บทเรียนจากมหาอุทกภัยในประเทศครั้งนี้ ดูเหมือนจะกระตุ้นเตือนทุกภาคส่วนให้ตระหนักถึงการเตรียมการรับมือภัยพิบัติและริเริ่มการป้องกันอย่างยั่งยืนเสียที 'ฟลัดเวย์’ (Flood Way) หรือ ‘ทางระบายน้ำ' ก็เป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่หน่วยงานเอกชนร่วมถึงนักวิชาการจากหลายสำนัก ต่างหยิบยกมาเสนอต่อรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมอนาคต
จริงๆ แล้วแนวคิดเรื่องฟลัดเวย์นั้นไม่ได้เพิ่งเข้ามาในประเทศไทย ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2538 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสทรงแนะให้สร้างฟลัดเวย์เพื่อป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ หลังจากประเทศไทยได้เผชิญกับพายุดีเปรสชันจนน้ำเหนือเตรียมจ่อเข้าท่วมกรุงเทพฯ พระองค์ได้พระราชทานคำแนะนำถึงการแก้ปัญหาอุทกภัยว่า ควรจะมีการระบายน้ำทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ เพื่อไม่ให้กรุงเทพฯ ฝั่งพระนครรับภาระหนักจนเกินไป
ยังทรงแนะอีกว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 - รัชกาลที่ 6 นั้นมีพื้นที่สาธารณะร่วม 5 หมื่นไร่ แต่ขณะนี้เหลือเพียง 3 พันไร่เท่านั้น ดังนั้นก็ต้องกล้าที่จะแก้ปัญหาโดยการเวนคืนที่ดินฟลัดเวย์ ถ้าไม่ทำเช่นนี้หากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำเท่ากับหายนะ
แต่น่าแปลกตรงที่ว่าแนวคิดเรื่องฟลัดเวย์ที่มีมาหลายปีแล้ว กลับเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาคณะรัฐบาลมาหลายสมัย จนในที่สุดธรรมชาติก็มอบบทเรียนครั้งใหญ่แก่ชาวไทย มวลน้ำก้อนขนาดมหึมาเข้าถล่มกรุงเทพฯ และอีกหลายๆ จังหวัด และน้ำจำนวนหาศาลก็ยังค้างเติ่งในหลายพื้นที่เป็นเวลานานเพราะไม่มีเส้นทางระบายน้ำ
อย่างไรก็ตามคงยังไม่สายหากประเทศไทยจะมีการแก้ปัญหาภัยพิบัติแบบบูรณาการ ซึ่งก็กลายๆ ว่าภาครัฐได้ก็เล็งเห็นความสำคัญของการนำ ‘ฟลัดเวย์’ มาจัดการปัญหาน้ำท่วมอย่างยิ่งยืนเสียที
'ฟลัดเวย์' เส้นทางจัดระเบียบน้ำ
หลังจากประเทศไทยคลี่คลายจากวิกฤติการณ์น้ำท่วม หลายๆ ฝ่ายก็ต่างคำนึงถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่ง ‘ฟลัดเวย์’ เป็นการจัดทำเส้นทางสำหรับระบายน้ำโดยเฉพาะ ด้วยการจัดพื้นที่ทุ่งโล่งเป็นเส้นทางสำหรับมวลน้ำเพื่อออกสู่ทะเลโดยไม่ไหลบ่าเข้าท่วมเขตเมืองหลวง หนึ่งในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ได้รับความสนใจกระทั่งหลายภาคส่วนได้นำเสนอต่อภาครัฐ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการปัญหาน้ำท่วมในภายภาคหน้า ประมวลคร่าวๆ ได้ดังนี้
ซูปเปอร์เอกซ์เพรสฟลัดเวย์ - ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ออกมากล่าวแถลงถึง ‘11 มาตรการแก้ไขน้ำท่วมแบบหลายมิติ’ โดยชูซูปเปอร์เอกซ์เพรสฟลัดเวย์ (Super - express floodway) หรือทางด่วนพิเศษระบายน้ำ เป็นหนทางฟื้นความเชื่อมั่นของประเทศไทย มีระยะทางโดยรวมตั้งแต่คลองชัยนาท-ป่าสัก คลองระพีพัฒน์ คลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต ซึ่งรวมระยะทางยาวกว่า 200 กิโลเมตร
