"มิ้น-ภรภัทรา ทวีพันธุรัตน์" สาวน้อยหน้าเก๋ วัย 16 ปี เธอก้าวกระโดดเข้าสู่วงการนางแบบโดยใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปี จากการประกวดเวทีสุดยอดนางแบบระดับประเทศ และด้วยบุคลิกที่โดดเด่น เป็นตัวของตัวเอง มีความมั่นใจสูง ล่าสุดเธอสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยด้วยการคว้ารางวัล "The Supermodel Asia Beauty Contest 2011" ที่ประเทศญี่ปุ่น ดูจากความตั้งใจของเธอแล้ว บวกกับเธอมีคุณพ่อซึ่งเป็นแรงผลักดัน และเป็นกำลังใจคอยเคียงข้างเชื่อว่าอนาคต Top Model คงไม่ไกลเกินฝัน
ภาพแรกที่เห็นเธอดูเป็นสาวที่มีบุคลิกมาดมั่น ใบหน้านิ่งๆ แต่เวลายิ้มแล้วน่ารัก รูปร่างผอมสูง ช่วงขาเรียวยาวสวย ผิวขาวๆ บวกกับหุ่นสวยๆ ของเธอ ทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ชวนให้เหลียวมอง แม้ว่าภายนอกจะดูเป็นสาวสะพรั่งแต่เมื่อได้สัมผัสตัวตนของเธอกลับรู้สึกว่าเธอยังคงเป็นเด็กสาว ม.ปลาย ที่ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไป เพียงแต่เธอมีอาชีพนางแบบพ่วงอีกหนึ่งตำแหน่ง ซึ่งทำให้เธอต้องมีความรับผิดชอบ และมีความคิดอ่านที่โตกว่าเด็กวัยเดียวกัน
พ่อสั่งลุย
ฉายแววนางแบบตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่รูปร่างผอมสูง เวลาเดินไปไหนก็มีแต่คนทักว่าหุ่นนางแบบ บวกกับความเป็นกล้าแสดงออก มีความมั่นใจ จึงทำให้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่เห็นว่าลูกสาวน่าจะเป็นนางแบบได้ คนที่มีส่วนสำคัญ และเป็นแรงผลักดันให้เธอก้าวสู่วงการนางแบบอย่างเต็มตัวก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล คุณพ่อของเธอนี่เอง เป็นคนหาข้อมูลเรื่องเวทีการประกวด พาไปถ่ายรูป และเป็นคนส่งใบสมัครให้ลูกสาว
"ตอนเด็กๆ จะเป็นคนสูง ผอม คนก็จะทักกันว่าน่าจะไปเป็นนางแบบนะ แล้วคุณพ่อจะชอบมากอะไรที่เกี่ยวกับการประกวด ตอนประกวดครั้งแรกคุณพ่อก็เป็นคนชักชวนว่าไปประกวดเถอะ เราก็บอกว่าไม่ไปหรอก มันคงไม่ได้ เพราะตอนนั้นอายุ 15 เอง ยังทำอะไรไม่เป็น แต่คุณพ่อก็แอบส่งใบสมัครให้เราแล้ว
มีอยู่วันหนึ่งเรากำลังนอนอยู่ คุณพ่อก็มาปลุก บอกว่าไปประกวด Thai Supermodel กัน เราก็บอกว่าประกวดอะไร ไม่ไปหรอก เราคงไม่ได้ คุณพ่อก็บอกให้ไปลองดูครั้งหนึ่ง วันประกวดเรายังไม่รู้เลย วันนั้นมีสอบด้วย พอสอบเสร็จก็ไปทั้งชุดนักเรียนเลยตอนนั้นเป็นการประกวดรอบแรก ปรากฎว่าเราผ่าน คุณพ่อก็บอกว่าเห็นไหมว่าได้ คือทั้งคุณพ่อและคุณแม่จะคอยผลักดัน คอยแนะนำ เขาอยากให้เราทำงานตรงนี้ด้วย"
สุดยอดนางแบบระดับเอเชีย
