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็กนะ เขาสอนให้เราเข้มแข็งมากขึ้น”
 
ทับทิมบอกว่าสาวๆ ในบ้าน เธอดูจะเป็นคนที่แกร่งที่สุด และชัดเจนในการเป็นตัวของตัวเองและมีจุดมุ่งหมายในชีวิตมากที่สุด ถ้าเทียบกันทั้ง 4 คน หนูเป็นคนที่รั้นจะทำมากที่สุดนะ รั้นในสิ่งที่ชอบ ไม่ดื้อนะเพราะในบ้านสี่คน ทุกคนโดนพ่อแม่ตีหมด ยกเว้นหนู ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะขี้อ้อน หรือยังไง เรารั้นในสิ่งที่ชอบ และเรารักจะทำ เรารั้นในสิ่งที่ดี ไม่ใช่รั้นในสิ่งที่ไม่ดีค่ะ อันนี้ก็ไม่ใช่เรานะ อาจจะแตกต่างที่เราเป็นเด็กดี พี่น้องเป็นตัวเฟี้ยวเลยล่ะ เห็นทิมแบบนี้เราจะเป็นตัวกลางมากกว่า ฟังอะไรก็เป็นกลาง เป็นที่ปรึกษาในบ้านเลยค่ะ เราจะมีสตินึกคิดนิดนึง

หนูไม่ได้ศัลยกรรม
แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่นานที่ทับทิมก้าวมาทำงานในวงการบันเทิง แต่ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาทำให้เธอเรียนรู้ว่าในวงการบันเทิงสอนให้เธอเรียนรู้การใช้ชีวิต การยอมรับในความคิดเห็นของผู้อื่น ความอดทน และการมองโลกในแง่ดีให้มากที่สุด
 
ที่ผ่านมาเธอเจอกับข่าวของการคบหาดูใจกับลูกนักการเมือง อย่าง ปลื้ม-สุรบถ หลีกภัย หนุ่มที่มีตัวตนชัดเจนในการแสดงความคิดเห็น จนมีการขึ้นข้อความพาดพิงกับสาวคนก่อนของปลื้ม หรือกับข่าวการทำศัลยกรรมทั้งหน้า
 
“หนูไม่ได้เครียดกับข่าวเลยนะ ยังนั่งขำกันอยู่เลย จริงๆ แล้วมันไม่เครียดเพราะไม่มีใครมาทำอะไรเราได้อยู่แล้ว และเราเองก็เชื่อมั่นในตัวเราเอง ทำของเราดีแล้ว เราก็ไม่ได้เบียดเบียนใคร เราก็ไม่เครียด เออ แต่ถ้าที่ผ่านมาเราไปทำอะไรเขาก่อน ก็คงเครียดว่าเอ๊ะ เขาจะแฉเรามั้ย แต่เราไม่มีอะไร ก็นิ่งๆ ไปค่ะ ก็เลยคิดว่า คนที่เครียดก็คือคนที่เขาเริ่มต้นก่อน
 
ส่วนข่าวมองว่าศัลยกรรมด้วย แต่ทับทิมเชื่อเลยนะค่ะว่า ทุกคนมีช่วงเวลาที่พลาด ยังสับสนตัวเอง ว่า เฮ้ย! ฉันจะแต่งตัวยังไงให้เข้ากับตัวเองล่ะ แล้วเราก็มีช่วงพลาด ตอนเด็กเราจะกินเยอะ จ้ำม่ำ พอโตขึ้น หน้ามันก็เข้ารูป อะไรๆ ก็ชัดขึ้น เราก็ไม่ได้ซีเรียสเพราะเราไม่ได้ทำ ถ้ากลับไปดูตอนเด็กๆ เราจะเห็นได้เลยค่ะว่า เมื่อก่อนเราก็มีดั้งนะ เพราะคุณแม่ให้มาตั้งแต่เด็ก มีครบทุกอย่าง ถ้าเกิดมีรูปที่ถ่ายกับคุณแม่ มีคนบอกว่าหน้าเหมือนแม่เลย ถ้าถามว่าทับทิมแอนตี้การทำศัลยกรรมมั้ย บอกเลยว่าไม่ค่ะ เพราะเราทำหนังสือเกี่ยวกับเรื่องความสวยงาม เราต้องศึกษา แล้วเราก็สนับสนุนนะ แล้วบางครั้งเราสนับสนุนด้วยนะ เพราะบางครั้งถ้าทำแล้วมีความมั่นใจมากขึ้นก็ต้องทำนะ เพราะทุกวันนี้ถ้าเราขาดความมั่นใจก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ทิมก็ไม่ศัลยกรรม”
 