อุโมงค์ระบายน้ำใต้ดิน - ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะกรรมการงานก่อสร้างใต้ดินและอุโมงค์ (TUTG) วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ก็ได้เสนอแนวคิดระบบอุโมงค์ระบายน้ำใต้ดิน MUSTS (Multi-Service Flood Tunnel System) ซึ่งมีระยะทาง 100 กิโลเมตร รับน้ำจาก อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา - จ.สมุทรปราการ อุโมงค์ดังกล่าวจะมีเครือข่ายของน้ำตามคลองต่างๆ เช่น คลองรังสิต คลองระพีพัฒน์ ฯลฯ เชื่อมต่อกับบ่อขนาดใหญ่เพื่อรับและควบคุมน้ำในเบื้องต้น หากน้ำมากก็จะผันลงทะเลทันที
แม่น้ำเจ้าพระยาสอง - ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA ก็เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน สรุปสาระสำคัญ โดยการสร้างแม่น้ำเจ้าพระยาสอง หรือการสร้างฟลัดเวย์มาระบายน้ำ
ฟลัดเวย์ 2 เส้นทาง - กิจจา ผลภาษี ประธานคณะอนุกรรมการด้านการวางแผนและกำหนดมาตรการแก้ปัญหาระยะยั่งยืน ในคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เสนอแนวคิด ฟลัดเวย์ 2 เส้นทางดันน้ำลงทะเล โดยแบ่งลุ่มน้ำภาคกลางเป็น 2 ส่วน เส้นทางฝั่งตะวันตกและตะวันออก ฯลฯ
ถนนวงแหวนพร้อมฟลัดเวย์ระบายน้ำ - กระทรวงคมนาคม เสนอโครงการก่อสร้างถนนวงแหวนรอบที่ 3 ปรับเป็นเส้นทางระบายน้ำเร่งด่วน ควบคู่กับเส้นทางจราจร โดยจะก่อสร้างคลองระบายน้ำความกว้างประมาณ 180 เมตร อยู่ตรงกลาง ขณะที่สองข้างเป็นถนนระดับดินขนาดความกว้างฝั่งละ 3 ช่องจราจร ส่วนระบบจราจรจะเป็นระบบปิดเหมือนมอเตอร์เวย์
ฟลัดเวย์ 2 ฝั่งเจ้าพระยา - กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงแผนสร้างพื้นที่เบี่ยงน้ำของรัฐบาลโดยการสร้างฟลัดเวย์ริม 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ฯลฯ
ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนก็ดี แต่ก็คงต้องนำมาศึกษาพิจารณาในเรื่องประสิทธิภาพและผลกระทบกันอย่างถี่ถ้วน ซึ่งแน่นอนว่าแนวคิดฟลัดเวย์ที่ถูกหยิบหยกขึ้นมาเป็นประเด็นร้อนในขณะนี้ หากมีการดำเนินการเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ก็คงต้องใช้งบประมาณอย่างมหาศาล ตรงนี้เองประชาชนคนไทยก็คงต้องจับตามองกันอย่างใกล้ชิดกันต่อไป
ความชัดเจนของฟลัดเวย์
แม้ขณะนี้ฟลัดเวย์จะเป็นแนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนที่มีกระแสค่อนข้างแรง แต่กลับขาดความชัดเจนในทุกๆ ด้าน ซึ่งหลังจากประเทศไทยได้ผ่านวิกฤตการณ์น้ำท่วมมาแล้ว ก็น่าจะเป็นบทเรียนให้ทุกฝ่ายเร่งดำเนินการแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วมอย่างเป็นรูปธรรมและบูรณาการโดยเร็ว
ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาภัยพิบัติและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้ออกมาเสนอโครงการให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับวิธีป้องกันน้ำแบบนี้ว่า ควรจะทำ เพราะถือเป็นระบบหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากเป็นวิธีการที่เลียนแบบธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงมีพระราชดำริเอาไว้ แต่ยังไม่มีใครทำตาม
"คอนเซ็ปต์ฟลัดเวย์ ก็คือเป็นที่โล่งๆ แล้วปล่อยให้น้ำหลากธรรมชาติ โดยที่ๆ โล่งตรงนี้จะไม่มีคนอยู่ หรืออยู่ก็ได้แต่มันจะอันตรายมาก ดังนั้นโดยปกติแล้วเขาก็จะเวนคืนหรือไม่ให้คนอยู่ตรงนั้น ปล่อยเป็นทุ่งน้ำ แค่นั้นเอง ไม่จำเป็นต้องขุดคลองด้วยซ้ำ แต่ถ้ามีก็ดี เพราะคนอยู่ใกล้ฟลัดเวย์ตรงนั้น เช่น ใช้เป็นที่ปลูกนา ปลูกข้าว อย่างน้อยๆ ชาวบ้านก็จะได้รู้ก่อนว่า น้ำในคลองมันเริ่มขึ้นแล้วจะได้หนีได้ แต่ถ้าไม่มีคลองเลย อยู่ๆ ดีปล่อยน้ำหลากมาเลยก็หนีไม่ทัน ฟลัดเวย์มันดีตรงที่เลียนแบบธรรมชาติ แล้วก็ป้องกันตรงจุด
“แต่ปัญหาคือจะทำกันอย่างไร จะเอาจริงเอาจังกันเพื่อให้น้ำท่วมมันหมดไปหรือเปล่า ซึ่งตอนนี้ก็มีโปรเจ็กต์ที่เขาเสนอมาเยอะแยะเลย ทั้งฟลัดเวย์ตะวันออกและตะวันตก ซึ่งแก้ปัญหากรุงเทพฯ ได้ แต่แก้ปัญหาภาคกลางทั้งหมดไม่ได้ อย่างโรงงานแถวโรจนะก็ต้องเจอปัญหาน้ำท่วมอยู่ต่อไป แต่ถ้าตัดตามซูปเปอร์ฟลัดเวย์ที่ผมเสนอ ซึ่งตัดตั้งแต่ยอดน้ำจากเขื่อนมันก็จบเลย เพราะมันไปคลุมน้ำไม่ให้ลงแม่น้ำเจ้าพระยามากกว่า 1,800 (ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) แล้วก็ไม่เกินเขื่อนป่าสักฯ 500 (ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) ทุกอย่างก็จบ เพราะน้ำเยอะๆ ก็ลงมาช่องนี้ แต่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมวิศวกรไม่คิดแบบนี้ เพราะแบบนี้ผมคิดว่ามันมีผลกระทบค่อนข้างเยอะ"
ที่สำคัญไอเดียนี้ไม่ได้เพิ่งซุเกิดขึ้น แต่มีอีกหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และก็ทำหลายวิธีไม่ว่าจะเป็น สะพานน้ำ, ฟลัดฟริงค์ (ชายเขตน้ำท่วม : พื้นที่ระหว่างพื้นที่น้ำท่วมกับทางระบายน้ำท่วม ซึ่งจะมีโอกาสเกิดน้ำท่วมแต่ไม่บ่อยนัก), ฟลัดเวย์ ฯลฯ ซึ่งเมืองไทยเองก็มีแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีปัญหาเรื่องของคน ตั้งแต่การบุกรุก ฯลฯ ศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า หากภาครัฐคิดจะทำก็ควรจะทำเลย เพราะถ้ารอไปอีก 10 ปีก็คงทำไม่ได้แล้ว เนื่องจากคงจะมีประชาชนเข้ามาตั้งรกรากในพื้นที่ที่จะทำฟลัดเวย์กันหมดแล้ว
"ผมคงบอกไม่ได้ว่าวิธีการนี้จะดีที่สุดหรือเปล่า แต่เพราะมันประหยัดและได้ประสิทธิภาพ ตอนนี้การเลือกไม่ได้อยู่ที่เรา แต่อยู่ที่รัฐบาล เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เราต้องคุยกันว่า ทำแบบไหน ขนาดไหน คือสังคมไทยมันต้องตกผลึก แล้วภาคประชาชนถือว่าสำคัญ ต้องรับฟังวิธีการที่ออกมาทั้งหมด ทั้งภาครัฐบาลและนักวิชาการอิสระ แล้วใช้วิจารณญาณว่าแบบไหนเหมาะสม อย่าปล่อยให้รัฐบาลทำไปเองฝ่ายเดียว เพราะเงินที่มันเป็นภาษีเราทั้งนั้น"
สะเทือนความเป็นอยู่ (ที่ดีขึ้น)?