จากการที่เคยประกวดเวทีใหญ่ระดับประเทศตั้งแต่อายุ 15 หลังจากนั้นก็มีงานเดินแบบตลอด ทำให้เธอได้เปรียบในเรื่องของการเดิน การโพส และความมั่นใจบนเวที เพียงระยะเวลาแค่ 1 ปี ด้วยความตั้งใจ ขยันซ้อม เธอมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว จนก้าวไปสู่ความเป็นสุดยอดนางแบบระดับเอเชีย
"เริ่มประกวดเวทีนางแบบครั้งแรกปีที่แล้ว Thai Supermodel 2010 ช่อง 7 เข้ารอบ 10 คนสุดท้าย แล้วก็ได้รางวัลพิเศษ หลังจากการประกวดก็มีผู้ใหญ่เรียกไปทำงานเดินแบบเรื่อยๆ ค่ะ แต่ไม่ได้เซ็นสัญญาอะไร ช่วงนั้นยังใส่เหล็กดัดฟันอยู่ ก็มีเพื่อนชวนไปประกวดสาวดัดฟัน ของฟูโอคาริล ได้รางวัลที่ 1 แล้วก็มาประกวดเวทีนางแบบอีกหนึ่งเวที The Look Supermodel Search 2011 ได้รางวัลที่ 1 นี่เราก็เพิ่งกลับมาจากประกวดเวที The Supermodel Asia Beauty Contest 2011 ที่ญี่ปุ่น ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ก็เป็นรางวัลที่รู้สึกภูมิใจมากค่ะ
ประสบการณ์จากเวที Thai Supermodel ก็ทำให้เรารู้สึกว่าเจนเวที ไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะตอนประกวดเขามีสอนเดินอยู่แล้วค่ะ จากที่เราไม่เป็นก็เริ่มเป็น แล้วก็มีรับงานเดินแบบบ้าง เราก็เป็นเรื่อยๆ ถ้าเทียบกับคนที่ไม่เคยเจองานตรงนี้ เราก็ถือว่ามีประสบการณ์ ก็จะแชร์ประสบการณ์กับคนอื่น เหมือนช่วยเหลือกัน
การประกวดมันเหมือนการเปิดโอกาสให้ตัวเองมากขึ้น แล้วยิ่งได้ไปต่างประเทศ พอกลับมาคนก็พูดถึง เราได้รางวัลใหญ่กลับมาคนก็ชื่นชม ก็ทำให้คนรู้จัก แล้วก็เห็นหน้าเรามากขึ้น การประกวดที่ต่างประเทศรู้สึกว่าแตกต่างจากที่ไทยมาก ที่ไทยจะนัดเช้า เดินเย็น แต่ที่ญี่ปุ่นจะทำงานกันเร็วมาก นัดมาแล้วเดินเลย ไม่มีการรอเท่าไหร่ เขาจะไม่ค่อยซีเรียสกับการซ้อม เดินผิดไม่เป็นไร เขาอยากให้ทุกคนเป็นตัวของตัวเอง แต่ที่ไทยจะซีเรียสมาก ต้องเดินเป๊ะ ซ้อมกันเป็นวัน
เรามองว่านางแบบญี่ปุ่นจะได้เปรียบที่ผิว แล้วหน้าเขาจะดูอินเตอร์ แต่เราว่านางแบบไทยหุ่นดีกว่านะ เพราะคนญี่ปุ่นส่วนมากจะตัวเล็ก น่ารักๆ แต่นางแบบไทยถ้าดูก็รู้ว่าคนไทย หุ่นสวย ดูแข็งแรง เรามองว่านางแบบเกาหลีก็เด่น คือเขาสวยมาก แต่ที่เขาไม่ได้รางวัลอาจจะเป็นเพราะเขาทำบนเวทีได้ไม่ดี นางแบบเอเชียส่วนใหญ่การเดินคล้ายกันมาก อาจจะต่างกันที่รูปร่างหน้าตา”
โกอินเตอร์ไม่ง่าย
ถึงจะมีความมั่นใจในระดับหนึ่งแต่พอไปเจอนางแบบต่างชาติจากหลายๆ เวที ทำให้สาวมิ้นถึงกับบอกว่ามีความกดดันสูงมาก แต่ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ซึ่งจากความตั้งใจ และความอดทนทั้งหมดของเธอก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะเธอสามารถคว้ารางวัลใหญ่บนเวทีสุดยอดนางแบบระดับเอเชียมาครอง
“การแข่งขันที่นู่นก็แข่งขันกันสูงนะคะ ตอนเราไปก็กดดันมาก เหมือนเจอคนที่มีประสบการณ์มาอยู่รวมกัน แล้วเราไม่ค่อยพูดกับใครเท่าไหร่ เขาไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษกันด้วย พูดแต่ภาษาญี่ปุ่น เราก็ฟังไม่รู้เรื่อง เขาจะไม่มานั่งบอกว่าต้องทำอะไร เราก็ต้องตั้งใจฟัง จะไม่เหมือนที่ไทย ไม่มีมาช่วยกัน เขาก็จะดูแลตัวเขาเอง แต่ที่ไทยจะช่วยกัน มีอะไรก็ถามกันได้
ตอนได้รางวัลก็ฟังไม่รู้เรื่อง ได้ยินชื่อตัวเอง กับไทยแลนด์ เราก็ขึ้นไปรับรางวัล ก็ดีใจ ซึ้ง น้ำตาจะไหล แต่ก็ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ แม่โทร. มาเราก็บอกว่าได้ที่ 2 แล้วก็วางสายไป ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ ตอนนั้นอยากกลับบ้านอย่างเดียว แม่ก็งงว่าไม่ตื่นเต้นเลยเหรอ สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่าได้รองอันดับหนึ่ง เก่งแล้ว แต่เรามองว่าเสียดายได้ไปทั้งที คือเราก็มีความมั่นใจระดับหนึ่ง คิดเอาไว้ว่าต้องได้สักรางวัลอยู่แล้ว ชุดประจำชาติของเราก็สวยมาก ได้รางวัลนี้ก็ดีมากแล้ว กลับมาไทยก็มีคนชมว่าอายุแค่นี้ไปได้เท่านี้ก็โอเคแล้ว เราถึงเริ่มรู้สึกภูมิใจ
จริงๆ แค่เราเป็นนางแบบคนเดียว เป็นตัวแทนของไทยได้ไปที่นู่นก็รู้สึกดีมากๆ แล้ว มันเป็นโอกาสดีที่สุดในชีวิต แล้วยิ่งได้รางวัลกลับมา มีคนเอาดอกไม้มาแสดงความยินดี มีคนชมว่าเก่งมาก เราก็รู้สึกว่าภูมิใจ ตอนที่เขาถามบนเวทีว่ารู้สึกอย่างไรกับรางวัลที่ได้รับ เราก็ตอบว่ารู้สึกภูมิใจ ที่เราได้เป็นตัวแทนคนไทยมาสร้างชื่อเสียง อย่างน้อยก็มีชื่อเราได้รางวัลอยู่ในการประกวดครั้งนี้ ตอนประกวดมิ้นว่ามิ้นเป็นตัวเองมากเลยนะ ก็คิดว่าน่าจะเป็นองค์ประกอบหนึ่ง ชุดประจำชาติของเราสวยมาก มีเครื่องประดับอลังการ คนต่างชาติก็จะมองว่า โอโห! ชุดสวย เราก็คิดว่าชุดไทยทำให้คนสะดุดตาด้วย”
สร้างจุดเด่นด้วยการเดิน
ความโดดเด่นของสาวน้อยคนนี้อาจจะไม่ได้อยู่ที่หน้าตา เพราะนางแบบไม่ได้เน้นเรื่องหน้าตาสวย ความเด่นของเธออยู่ที่ความเป็นตัวของตัวเอง ความโดดเด่นในการโพส กล้าแสดงออก และมีความคิดสร้างสรรค์ที่จะทำอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอด
“ถ้าถามว่าที่เราได้รางวัลเพราะอะไร ทุกวันนี้ก็ยังงงอยู่ว่าเราได้เพราะอะไร (หัวเราะ) คิดว่าเขาอาจชอบอะไรในตัวเราสักอย่างหนึ่ง ส่วนตัวคิดว่าเพราะการเดินนะ เวลาเดินออกมาจะรู้ว่าเป็นคนนี้ ชื่อนี้นะ คือแต่ละคนจะมีสไตล์การเดินไม่เหมือนกัน เขาอาจจะชอบสไตล์การเดิน หรือการโพสแบบเรา ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องหน้าตานะ เพราะว่านางแบบไม่เน้นหน้าตาสวยเท่าไหร่
เวลาเดินเราจะพยายามเดินให้แปลกกว่าคนอื่น มีหมุนบ้าง เราก็พยายามสร้างจุดเด่นตรงนั้นมากกว่า ก็มีคนชมว่าเดินเท่ คนภายนอกอาจจะมองนางแบบแค่โพสท่า เดินไป เดินกลับ แต่จริงๆ นางแบบจะต้องพรีเซนต์ชุดที่ใส่ออกมา การที่เราได้ลองเดินหลายๆ เวที ได้ลองชุดหลายๆ แบบ เราก็จะเรียนรู้ว่าถ้าใส่ชุดแบบนี้จะโพสท่าเท้าเอวไม่ได้นะ ต้องทำยังไงให้ดูสวย ดูเท่
สไตล์ลิสต์ก็จะสอนว่าควรจะพรางหุ่นอย่างไร ตรงไหนที่เราด้อย อย่างเราต้องเดินชุดว่ายน้ำ ก็ต้องหาพรางจุดด้อยของตัวเอง ต้องหาท่าทางการโพสให้ดูดีที่สุด”
“ความเชื่อ” ทำให้เดินสวย
อีกหนึ่งเคล็ดลับที่ทำให้สาวมิ้นทำงานได้ดีทุกครั้งคือความเชื่อ เมื่อมีความเชื่อแล้วไม่ว่าจะกังวลเรื่องอะไรอยู่ ก็สามารถใช้ความเชื่อทำให้เธอสามารถแสดงออกมาดีได้
“มันอยู่ที่ความเชื่อนะ ถ้าเราเชื่อในตัวเองเราก็ทำทุกอย่างออกมาดูดี เชื่อในเสื้อผ้า เชื่อในสไตล์ลิสต์ เชื่อในทีมงานว่าเขาต้องทำทุกอย่างออกมาดูดี เชื่อว่าเราทำได้แล้วมันก็จะออกมาดีเอง มั่นใจในตัวเองเยอะๆ แล้วเราก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ มองดูรุ่นพี่ว่าเขาทำยังไง เขาก็จะสอน เราก็ต้องจำแล้วไปทำ ซึ่งมันก็ใช้ได้จริงๆ
เริ่มจากตัวเราเองก่อน ถ้าเราคิดว่างานนี้เราไม่มั่นใจเลย มันก็จะออกมาไม่ดีเลยนะ อย่างน้อยสีหน้า มันก็กังวล เราต้องเชื่อ ซ้อมเยอะๆ ก็ได้ ทำยังไงก็ได้ให้รู้สึกชอบ รู้สึกมั่นใจว่าออกไปแล้วต้องดูดี หน้าเราก็จะออกมาดี”
แน่นอนว่าเรื่องความกดดัน หรือเรื่องเครียดๆ หลังเวทีก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดาของงานที่ต้องเจอคนเยอะ ต้องเจออะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
“เรื่องเสียความมั่นใจ เป็นบ่อยค่ะ ด้วยความที่เราไปทำงานคนเดียว แล้วไปเจอทุกคนเขาเป็น ท็อปโมเดล ระดับพี่โย พี่ลูกเกด เต็มเลย แล้วมีเราคนเดียวที่เป็นรุ่นเด็กน่ะ เราก็ไม่รู้ว่าเราหลง เข้าไปอยู่ในงานนั้นได้ยังไง แล้วเราเครียดมาก มันเป็นงานใหญ่ เป็นงานเครื่องเพชร แล้วเราก็ไม่เคยเดินแบบนี้ เราก็ไม่รู้ว่าโพสออกมา จะโชว์ยังไง กดดันมากงานนั้น แล้วเดินดึก นัด 3 โมง เดิน 5 ทุ่ม เรานั่งอยู่คนเดียว คิดว่าจะทำยังไงดี กดดัน จนทุกคนเดินมาบอกว่าไม่เป็นไรนะ ทำได้ หน้าเราเสียไปแล้ว คิดว่าทำไม่ได้แน่เลย แต่พอผ่านไปได้ก็คิดว่ามันเป็นงานหนึ่งที่เป็นโปรไฟล์ที่ดีมากเลย
เราก็คิดว่าถ้าเราทำออกมาไม่ดี คนที่เรียกเรามาทำงานก็จะผิดหวังด้วย เราก็อยากให้เขาชื่นชมในตัวเรา แล้วก็อยากให้เขาเรียกเราไปทำงานอีก เราคิดอย่างเดียวว่าถึงจะไม่มั่นใจยังไงก็ต้องเดินออกมาให้ดีที่สุด”
ความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น
งานในวงการถึงเหนื่อยแต่ก็สนุก และความที่ยังเป็นนักเรียนเธอก็ยังมีหน้าเรียน หน้าที่สอบ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ ถ้าเธออยากทำให้ดีก็ต้องทำให้ตัวเองมีความรับผิดชอบ และมีความอดทนเพิ่มมากขึ้น
“ทำงานตรงนี้มันก็เหนื่อย แต่ก็เป็นความโชคดี เพราะมีคนอีกมากที่อยากจะเข้ามาทำงานตรงนี้ แล้วไม่ได้เข้ามา ทำให้เรามีเพื่อนมากขึ้น รู้จักคนมากขึ้น ฝึกตัวเองให้มีวินัย งานพวกนี้มันอิสระ แต่ก็ต้องดูแลตัวเองตลอดเวลา เราชอบเดินแบบนะ แต่ถ้ามีงานอื่นติดต่อเข้ามาเราก็สนใจอยากลองทำทุกๆ อย่าง
นางแบบที่เป็นไอดอลของมิ้นก็จะมีเคต มอส ชอบสไตล์แต่งตัว ถ้าเป็นคนไทยจะชื่นชมพี่ลูกเกด พี่ลูกหมี เคยเดินแบบกับพี่เขา แล้วเขาน่ารักมาก เห็นเราเป็นน้องคนหนึ่งซึ่งอายุการทำงานต่างกันมาก ตอนนี้ไปไหนไม่เคยเจอใครที่เป็นเด็กกว่าเราเลย เราน้องสุดแล้ว ทุกคนจะเรียกน้อง คนจะแซว รู้สึกว่าเราอ่อนมาก แต่เขาก็คุยกับเรา เป็นกันเอง สิ่งที่สัมผัสได้คือเขาเป็นมืออาชีพมาก เขาเก่งมาก ได้อะไรก็สามารถพรีเซนต์ออกมาได้ดูดี คือเห็นแล้วเราอยากเป็นเหมือนพี่เขา หวังไว้ว่าสักวันหนึ่งถ้าเป็นได้อย่างนั้นก็คงจะสุดยอด
การทำงานเราก็ตั้งใจระดับหนึ่ง คือมีสมาธิ เราไม่ได้คิดว่าเราทำแค่งานนี้ เผื่อมีคนมาเห็นเขาก็อยากเรียกเราไปทำงาน เราพยายามเต็มที่กับทุกงาน ไม่ว่างานนั้นเราจะเสียความมั่นใจเรื่องทรงผม เรื่องการแต่งหน้า จะทำหน้ายังไงดี เราก็พยายามทำให้ออกมาดูดีที่สุด ส่องกระจกตลอด คอยโพส ต้องเตรียมพร้อม ไม่ใช่ไปเอาข้างหน้าแล้วอะไรก็ได้”
ขยันซ้อม ขยันเดิน
เห็นบนเวทีเธอดูสวย เดินดี มีความมั่นใจ แต่กว่าจะเดินแบบได้อย่างทุกวันนี้เธอต้องผ่านการซ้อม และดูแลตัวเองอย่างหนัก “วงการนี้ถ้าไม่ได้มาสัมผัสจริงจะไม่รู้เลย มองข้างนอกมันดูง่าย แต่จริงๆ มันกดดัน มันเครียดตลอดเวลา มีการแข่งขันกันสูงด้วย เราเห็นเขาเดินเก่งกันหมดเลย แล้วเราล่ะเดินเป็นยังไง มันเปรียบเทียบ คิดไปเองว่าถ้าทำออกมาไม่ดี คนเขาก็จะมองว่าแย่ เราเครียดมากเลยว่าจะเดินออกมาเป็นยังไง จะดูดีหรือเปล่า ต้องคอยถามพี่ตลอด พอเดินเสร็จต้องถามว่าเดินเป็นยังไง เราเครียด เพราะเรากลัวว่าจะเดินออกมาไม่ดี แต่พอเดินเสร็จก็โล่ง
ถ้าว่างก็จะซ้อมเดินตลอด มีอะไรตักตวงได้เราก็เก็บไว้หมด ไม่ใช่ทำมาแล้วไม่สนใจ ถ้ามีความรู้ใหม่ๆ เราก็เอามาใช้ตลอด พยายามทำให้ดีที่สุด แรกๆ ก็เริ่มจากมองคนอื่นก่อน มีดูในทีวี ลองฝึกเดินหน้าทีวีเลย ให้พ่อแม่ช่วยดู แม่จะคอยบอก เร็วไป ช้าไป เดินไม่ดีแม่ก็จะบอกตรงๆ เราก็ฝึกมาเรื่อยๆ ซ้อมเรื่อยๆ ยิ่งตอนประกวด Thai Supermodel นี่ซ้อมทุกวัน จนเท้าเป็นห้อเลือด หนักมาก”
ผิวสวยฉบับคุณแม่จัดให้
เห็นผิวขาวๆ สวยๆ อย่างนี้ เธอบอกว่าเป็นเพราะคุณแม่คอยจัดแจงดูแล ขัดผิวให้มาตั้งแต่เด็ก จริงๆ แล้วเธอเป็นคนไม่ค่อยชอบดูแลตัวเองเลย ถ้าไม่มีคุณแม่ช่วยดูแลผิวเธอคงไม่สวยแบบนี้
“มิ้นเป็นคนขี้เกียจทาครีมมาก ไม่ห่วงสวย ไม่ดูแลตัวเองอย่างแรง ตอนเด็กๆ พ่อแม่ก็จะทาครีมให้ มีแต่คนบอกว่าถ้าไม่มีแม่ก็คงไม่เป็นอย่างนี้หรอก คงตัวดำเป็นถ่านแล้ว เพราะเราไม่ดูแลตัวเองเลย แม่เป็นช่างเสริมสวยด้วย เขาก็จะชอบให้เราขัดตัว เวลาไปไหน เรื่องผิวเรื่องผมแม่ทำให้หมด ขัดตัว ขัดหน้า ดูแลทุกสิ่งในตัว แต่เราไม่ค่อยชอบทำ เวลานั่งทำอะไรนานๆ มันน่าเบื่อ
ที่เราไม่อ้วนก็อาจจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์ด้วย พ่อและพี่ชายจะผอม สูง แล้วเราก็ชอบว่ายน้ำ ชอบกินผลไม้ตั้งแต่เด็ก ก็อาจจะทำให้เราไม่อ้วน ผิวดี แต่จริงๆ กินเก่งมาก แต่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน มันก็โชคดีไป
ตอนประกวด แม่ก็ให้รัดสเตย์ อาหารที่กินไปทั้งหมดมันจะไปอยู่ที่พุง ไม่ค่อยมีเอว แล้วช่วงนั้นต้องใส่ชุดว่ายน้ำ ต้องซิตอัพทุกคืนวันละ 80-100 ครั้ง แล้วตัวจะปวดๆ ตัวแทบขาด รัดสเตย์มันเห็นผล ว่าเอวคอดลง ลดแป้ง ลดมื้อเย็น จะช่วยได้เยอะ”
สูตรผิวขาวสวยที่คุณแม่ใช้ขัดตัวให้ลูกสาวก็เป็นสูตรสมุนไพรแบบง่ายๆ ทำเองได้ที่บ้าน ไม่ต้องไปสปาที่ไหน ส่วนผสมก็จะมีผงขัดผิว (สมุนไพร) โยเกิร์ต น้ำมะนาว มะขามเปียก นมสด สูตรนี้ช่วยให้ผิวขาว เนียนใส ถ้าผิวแห้งก็ใส่น้ำผึ้งไปนิดหนึ่ง ขัดประมาณสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
“เมื่อก่อนเราไม่ขาวขนาดนี้นะ มะขามเปียกช่วยได้เยอะ เราคิดว่าผิวเรายังเป็นผิวเด็กอยู่ คงไม่เป็นไรมั๊ง แต่เรื่องเครื่องสำอางชอบซื้อ เราตั้งใจกับการแต่งหน้าทำผมมากกว่าการดูแล การทาครีม
เราชอบแต่งหน้า อยากแต่งหน้าเก่งๆ เวลาช่างแต่งหน้าแต่งให้ก็จะชอบถาม เฉดดิ้งช่วยหน้าเรียว เราก็ไปซื้อบ้าง เอามาลองทำ เวลาไปงานบางคนก็จ้างช่างมาแต่งหน้าให้ แต่เราไม่เคย ก็แต่งเอง ยิ่งฝึกแต่งไปเรื่อยๆ ก็เป็นเร็ว ดูในยูทูบ เราจะไม่ค่อยแต่งมาก ตาจะไม่ทาเลย แต่จะเขียนขอบตาข้างล่างเยอะๆ ให้ตาดำ ชอบทาปากสีเข้ม เน้นไฮไลท์ เฉดดิ้ง ช่วยหน้าเรียว จมูกโด่ง ส่วนเรื่องการแต่งตัวเป็นคนไม่ค่อยซื้อเสื้อผ้าเอง แม่จะเป็นคนซื้อ ชอบใส่ขาสั้น รองเท้าเตะ เซอร์ๆ ไม่ค่อยแต่งสวยเท่าไหร่ เวลาว่างก็นอน เล่นเกมส์ เล่นคอม ชอบอยู่บ้านพักผ่อน”
ฝันอยากเป็น Top Model
ทุกวันนี้ความตั้งใจและความสามารถของสาวคนนี้เต็มร้อย แต่ด้วยความที่ยังมีหน้าที่เรียน ก็ยังเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ทำให้รับงานไปด้วยค่อนข้างลำบาก ส่วนอนาคตความฝันของเธอก็คืออยากพัฒนาตัวเองให้เก่งและดูดีเป็นนางแบบระดับแถวหน้าในวงการ
“ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยก็ลำบากมาก เพราะโรงเรียนไม่สนับสนุน ไม่ให้หยุดเลย ต้องเรียนให้ครบ เราจะไม่ค่อยรับงานวันธรรมดา ยังรับงานไม่เต็มที่ ถ้านัดบ่ายก็ไป เหนื่อยมาก...บ้านไกลโรงเรียนด้วย ตื่นเช้า กว่าจะได้นอน เราก็ได้แต่บ่น เหนื่อย อยากเป็นแบบเพื่อน เที่ยวเล่น กิน นอน ปีหน้าก็ต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็อยากเรียนศิลปกรรม ม. ธรรมศาสตร์ อยากเรียนเกี่ยวกับศิลปะ การแสดง
ทุกวันนี้เรารับงานเองด้วย ทำให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น พอรับงานแล้วก็รีบบอกแม่ กลัวลืม งานแบบนี้สายนิดเดียวก็ไม่ได้ ในหัวมีหลายอย่างมาก รับงาน ทำนี่ ทำนั่น ที่เราต้องรับงานเอง เพราะแม่จะไม่รู้ว่างานไหนเราอยากทำ ถ้าว่าง ส่วนใหญ่ก็รับทุกงานอยู่แล้ว
เวลารับงานจะเลือกรับงานกับพี่ที่รู้จัก ถ้ามาติดต่อเอง ขอเบอร์จะติดต่องาน บอกว่ารู้จักกับพี่คนนี้ เราก็จะไปถามว่ารู้จักกันจริงไหม ดีกว่ารับงานกับคนที่ไม่รู้จัก เรื่องค่าตัวก็ชินแล้ว จะหักเท่าไหร่ก็ไม่บอก กับเจอทำงานเหนื่อยแต่ไม่มีข้าวกิน เจอหลายรูปแบบเราก็พูดไม่ได้ ก็ต้องยิ้ม ไม่เป็นไร อดทน ตอนนี้ก็รู้มากขึ้นเยอะ อนาคตอยากทำงานเดินแบบไปเรื่อยๆ อยากเป็นท็อปโมเดล มีรุ่นน้องมามองเรา เหมือนที่เราอยากเป็นแบบเขา เป็นคนเก่งๆ ระดับแนวหน้า”
“พ่อสนับสนุน เป็นคนชักนำ คอยให้กำลังใจ ช่วยให้เราเหนื่อยน้อยที่สุด แต่เวลาทำงานเขาก็ไม่ได้เข้ามาช่วยได้อยู่แล้ว บางทีเราเหนื่อยมากๆ พอได้พูดกับพ่อก็รู้สึกดีขึ้น พ่อเป็นคนใจดี ไม่ค่อยว่าเราเท่าไหร่ รับฟัง คอยช่วยเต็มที่ บางทีมีงานที่โรงเรียนเราไม่มีวเลาทำพ่อก็จะช่วย เมื่อก่อนพ่อชอบเสียงดัง หลังๆ เขาก็ใจเย็นขึ้น เปลี่ยนไปเลย พอทำงานก็มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ไปรับ-ส่ง ก็คุยกันในรถตลอด ทำให้สนิทกันมากขึ้น
พ่อเป็นผู้ชายอบอุ่น นิสัยดี เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ใจดีมาก เข้าใจทุกเรื่อง เรื่องที่เราผิด เขาก็ไม่โกรธ ให้อภัย ด้วยความที่เราเป็นเด็ก มีทำผิดระเบียบ เขาก็เข้าใจว่าเป็นไปตามวัย ไม่ทำให้เราเครียด พ่อกับแม่เป็นตัวอย่างให้เราเรื่องความกตัญญู เราเห็นเขาเป็นแบบอย่างเราก็คิดว่าเราต้องทำให้ได้แบบนั้นเหมือนกัน วันพ่อก็ไปกินข้าวกันทุกปี เราก็อายที่จะทำอะไรหวานๆ ก็พยายามทำให้รู้ว่ายังไงเราก็รักเค้าอยู่ดี”
ป๋าดันตัวจริง
คุณพ่อ "พิชัย ทวีพันธุรัตน์” ผู้เปรียบเสมือนเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งผู้ปกครอง คอยรับฟัง และคอยช่วยเหลือลูกสาวมาตลอด เขาเล่าถึงวิธีการเลี้ยงลูกแบบสมัยใหม่ว่าเลี้ยงเด็กวัยรุ่นในยุคที่เทคโนโลยีและสังคมเปิดกว้างเช่นนี้ค่อนข้างยาก ต้องใช้ความอดทน และปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เข้าใจวัยรุ่นสมัยนี้มากขึ้น เรียกว่าเลี้ยงลูกแบบให้อิสระ แต่ไม่ละเลย
"เราเคยคุยลูกแล้วเห็นว่าเขาชอบทางด้านนี้ด้วย เราก็เห็นแวว ก็คิดว่าเราน่าจะส่งประกวดเองดีกว่าให้โมเดลลิ่งส่ง เวที The Look SuperModel Search 2011 นี่พ่อก็เป็นคนเสิร์ชหาดู ดาวน์โหลดใบสมัคร เป็นคนหารูป เป็นคนส่งใบสมัคร ทำให้หมด ให้น้องเขากรอกเอกสารอย่างเดียว วันแคสลูกยังไม่รู้เลย
ตั้งแต่ประกวดครั้งแรก พ่อแม่ไม่เคยคิดเลยนะว่าน้องจะมาได้ถึงขนาดนี้ แค่อยากให้เขาได้ลองมีประสบการณ์ ตัวเราก็ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่เขาก็ผ่านไปจนได้ แล้วเราก็เป็นคนนำพาให้เขาเข้ามา ถึงวันนี้ก็ดีใจนะ มันอยู่ที่ตัวเขาเองด้วยที่มาได้ ถ้าเขาไม่ชอบ ไม่รัก หรือไม่ตั้งใจ ก็คงไม่ได้ถึงขนาดนี้ ตัวพ่อเป็นคนพาไปแต่ส่วนที่เหลือตัวน้องเป็นคนทำเองทั้งหมด
เขาเคยบ่นว่าอายุเขาขนาดนี้ ทำไมเขาต้องทำงานมาก จริงๆ ช่วงนี้ต้องเป็นช่วงที่เรียนไง แต่เรามองว่าการเรียนเขาก็เรียนดีส่วนหนึ่งแล้ว การทำงานเขาก็โอเค ก็ภูมิใจที่ลูกเป็นได้ขนาดนี้ บางทีเราก็สงสารเขานะ แต่เราไม่พูดไง เราแอบคุยกับแม่ บางทีก็แอบชมกับแม่ ว่าเขาเก่งนะ
เลี้ยงลูกสมัยนี้ตัวเราก็ต้องปรับ เลี้ยงยากมาเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ เพราะเทคโนโลยีเข้ามาเยอะ เด็กก็มีแนวความคิด สังคมจะต่างกัน เราต้องปรับเยอะมาก อย่างเวลาเขาไปไหนกับเพื่อน เราก็ห่วง แต่ก็พยายามไม่คิดอะไร ก็จะบอกว่าให้ไปรับที่ไหน ก็จะไปรอรับ ให้ไป แต่ก็มีลิมิตว่าตรงไหนควรไม่ควร เราไม่ปล่อยปละละเลย แต่ก็ให้เขามีเวลาส่วนตัวของเขาด้วย มานั่งคุยกันมากกว่า แล้วปรับจูนเข้าหากัน ถ้าเลี้ยงลูกแบบสมัยโบราณมีด่า ตี ผมว่ามันไม่ใช่ วัยรุ่นสมัยนี้เขาต้องมีเหตุและผล ต้องคอยฟังเขาด้วย ไม่อย่างนั้นมีอะไรเขาจะไม่มาเล่าให้เราฟัง อย่างลูกเนี่ยมีปัญหาอะไรเขาก็จะมาเล่าให้เราฟัง เราก็ช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้ หรือแนะนำให้เขาได้ แต่ถ้าอยู่ห่างเราจะลำบาก”
ชื่อ : ภรภัทรา ทวีพันธุรัตน์
ชื่อเล่น : มิ้น
อายุ : 16 ปี
ส่วนสูง 173 ซม.
ประวัติการศึกษา : กำลังศึกษาชั้น ม. 5 โรงเรียนชิโนรสวิทยาลัย
ประวัติการทำงาน : Thai Supermodel Contest 2010 (ติด 1 ใน 10), The Look Supermodel Search 2011 (ชนะเลิศรางวัลที่ 1), The Supermodel Asia Beauty Contest 2011 (รองชนะเลิศอันดับ 1)
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย วรวิทย์ พานิชนันท์
ขอบคุณภาพประกอบจาก Chic Channel