ในส่วนคุณแม่ที่พอเธอมีข่าว เธอโทร.ไปปรึกษาทั้งน้ำตา แต่ปลายสายคุณแม่นั้นกลับหัวเราะ เพราะแม่เป็นคนมองโลกในแง่ดี และปลอบใจลูกสาวว่า การที่เขามองว่าเราศัลยกรรมนั้นก็เพราะว่าเขามองว่าเราสวย ซึ่งคุณแม่จะให้คิดแบบนี้เสมอ สอนให้มองโลกในแง่ดี เลยกลายเป็นนิสับส่วนหนึ่งที่ทับทิมได้มาจากคุณแม่ เริ่มเข้าใจอะไรโลกมากขึ้น ถ้าไม่เข้าใจอะไรก็ขัดทุกอย่าง คุณแม่เขาจะเข้าข้างคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกตัวเอง แม่ก็บอกว่าลูกต้องเข้าใจเขานะเพราะเขามีเหตุผลที่เขาทำแบบนั้นนะ กลายเป็นว่าเราผิด คุณแม่น่ารักมาก คุณแม่จะมีวิธีทำให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้นค่ะ
 
“ส่วนเรื่องของพี่ปลื้มจริงๆแล้วมันไม่เกี่ยวอะไรกับพี่ปลื้มเลย แล้วเค้าเป็นเคสต์ที่ไกลห่างมากๆ เลยค่ะ ซึ่งทับทิมจะไม่มีทางทะเลาะกับใครเรื่องพี่ปลื้มแน่นอน เพราะเราเป็นคนที่รู้ว่าตัวตนของเขาเป็นยังไง แล้วพี่ปลื้มเองก็ให้คำปรึกษาที่ดีมาก ถึงเราไม่ได้ท้อแท้ เขาก็ให้กำลังใจมาเพราะว่า เค้าเองก็ชินกับข่าวลักษณะนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ เพราะบางทีเราเพิ่งเคยเจอกับข่าวแบบนี้ พี่เขาสอนดี คิดดี เขาจะบอกว่ามันเป็นประสบการณ์ครั้งนึงในชีวิตนะ”

สาวข้างกาย ปลื้ม-สุรบถ
ในสถานะความรักตอนนี้ของทับทิม แม้จะกำลังคบหาดูใจกับหนุ่มปลื้ม ในมุมมองของสาวรุ่นใหม่อย่างเธอกลับบอกว่า เมื่อยังไม่แต่งาน อย่างไรก็ตามก็คือโสด ยังคงเปิดโอกาสให้คนเข้ามาพูดคุย หากถามว่ามีคนที่เธอรักและเอาใจใส่หรือไม่นั้น คงไม่พ้น หนุ่ม ปลื้ม สุรบถ เพราะหนุ่มคนนี้เป็นคนที่เธอรักและให้ความดูแลรวมถึงใช้เวลาด้วยกัน ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าการคบกันไม่ถึงปี แต่ทำไมความสัมพันธ์ถึงได้รวดเร็วเช่นนี้
 
“ทับทิมเป็นคนค่อนข้างเร็ว ถ้าคุยกับใครแล้วไม่ใช่ก็จะตัดจบเลย เราจะเป็นคนไม่ค่อยโรแมนติกอะไรมากมายเป็นคนตรงๆ มีอะไรชอบไม่ชอบก็บอกมาเลย มีอะไรอย่ามายึกยัก อย่ามางอแง พูดมาเลย ชอบคนตรงๆ มีเป้าหมายในชีวิตเหมือนกัน ไลฟ์สไตล์เหมือนกัน ระดับจิตใจเหมือนกันด้วย
 