หากวิเคราะห์ถึงปัญหาในเรื่องของการทำฟลัดเวย์อาจจะมีอยู่หลายส่วน แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคงจะหนีไม่พ้นเรื่องการเมือง ศ.ดร. มนัส สุวรรณ อดีตนายกสมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย แสดงทัศนะถึงปัญหาขั้นปฐมภูมิของการสร้างฟลัดเวย์
“นักการเมืองไทยโง่ ขาดความรู้ทั้งในเชิงวิชาการและการบริหาร ทำให้ตอนนี้การสร้างฟลัดเวย์บางทีอาจก่อปัญหามากกว่าแก้ปัญหา เพราะการจะสร้างฟลัดเวย์ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการคำนวณผลได้ผลเสียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบที่เกิดกับประชาชน สังคม สิ่งแวดล้อม ค่าใช้จ่ายและผลที่เราจะได้รับจากสร้างฟลัดเวย์ว่าเป็นอย่างไร ถ้ามันติดลบก็ต้องไม่สร้าง ต้องหาวิธีอื่น แต่นักการเมืองไม่สนเรื่องผลได้ผลเสียของประเทศอยู่แล้ว”
แน่นอนว่าการสร้างฟลัดเวย์ขึ้นย่อมส่งผลกระทบอยู่ไม่น้อย ซึ่งนอกจากฟลัดเวย์จะส่งผลกระทบทั้งด้านสังคม กระทบการวางผังเมืองใหม่ ยังส่งผลโดยเฉพาะทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ถือว่าละเอียดอ่อนเพราะมันไปเปลี่ยนการใช้ที่ดิน เพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นทางน้ำ ศ.ดร. มนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า
“น้ำมันจะเปลี่ยนที่ เปลี่ยนทางไหล มีผลตามมาแน่นอน มันอาจจะมีผลกระทบทั้งบวกทั้งลบ ชุมชนหนึ่งอาจจะได้ประโยชน์กับการที่มันมีฟลัดเวย์ผ่าน เก็บน้ำไว้เพื่อการเกษตรได้ แต่ส่วนหนึ่งก็อาจจะลบ เพราะเขาสูญเสีย ทั้งสูญเสียพื้นที่หรืออาจจะต้องย้าย เขาอาจจะทำการเกษตรต่อไปไม่ได้ มันจะมีส่วนหนึ่งได้ประโยชน์ส่วนหนึ่งเสียประโยชน์ ซึ่งตรงนี้ มันต้องการทำประเมินผลได้ผลเสีย”
ซึ่งในทัศนะของประชาชน อย่าง คนึงนิจ นาคมงคล พนักงานบริษัทเอกชน ได้แสดงความคิดเห็นว่า ฟลัดเวย์ถือว่าเป็นประโยชน์มาก หากสามารถระบายน้ำได้จริง
"ฟลัดเวย์ มีประโยชน์มาก ดีมากนะ แต่กลัวว่าพอสร้างเสร็จแล้ว จะไม่ได้ใช้เหมือนอุโมงค์ยักษ์ แล้วก็มันจะซ้ำซ้อนกัน ตรงที่กทม. ก็มีอุโมงค์ยักษ์สำหรับระบายน้ำอยู่แล้ว คือสิ่งก่อสร้างพวกนี้นะมันช่วยได้มาก แต่คนไม่รู้จักบริหารจัดการให้ถูกต้องให้สัมพันธ์กัน มัวแต่เกี่ยงกัน พื้นที่ใคร พื้นที่มัน ทั้งอุโมงค์ ทั้งฟลัดเวย์ ก็ไม่มีความหมาย"
ส่วน เจษฎา ทวีวรรณ เจ้าของธุรกิจส่วนตัว กล่าวแสดงความเห็นด้วยหากใช้ฟลัดเวย์มาแก้ปัญหาน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งแต่ละภาคส่วนควรมีการแก้ปัญหาร่วมกันแบบบูรณาการ
"แต่ก่อนทำควรจะวางแผนทั้งระบบ ไม่ใช่จะทำอะไรก็ทำ ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นได้รับผลกระทบในวงกว้าง แม้แต่ส่วนที่น้ำไม่ท่วมก็ได้รับผลกระทบ แต่ละภาคส่วนต่างก็มีปัญหาที่แตกต่างกันไป ควรหาวิธีการแก้ปัญหาร่วมกันแบบบูรณาการ ไม่แยกแก้เป็นจุดๆ และควรกันการเมืองอย่าให้เข้ามาแทรก น่าจะทำให้สามารถแก้ปัญหาแบบยั่งยืนได้"
……….
ขณะที่ประเทศไทยกำลังผ่านพ้นวิกฤตการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ไปได้ ขณะเดียวกันทุกฝ่ายโดยเฉพาะรัฐบาลคงต้องร่วมมือจัดการปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนกันเสียที ซึ่งไม่ใช่หยุดแค่แนวคิดแต่ต้องผลักดันแนวคิดให้ออกมาเป็นรูปธรรมที่สามารถจัดการปัญหาน้ำท่วมได้อย่างบูรณาการโดยเร็ว เพราะเวลาและวารีไม่เคยคอยใคร...
>>>>>>>>>>>>
………..
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK