ถ้าเอ่ยชื่อ 'ปิงปอง-ธีรชาติ ธีระวิทยากุล' คงจะไม่คุ้นหูนัก แต่เอ่ยชื่อ 'อู๊ด เป็นต่อ' เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักเป็นอย่างดีกับบทบาทนักแสดงตลกตัวเล็ก มาดกวน ไว้หนวดเครา มาพร้อมผ้าโพกผม สวมแจ็กเกตหนัง บวกกับคำพูดติดปาก "พี่น้องคร้าบ...” มองภายนอกเขาอาจจะดูเป็นคนตลกโปกฮา แต่เมื่อได้ทำความรู้จักกับอีกมุมหนึ่งของชีวิตเขาซึ่งเป็นทั้งเจ้าของธุรกิจ ช่างซ่อมนาฬิกา นักดนตรี และนักเขียนแล้วจะพบว่าผู้ชายคนนี้มีดีกว่าที่เห็น
ดังจากซิตคอม "เป็นต่อ"
ก่อนหน้านี้เขาเริ่มเข้าวงการจากการเล่นดนตรี เคยเป็นลูกวงของวงดนตรีกะท้อน และซูซู และตั้งวงดนตรีกับเพื่อนๆ และเป็นนักแสดงตลกคณะเหลือเฟือ มกจ๊ก โดยเล่นเป็นนักดนตรีเพื่อชีวิต 'แอ๊ด มกจ๊ก' ล้อเลียนแอ๊ด คาราบาว จนวันหนึ่งคาแร็กเตอร์ศิลปินเพื่อชีวิตของเขาเกิดสะดุดตา 'นก-จิรศักดิ์ โย้จิ้ว' ผู้กำกับละครซิตคอมเรื่องเป็นต่อ จึงได้ติดต่อให้เข้ามาร่วมแสดง ทำให้เขามีชื่อเสียงจากละครซิตคอมเรื่องนี้ ในบท 'อู๊ด' จนถึงวันนี้
"สำหรับอู๊ด เป็นต่อ กระแสตอบรับก็ดีนะ จริงๆ ชื่อนี้มาจากเพื่อนผมที่ชื่ออู๊ด เหมือนเขาคนนี้ให้ชีวิตใหม่แก่ผม แล้วผมก็ได้ชื่ออู๊ดจากละครเป็นต่อ แล้วชื่ออู๊ดก็เป็นชื่อที่ดี ไปไหนมาไหน คนก็เรียกอู๊ด บางคนเรียกพี่หมูก็มี (หัวเราะ) อีกอย่างที่ผมเชื่อคือทุกอย่างเป็นลิขิตสวรรค์ มันถูกกำหนดไว้แล้ว มันไม่มีเรื่องบังเอิญหรอก คิดดูสิ ผมไม่เคยคิดสักนิ้ด (เน้นเสียง) ว่าฉันจะเป็นดารา ฉันจะต้องมีชื่อเสียง แค่คิดว่าเขาเล่นอะไรได้เราก็เล่นได้อย่างนั้น
ผมว่าอู๊ดนี่เป็นตัวตนจริงๆ ของผม เรื่องการแต่งตัว บุคลิกภายนอก แต่ในอารมณ์จริงๆ อู๊ดตัวจริงกับอู๊ดในละครก็เป็นอีกเรื่อง ในชีวิตจริงมันจะวุ่นวายกว่าชีวิตภาคละคร ฉะนั้นบางครั้งที่แฟนๆ เห็นเราแล้วเข้ามาทักในช่วงที่อารมณ์แปรปรวน ก็อาจจะมีรีบๆ เดิน หรือไม่ยิ้มบ้าง ก็กราบขออภัยมาณ ที่นี้ด้วย บางทีอาจจะมีเรื่องเครียดอยู่"
หลายคนที่ชินกับภาพอู๊ด เป็นต่อ ในคาแร็กเตอร์แอ๊ด คาราวบาว กับคำพูดติดปาก "พี่น้องคร้าบ" อาจจะสงสัยว่าเวลาอยู่ข้างนอก หรือเวลาอยู่กับเพื่อนๆ เขาจะเป็นอย่างไร
"พี่น้องคร้าบ นี่มาจากพี่แอ๊ด คาราบาวเลย ผมพูดมาตั้งนานแล้ว ส่วนใหญ่จะพูดเล่นๆ กับเพื่อน "ว่าแล้วพี่น้องคร้าบ" อย่างตอนเล่นกอล์ฟกับเพื่อน "โห...ลูกไปไหนล่ะครับพี่น้องเอ๊ย" อย่างเนี้ย หรือพูดตอนกินข้าว "เฮ้ย! ของผมครับพี่น้องครับ" มันช่วยให้มีสีสันในกลุ่มก็เฮฮาไป
การแต่งตัวส่วนใหญ่ผมจะแต่งแบบนี้ มีผ้าโพกหัว มีแจ็กเกตหนัง เพราะผมชอบขี่มอเตอร์ไซค์ฮาเรย์ บางคนอาจจะขับรถหรูแต่ผมชอบขี่มอเตอร์ไซค์ ชอบตากแดดแบบนี้ ผมมีเงิน ผมก็แบ่งสัดส่วนถูกต้องนะ ผมก็อยากได้อะไรที่เราอยากได้บ้าง ถ้าหาเงินอย่างเดียวแล้วไม่ใช้มันก็ไม่มีความสุข มันต้องหากำไรให้ตัวเองบ้าง บางทีใส่กางเกงขาสั้นไปซื้อลาบก็มี ไม่ถึงขนาดต้อง keep lookตลอดเวลา"
ในช่วงแรกๆ เรื่องของการแสดงอาจจะมีติดขัดบ้าง แต่พอเล่นไปนานๆ เข้า ตัวตนจากบทละครกับตัวตนจริงๆ ของเขา ก็กลายเป็นว่าไม่ต่างกัน นั่นจึงทำให้คนเชื่อในคาแร็กเตอร์ 'อู๊ด เป็นต่อ' ที่เขาแสดงออกจริงๆ
"คาแร็กเตอร์ในละครก็ไม่ได้ปรับเยอะ ก็มองว่าตัวตนในละครมันก็ตัวเรานี่นา พอเราเริ่มรู้ตัวละครแล้วว่าเป็นแบบนี้นี่เอง มันคือเรานี่เอง ไอ้บ้าเอ๊ย... เขาเอาเรามาเขียนนี่นา เราก็เล่นไปตามตรงนั้น แต่ในเรื่องของการแสดงเราก็ยังคิดว่ายังไม่เนียน ถ้าเป็นรุ่นใหญ่อย่างระดับชาคริต ผมถือว่าเป็นมืออาชีพ เขาเล่นลึกไปจนแกนในมันแล้ว ผมเนี่ยยังอยู่ขอบๆ เปลือกๆ ยังไม่ลึกไปถึงแกนในขนาดนั้น
การที่เราแสดงได้ลื่นไหลผมว่าอยู่ที่คนเขียนบทมากกว่า บางทีเรายังไม่ได้อ่านบทเลยนะ เราได้ยินอีกไอ้นี่พูดออกมา เราส่งได้เลย เขาเขียนเหมือนเขารู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ ยกความดีให้ผู้กำกับ และคนเขียนบทเลย มันจะมีอารมณ์ตามที่ผู้กำกับบอก จะมี 3 ระดับ เห็นเพื่อนเป็นอย่างนี้ เห็นคนรู้จักเป็นอย่างนี้ เห็นคนไม่รู้จักเป็นอีกอย่าง มันจะเป็นคนละความรู้สึก มันจะแยกแยะออกมาอย่างนี้ เราก็คิดตามแล้วเอามาปรับ บอกได้คำเดียวว่าทีมงานเป็นต่อนี่สุดยอดจริงๆ ด้วยความที่เล่นนาน เราก็คุ้นเคยว่าเวลาจะเล่นต้องมีท่าอะไร บางทีผู้กำกับก็ให้ลองดีไซน์ดูว่าจะใช้ท่ายังไง ถ้าคิดไม่ออกเขาก็คิดให้ ท่าประจำก็ "พี่น้องคร้าบ" (ชูนิ้วแบบแอ๊ด คาราบาว)”
"อัจฉริยะ" ช่างซ่อมนาฬิกา
นอกจากอาชีพนักแสดงแล้วเขายังมีอีกหลายธุรกิจรองรับ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่เขาถนัด และทำร่วมกับครอบครัว ทั้งร้านอาหาร ร้านซ่อมนาฬิกาที่จ.อุบลฯ ซึ่งเขาเป็นช่างซ่อมนาฬิกาเองด้วย และล่าสุดเขากำลังคิดจะทำธุรกิจหอพักร่วมหุ้นกับพี่ชายคนโต
"เรื่องการทำธุรกิจมันเริ่มมาจากตอนแรกผมเล่นดนตรี แล้วไปไม่รุ่ง ที่บ้านก็เลยบอกเราว่าเปลี่ยนแนวคิดเถอะ มาซ่อมนาฬิกาดีไหม จะได้เป็นชิ้นเป็นอัน อย่างน้อยๆ ก็ทำได้ไปจนแก่ จนลูกจนหลาน เราก็เอา เพราะว่าบอบช้ำมาเยอะแล้วกับดนตรี หลังจากนั้นก็หันหลังให้ดนตรีเลย ก็เลิกกัน ก็ไปคบกับนาฬิกา อยู่กับนาฬิกาทุกวัน ถอดประกอบ ซ่อม ตอนนั้นผมเก่งมาก ใช้คำว่าอัจริยะได้เลยทีเดียว (หัวเราะ) ไม่ค่อยคุยเลยนะ เวลาเดินผ่านคนที่ใส่นาฬิกา รู้เลยว่าเขาใส่รุ่นไหน ยี่ห้ออะไร มีกี่เรือนในโลก ผลิตที่ไหน"
ความเป็นอัจริยะอาจจะไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง ได้เกรด 4 ตลอดอย่างที่หลายคนคิด แต่ความเป็นคนช่างคิด ช่างจินตนาการ และลงมือทำ สร้างสรรค์ผลงานที่แตกต่างจากคนอื่น และดีด้วย ก็เรียกว่าเป็นอัจริยะได้เหมือนกัน
"ตั้งแต่เด็ก ผมรู้สึกว่าความจำผมค่อนข้างจะดี ผมจำความตอนที่อายุ 5 ขวบได้ ทุกวันนี้ก็ยังจำได้อยู่ ผมไม่ได้เรียนเก่งได้เกรด 4 นะ แต่ผมมีความสามารถในการทำมากกว่า อย่างการเล่นดนตรี งานช่าง โดยเฉพาะสิ่งที่ชอบจะทำได้ดี
ที่เห็นชัดเลยก็การซ่อมนาฬิกาเนี่ย บอกตรงๆ เลยว่ามีน้อยคนที่ทำตรงนี้ได้ เพราะว่ามันยาก แต่ละชิ้นส่วนมันเล็กมาก มันต้องแกะออกทีละชิ้น ใช้ปากคีบหนีบ วัดแบบกลั้นหายใจกันเลยนะ ให้ใครก็ได้แกะชิ้นส่วนของนาฬิกาออกมาให้หมดทุกตัวเลย แล้วคนให้มันมั่วๆ จะประกอบให้ดู ให้จับเวลาด้วย (เขาพูดพลางท้าให้ทดสอบความสามารถ)
ใครมาหลอกขายนาฬิกาผมไม่ได้นะ แต่ราคาของนาฬิกามันขึ้นกับความพึงพอใจของเจ้าของ มันอาจจะไม่ได้มีราคาเยอะ แต่มันมีคุณค่าทางจิตใจมาก อาจจะเป็นของจากบรรพบุรุษให้มา บางเรือนมันเดินไม่ได้ แต่พ่อให้มาเป็นมรดกจากพ่อที่เสียไปแล้ว เป็นสนิม โดนน้ำมา แต่ตัวเรือนยังดีอยู่ เราก็บอกเขาว่าต้องเปลี่ยน ต้องยกเครื่องเลย แต่หน้าปัดยังเหมือนเดิม ผมสามารถทำให้เหมือนเดิมได้มากที่สุด เขาก็มีความประทับใจ เพราะนาฬิกาเรือนเก่ามันเดินได้อีกครั้ง เหมือนเขามีความรู้สึกว่าพ่อยังอยู่กับเขา
เริ่มจากการสังเกต แล้วต้องชอบด้วย ต้องมีสมาธิกับมัน ให้ผมไปอยู่ตรงไหน ผมก็ทำตรงนั้นได้ ให้อยู่กับมอเตอร์ไซค์ก็ซ่อมได้ สิ่งที่ทำให้ออกมาดีคือความตั้งใจ และความคิดว่าเราต้องทำได้ดี ไม่ได้คิดว่ามันคงใช้ได้แหละ ไม่ได้คิดอย่างนั้น"
สังเกตที่ข้อมือของชายหนุ่มผู้หลงใหลนาฬิกาคนนี้ กลับดูโล่งๆ ไม่มีเครื่องประดับใดๆ ให้เห็น จึงอดถามไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงไม่สวมนาฬิกา พอถูกถามเขาถึงเล่าว่าจริงๆ มีนาฬิกาที่เป็นแบรนด์ และซื้อด้วยตนเองอยู่หนึ่งเรือน แต่ไม่ค่อยใส่เพราะกลัวว่าจะดูเวอร์เกินไป
"ผมชอบนาฬิกามากจนไม่กล้าใส่นาฬิกาแฟชั่น เพราะว่าตัวเรือนมันเป็นพลาสติก ข้างในเป็นเครื่องปั๊ม เสียแล้วเสียเลย ผมก็อยากใส่นาฬิกาแบรนด์ที่มันแพงๆ เพราะว่าทำจากวัสดุที่มันมีราคา อย่างกระจกนาฬิกาแฟชั่นจะใช้แก้วหรือพลาสติก นาฬิกาแบรนด์จะใช้แซฟไฟร์ เป็นน้องๆ เพชร เพชรนี่มีสีเดียว แต่แซฟไฟร์มี 7 สี มันก็มีความทนทานเหมือนกัน กันรอยขูดขีด เอาไปถูกับถนนมันก็ไม่เป็นไร ตัวเรือนบางทีก็ทำจากทองคำขาว หรือทำจากโลหะที่เขาใช้ทำหัวเครื่องบิน ซึ่งตรงนี้มันจะมีราคาแพง มีความทนทาน น้ำหนักเบา
นาฬิกาแบรนด์มีอยู่เรือนเดียวครับ เป็นเรือนที่เรารัก และซื้อเอง ยี่ห้อ TAG HEUER ตอนนี้เก็บไว้ไม่กล้าใส่ จะว่าแพงก็แพง มันเป็นเรือนแรกของผมด้วย ถามว่าสะสมไหม ไม่สะสม แต่ชอบดู นาฬิกาเก่าๆ ก็มีบ้าง เวลาเราใส่ไปเจอเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ไม่ใช่นักแสดง มันจะดูหรูไง เขาถามว่าเท่าไหร่ เราก็บอกว่า 4-5 หมื่น เขาก็ร้องอู้หู! เราก็เลยไม่ใส่ดีกว่า เวลาไปหาเพื่อนมันจะได้ไม่ดูเว่อร์ ทุกวันนี้ก็ใส่ไซโก อยากแนะนำหน่อยใครที่อยากได้นาฬิกากันน้ำลุยๆ แนะนำคาสิโอ ถือเป็นเจ้าพ่อนาฬิกากันน้ำเลย"
ข้อคิดดีๆ จากนาฬิกา
การได้คลุกคลีอยู่กับนาฬิกา ด้วยความเป็นคนช่างสังเกต ประกอบกับเป็นคนคิดเยอะทุกรายละเอียด เขาก็ยังสามารถนำหลักคิดจากการซ่อมนาฬิกามาปรับใช้กับการใช้ชีวิตประจำวันได้ด้วย
"เอาแค่ประโยคเดียวนะ แค่ฝุ่นเม็ดเดียวก็ทำให้นาฬิกาหยุดเดินได้ เปรียบเทียบกับมนุษย์เรา เพียงแค่คำพูดลอยๆ ก็ทำให้เสียเพื่อนได้ เหมือนกับฝุ่นเม็ดเล็กๆ แต่ขัดเฟืองอันเดียว ก็ไปไม่เป็นแล้ว เอามาใช้ในชีวิต ทุกอย่างต้องรวมตัวกัน ทุกอย่างมีหน้าที่ มีตำแหน่ง จะเอาไอ้นี่เด่น ไอ้นี่ไม่เด่นไม่ได้ ต้องมีคนพาไป มีคนขับเคลื่อน ถึงจะไปได้
ผมเป็นคนคิดเยอะ เก็บรายละเอียดทุกคน ยิ่งทำงานในวงการนี้ยิ่งต้องระวัง ไม่อยากจะโด่งดังมาก เอาแค่รักษาระดับตรงนี้ ไม่ต้องขึ้นมาก ไม่ต้องลง เราแค่อยากอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ หนึ่งเลยการวางตัวกับเพื่อนๆ รอบข้าง เราต้องเป็นคนรักพี่รักน้อง ปกป้องได้เราต้องปกป้อง ออกตัวได้เราต้องออกตัว อย่างวงการมายา ที่เราเห็นเป็นแบบนี้ ถ้าอะไรไม่ถูกต้องเราก็ต้องแย้ง ไม่ใช่ว่าผสมโรงไปกับเขา เราต้องมีความชัดเจนในการใช้ชีวิตนิดหนึ่ง เวลาจะออกจากบ้านก็ต้องคิดว่าวันนี้เราลืมอะไรไหม ถ้าออกไปแล้วเราจะเจอใคร ถ้าเราคิดว่าเบื่อเจอคน เบื่อถูกถ่ายรูป เดี๋ยวคนมาด่า เดี๋ยวมีอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ออก แค่เราคิดว่าเราออกไป เราเป็นคนสาธารณะ เราเจอคน เราแฮปปี้ เราจะไปตรงที่คนเยอะๆ ไปนั่งกินข้าวตรงไหนก็ได้ ข้างถนนเราก็ไป เราก็โอเค เพราะเราเปิดใจ
แรกๆ บอกตรงๆ เลยว่าอึดอัดครับ วางตัวไม่ถูก พอเข้ามาได้สักพักหนึ่งเราก็เปลี่ยนวิธีคิด ได้คำสอนจากผู้ใหญ่ ก็ทำให้เรารู้ว่าวงการนี้มันอยู่ได้ง่ายๆ เอง ถ้าเรารู้จักวางตัว ทำให้เหมือนเดิมตั้งแต่มาใหม่ๆ จนถึงปัจจุบัน อย่าลืมกำพืด อย่าลืมที่มาที่ไป อย่าลืมตัว นั่นคือสิ่งที่ผมจำ และนำมาใช้จนถึงทุกวันนี้ ได้คำพูดจากผู้ใหญ่มาสอนเอาไว้ แล้วเราจะเดินไปได้สวยอย่างนิ่งๆ"
อัจฉริยะหรือปัญญาอ่อนฯ
"พ็อกเกตบุ๊คเล่มแรก "ผมอัจฉริยะหรือปัญญาอ่อน? พี่น้องคร้าบบบ...” โดย สำนักพิมพ์ บายัญชาน่า หนังสือที่บันทึกเรื่องราวในชีวิตตั้งแต่วันที่ลืมตาดูโลก คำโปรยบนหนังสือก็ชวนให้สงสัยว่าชายคนนี้มีความอัจฉริยะและความปัญญาอ่อนอย่างไร ซึ่งเขาบอกว่าความเป็นอัจฉริยะมาจากการที่เขาสามารถทำในหลายๆ เรื่องที่คนอื่นอาจจะทำไม่ได้ และสามารถทำในสิ่งที่คนอื่นไม่คิดจะทำ
"เริ่มแรกผมคิดเล่นๆ ว่าอยากสร้างหนัง อยากเป็นผู้กำกับ แต่มันต้องเริ่มจากเล็กๆ ก็เลยคุยเพ้อฝันกับเพื่อน เล่าให้ฟังเป็นฉากๆ ไป เพื่อนก็ขำ สร้างเป็นหนังได้แปดเรื่องเลยนะ คือที่เล่าส่วนใหญ่มาจากเรื่องจริง เพื่อนก็บอกว่าลองมาเขียนหนังสือดูไหม เราก็เออๆ น่าจะเขียนนะ อย่างคนทำหนัง ทำละคร เขาก็อยากสื่ออะไรให้คนดูเห็น เราก็อยากเขียนให้คนดูเห็นว่าให้อะไรบ้าง ไม่ใช่เขียนแค่สนุกอย่างเดียว แต่มันมีแง่คิด มีอะไรหลายๆ อย่าง ก็จะเป็นแนวเรื่องราวของชีวิตเรามากกว่า ว่าเราเป็นใครมาอย่างไร เรื่องราวก่อนเข้าวงการ ชีวิตวัยเด็ก มุมมืดเป็นอย่างไร ทำไมถึงเกือบจะเป็นโจร
ความยากง่ายผมว่าอยู่ที่สำนวน ให้มันสอดคล้องกัน อย่างการเล่าเรื่องของน้ำไหลยังไม่เหมือนกันเลย นั่งอยู่ริมฝั่งเห็นน้ำไหลผ่านหน้า ถ้าใช้สำนวนจะเป็น นั่งอยู่ริมฝั่งเห็นสายนที แสงอาทิตย์ระยิบระยับเป็นประกายในน้ำ ซึ่งผมก็กำลังศึกษาเรื่องการใช้คำ การที่จะอธิบายให้มันละเอียดลออ ละมุนละไม ให้มันมีอารมณ์ในคำพูด
ผมจะใช้วิธีพูดก่อน แล้วอัดเอาไว้ ทีนี้พอเอามาถอดฟัง เราก็มีอะไรเพิ่ม ผมว่าเหมือนกับการทำวัดร่องขุ่นเลยนะ มันเป็นโครงร่าง แล้วมามองดูไกลๆ แล้วค่อยๆ เติมๆ ทีละนิด งานเขียนมันเป็นศิลปะชนิดหนึ่ง การใช้ภาษา เราเป็นคนไทย ภาษามันหยิบมาได้ทั่วโลก เราอยากใช้คำอะไรเราใช้ได้หมด นี่คือความได้เปรียบของเรา"
เมื่อถามถึงอีกมุมหนึ่งที่เขาใช้คำว่าปัญญาอ่อนนั้น เขายิ้มกว้างแล้วเริ่มเล่าถึงวีรกรรมซนๆ ตั้งแต่ตอนเด็ก ที่ชอบปีนต้นไม้ขึ้นทำอะไรแปลกๆ จนถึงโตแล้วก็ยังชอบทำอยู่
"ผมจะชอบคิดอะไรที่มันปัญญาอ่อน ผมเคยปีนต้นไม้ไปสานปลาตะเพียน คิดดูสิคนดีๆ เขาจะปีนขึ้นไปไหม ไม่มีใครบอกให้ทำ ไปเอง ไอ้นี่มันบ้าแล้ว อย่างเนี้ย อยากกินมะพร้าวก็ปีนขึ้นไป ผมเป็นคนชอบกินมะม่วง จะซื้อน้ำปลาขวดเล็กๆ แล้วขึ้นไปบนต้นมะม่วงเลย แล้วก็ไปเหยาะใส่ลูกแล้วก็กินจนน้ำปลาหมดถึงลงมา วันไหนไม่มีน้ำปลาก็ทำพริกเกลือไปจากบ้านเลย พูดแล้วน้ำลายไหล ตอนเด็กมีปวดท้องด้วย ปล่อยลงบนต้นไม้เลย (หัวเราะ)”
ชีวิตต้องไม่ประมาท
ชายมาดกวนวัย 35 ปี หลังจากผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาหลากหลายรูปแบบ มีทั้งดีและร้าย เรื่องที่เคยทำผิดพลาดเขาถือเป็นบทเรียน สิ่งหนึ่งที่เขาปฏิบัติอยู่เสมอคือความมีสติ และไม่ประมาท ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ทำให้เขามีวันนี้ได้
"ความฝันของผมมาครึ่งทางแล้ว ฝันว่าอยากมีโรงเรือนเหมือนฝรั่ง มีรถไถ มีอุปกรณ์การเกษตรอยู่ข้างใน มีวัว มีไก่ อยากจะอยู่อย่างนั้น ถ้าผมรวยผมจะทำอย่างนั้น อยากนอนตรงไหนก็นอน อยากกินตรงไหนก็กิน ไม่ต้องตื่นมากินข้าวเช้า 8 โมง ข้าวเที่ยง แล้วก็ข้าวเย็น ไม่เอาอย่างนั้น หิวก็กิน ง่วงก็นอน อยากไปไหนก็ไป
ชีวิตคนเราน่าระวังนะ ความตายมันอยู่แค่ 3 เซนฯ เอง ถ้าเกิดเราเป็นคนชอบดื่มหนัก แล้วเราขับรถ สักวันหนึ่งเราอาจจะพลาด ไม่ตายก็เดี้ยง ถ้าเรามีเงินแล้วเราไม่เก็บก็ไม่เหลือ วันหนึ่งเจ็บป่วยไข้จะลำบาก เพราะฉะนั้นชีวิตต้องระวัง ชีวิตไม่ใช่การต่อสู้อย่างเดียว มันต้องทั้งรุก และรับ ชีวิตคุณต่อสู้ได้ แต่ก็ต้องหลบบ้าง ในบางมุม ไม่ใช่หลับหูหลับตาสู้ คุณต้องดูว่ากำลังสู้กับอะไร สู้กับตัวเอง สู้กับสังคม ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการอะไร ถ้าคุณไม่ต้องการอะไร แค่มีข้าวกิน มีแผ่นดินอยู่ เท่านี้คุณก็ไม่ต้องการอะไรเยอะ อยากเป็นอะไรก็ให้ไปทางนั้น
ตอนนี้ผมก็ปรึกษากับพี่นก ผู้กำกับเป็นต่อ บอกเขาว่าพี่ครับผมอยากเป็นผู้ช่วยจังเลย เพื่อผมจะได้ไต่เต้ามาเป็นผู้กำกับ เขาก็โอเค เขาให้เริ่มจากการเขียนบท เขาว่าเราน่าเขียนบทได้ดี อย่างที่ผมบอก อยากไปอย่างไร ให้ไปทางนั้น อยากทำอะไรก็ต้องศึกษาเรื่องนั้นอย่างจริงๆ จังๆ”
เขาย้ำเรื่องการใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ใช้ชีวิตบนความไม่ประมาทดีที่สุดเลย คนประมาทพลาดมาเยอะ ไม่ต้องประมาทกับชีวิตหรอก แค่ประมาทเรื่องไปเที่ยว อย่างเล่นปืน ถ้าไม่เป็นแล้วประมาท โป้งป้างขึ้นมา เรื่องประมาทผมก็เคยมีมาเยอะ ในหนังสือผมก็มีให้อ่าน ถ้ารู้ว่าทางที่เราเดิน ผลลัพธ์ที่ออกมามันเละแน่ๆ พยายามอย่าใช้ความเครียด อย่าใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา ใช้สติ แล้วก็เชื่อผู้ใหญ่บ้าง เอาความคิดของเรามาบวกกัน จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้ใหญ่มีประสบการณ์มากกว่าเราแล้วมันจริง คนรุ่นใหม่ ไม่ค่อยเชื่อคนที่มีประสบการณ์ สี่เท้ายังรู้พลาดน่ะมีจริง ทำอะไรต้องหาเหตุและหาผล
จริงๆ ผมเป็นคนไม่ประมาทเลยนะ เราติ๊งต๊องก็จริง แต่เรารู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าภายในความติ๊งต๊องน่ะมันมีอะไร สุดท้ายนี้ผมอยากฝากละครเป็นต่อว่าต่อไปจะไปอยู่ในรูปแบบไหน เราก็บอกไม่ได้เหมือนกัน"
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย พงษ์ศักดิ์ ขวัญเนตร