พี่ปลื้มเป็นคนที่ทับทิมให้ความรักและทะนุถนอม เพราะเขาเป็นคนที่นิสัยเหมือนเรามากนะ เป็นเราในรูปแบบผู้ชาย เขาคิดอะไร เรารู้ เราไม่พูดเค้าก็เข้าใจเรานะ ถึงยังดูแลกันและกันได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เกือบครบปีแล้วค่ะ แล้วการที่เราทำงานด้วยกันก็เลยทำให้เราต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ผ่านอะไรมาด้วยกันมาก ในเรื่องการงานค่ะ เจอปัญหาเรื่องงานเรื่องสังคม ต้องช่วยกันคิด ไม่ใช่ว่าเราทำตามใจตัวเองว่า เราทำแล้วมีความสุขมันไม่ใช่ เราต้องมองภาพลักษณ์เขา เขาก็ต้องมองภาพลักษณ์เราด้วยนะ ต้องมองแทนผู้ใหญ่ มองแทนสังคม จะทำอะไรก็ต้องรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่”
 
การคบกับลูกนักการเมืองไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ทำให้ทับทิมตัดสินใจคบกับปลื้ม เพราะเธอคิดว่า เขาไม่ใช่ไอดอลที่จะมาทำตัวติดกัน เขานะ เขาก็เป็นคนหนึ่งเพียงแต่เป็นคนที่เราให้ความสำคัญ ทุกคนรักและเชื่อในการตัดสินใจของเรา ไม่ใช่ว่าคบกับลูกนักการเมืองแล้วจะทำอะไรง่ายขึ้นมันไม่ใช่ มันก็ยังเป็น “ทับทิม มัลลิกา” คนเดิม เขาไม่ได้มาดูแลเราเป็นพิเศษ
 
“มันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่คนจะมองเราเปลี่ยนไป เราเป็นตัวของตัวเองแบบนี้เพื่อนก็ไม่ได้แปลกใจอะไรนะค่ะ ไม่ว่าแฟนเราจะเป็นคนธรรมดา หรือลูกใครก็ตาม เราให้ความสำคัญเท่ากันทุกคน เราไม่ได้ไปทำให้เค้ารู้สึกว่าเค้าเป็นไอดอลต้องให้ความสำคัญ”
 
“พี่ปลื้มในสายตาทับทิมเขาเป็นคนหลายบุคลิก วางตัวดี อยู่ในครอบครัว ในรูปแบบที่มีความน่ารักทะเล้น มีอารมณ์ขัน เป็นคนมองโลกในแง่ดีมาก ไม่กล่าวโทษใคร ไม่ว่าเค้าจะมองพี่ปลื้มยังไง เค้าเป็นคนมองโลกในแง่ดี นิสัยคล้ายกัน ในสายตาทับทิม เป็นคนน่ารักนะ เซ็นซิทีฟมาก ในการที่รับความคิดเห็นจากคนอื่น เค้าจะเอาไปปรับปรุงทันที เป็นคนจิตใจดีค่ะ ก็เลยได้เห็นในมุมมองที่คนอื่นมองไม่เห็น อย่างคนอื่นเค้าจะมองว่าพี่ปลื้ม ชัดเจน มาเต็ม พูดจาฉะฉาน นั้นคือ ในรูปแบบที่เค้ากลั่นกรองว่าเค้าต้องมีลุคแบบนั้นอยู่แล้ว เค้าเป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นที่มีความคิด และผ่านประสบการณ์มามากกว่าคนอื่นนะ ไม่ว่าจะคุยงานกันไม่ค่อยใช้เวลางี่เง่ามากนัก”
 
นอกจากงานพิธีกรที่ทับทิมอยากจะทำมากที่สุด เพราะถือเป็นงานที่เธอได้แสดงตัวตนของตนเองออกมา แต่เมื่อวันหนึ่งงานในวงการบันเทิงไม่แน่นอน เธอสัญญากับคุณแม่ว่าจะทำธุรกิจเกี่ยวกับความสวยงาม เพราะคุณแม่ชอบเรื่องแบบนี้มาก และเธอยังฝากรายการ VRZO พ็อกเกตบุ๊ก หนังสือ “แต่งเอง” และอีกเล่มที่เร็วๆนี้ กับ My first tattoo เกี่ยวกับการสัก อาจจะทำให้คุณเปลี่ยนมุมมองความคิดได้



My First Tattoo
หลายคนจะงงว่าหน้าแบบนี้ไปสักด้วยหรอ เพราะหนูว่าหนูเป็นคนเยอะจริงๆ ทำคนเซอร์ไพร์สหลายอย่างมาก คือหนูชอบงานศิลปะมากนะ อย่างรอยสักเนี่ย มันเหมือนเป็นสกินอาร์ต ซึ่งเราก็คิดว่าตอนนี้มีศิลปินที่เป็นนักสัก ซึ่งไม่ใช่สักอะไรที่ดำๆ น่ากลัว แต่ที่ทับทิมสักคือ สักรูปตัวเองนะค่ะเป็นผู้หญิงผมสั้น ผมทอง เป็นช่วงที่เราเข้าวงการมาใหม่ เป็นช่วงเวลาที่เราเบ่งบาน และมีความสุขมากค่ะ แล้วก็อุ้ม อัญมณีทับทิมสีแดงสด ซึ่งมันมีความหมายเป็นชื่อ ทับทิม แล้วก็รอบๆ ก็จะโปรยดอกมะลิ ซึ่งมันหมายถึงชื่อของทับทิมด้วย เพราะ มัลลิกาแปลว่า ดอกมะลิ เป็นชื่อที่คุณพ่อตั้งให้ และเป็นดอกไม้ของแม่
 
มันเป็นเรื่องภูมิใจนะ ไม่ได้รู้สึกอายด้วย เพราะว่าเราภูมิใจที่จะโชว์ด้วย ถ้ามีคนอยากจะดู แล้วมันมีความหมายกับเรา มันเป็นศิลปะที่ในแง่ที่คนไทยยังไม่เปิดรับมากนักกับการสักแบบสกินอาร์ต และเร็วๆนี้ก็จะทำหนังสือเกี่ยวการสัก ชื่อหนังสือ My first tattoo ทับทิมเชื่อว่า เราสามารถเปลี่ยนสังคมได้ ถ้าเราคิดในแง่บวก เร็วๆ ทับทิมเป็นคนทำอะไรเร็ว แล้วกระแสรอยสัก มันก็เป็นกระแสที่ค่อนข้างลบที่คนเขามองกันค่ะ เลยอยากทำเล่มนี้มามันเหมือนเป็นการบอกว่า คุณคิดจะสัก คุณสักเพราะอะไร ไม่ใช่ว่าคุณสักแต่จะสักเท่านั้น ตัดสินใจไม่นานนะ เราเป็นคนไม่ยึกยัก พ่อก็สักนะ ไม่ได้แอนตี้ มันมีความหมายของแต่ละคน มันเป็นการสักแบบใหม่ เราก็อยากจะบุกเบิกเรื่องแบบนี้ให้ได้ด้วย เรารู้ว่ามันดีแค่ไหน
 
 
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ มัลลิกา จงวัฒนา
ชื่อเล่น ทับทิม
วันเกิด 1 ธันวาคม 1988
กำลังศึกษา คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC)
ผลงาน
พิธีกรรายการ Strawberry Cheese Cake 2006 - 2009 , รายการ VRZO YouTube channel 2011 , VRZO TrueVision 85 VERY TV 2011 , NetDesign Ambassador 2009 , "แต่ง..เอง" pocket book 2009 , Lisa beauty guru 2010
ความสนใจส่วนตัว
Cosmetics & Make up
Artworks
 
 
 
 
 

 
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย วรวิทย์ พานิชนันท์
 
 

 
 









มุม sexy


My first tattoo  รอยสักที่มีความหมาย


พิสูจน์ว่าหน้าไม่ได้ทำศัลยกรรม
กำลังโหลดความคิดเห็น