ไม่น่าเชื่อเลยว่าประเทศใทยในปี 2554 จะต้องประสบกับมหาอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สร้างความเสียหายให้กับทุกภาคส่วนของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายในระดับประเทศ หรือในระดับปัจเจกที่ประชาชนทุกคนต้องเผชิญชะตากรรมหลายล้านคน ตั้งแต่ชนบทบ้านไร่นาเราอันห่างไกลจนถึงใจกลางมหานครที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ต่างประสบภัยพิบัติน้ำท่วมอย่างทั่วถึงถ้วนหน้ากัน
ถ้านับตั้งแต่วันแรกที่อุทกภัยครั้งนี้เกิดขึ้น มันก็ล่วงเลยมาหลายแรมเดือนแล้ว และตอนนี้คำถามว่าทำไมน้ำถึงท่วม ก็เป็นคำถามที่ดูจะล้าสมัย นั่นเพราะทุกคนก็ล้วนแต่มีคำตอบอยู่ในใจของตน หากแต่คำถามที่สำคัญในเวลานี้ก็คือคำถามที่ว่า เราจะอยู่กันอย่างไรในสภาวะน้ำท่วมต่างหาก
นอกจากการปรับตัวในเรื่องกินเรื่องอยู่และเรื่องสุขภาพแล้ว จะว่าไปเรื่องของการแต่งกายก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ในปัจจัยสี่ ซึ่งในภาวะน้ำท่วมยาวแบบนี้ ก็คงจะมีโอกาสได้พบเห็นแฟชั่นที่มาน้ำท่วมได้บ่อยขึ้น
อย่างนายกฯ คนดีของเรา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้ออกมาเป็นผู้นำเทรนด์แฟชั่น ด้วยการใส่บูทเบอร์เบอร์รี่ ออกทำงานในพื้นที่น้ำท่วม หรือจะเป็นฝั่ง วรกร จาติกวณิช ศรีภรรยาของ กรณ์ จาติกวณิช อดีตขุนคลัง ก็ใส่บูทชาแนลไปตักทรายออกสื่อ
แต่นั่นก็เป็นเรื่องของคนในระดับไฮโซที่มีเงินมากมาย...สตางค์จึงไม่ใช่ปัญหา เพราะคนธรรมดาชาวบ้านร้านช่องก็คงต้องหารองเท้าบูทและกางแกงแก้วที่สั่งตรงจากเมืองจีนมาใส่กันไปก่อน หรืออย่างดีก็อาจจะเป็นรองเท้าจากเกาหลีราคาไม่แพงที่กำลังอินเทรนด์ แต่ไม่ว่าของเหล่านี้มันจะมีราคาถูกหรือแพงอย่างไร หรือคนใส่จะต้องหาใส่เพราะความจำเป็นหรือเพราะความสวยงามก็ตามแต่ ทั้งหมดมันก็คือแฟชั่น
เป็นแฟชั่นที่มากับน้ำท่วม...
แฟชั่นกับชีวิต
“แฟชั่นนั้นเป็นเรื่องที่อยู่คู่กับคน และมันเป็นสิ่งที่มาควบคู่กับบริบทแวดล้อม และตอนนี้ก็คือภาวะน้ำท่วม แต่การปรับเทรนด์นั้นก็จะขึ้นอยู่กับสไตล์ของแต่ละบุคคลอยู่แล้ว แต่เทรนด์โดยรวมมันก็คงจะขึ้นอยู่กับเรื่องความคล่องตัว ความทะมัดทะแมงมากขึ้น”
จรัสพิมพ์ วังเย็น หัวหน้าสาขาวิชาออกแบบแฟชั่นและสิ่งทอ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ได้กล่าวถึงลักษณะการเกิดขึ้นของแฟชั่นในช่วงเวลาต่างๆ และทั้งนี้เธอยังกล่าวต่อไปอีกว่า ปัจจัยเรื่องความจำเป็นของการปรับตัวในสภาวะต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง
“ปัจจัยที่ส่งผลต่อแฟชั่นมีทั้งเรื่องของแฟชั่นจริงๆ และปัจจัยเรื่องความจำเป็นที่ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม อย่างตอนนี้การแต่งตัวให้เข้ากับน้ำท่วม แเรื่องของเสื้อผ้านั้นอาจจะไม่ได้เปลี่ยนไปมาก เพราะเทรนด์ปัจจุบันนั้น เป็นเรื่องของการแต่งตัวสบายๆ ทะมัดทะแมง ใส่กางเกงขาสั้น เสื้อยืดและเป็นการมิกซ์แอนด์แมชท์ แต่ที่เห็นได้ชัดก็คือเรื่องของแอคเซสเซอร์รี่ พวกรองเท้า กระเป๋า และอุปกรณ์ที่ใช้เสริมการแต่งกาย ในช่วงนี้รองเท้าบูทรองเท้าแตะหรือรองเท้ายาง ก็มีการนำเอามาใส่ความเป็นแฟชั่นลงไป มีการตกแต่ง หรืออย่างกระเป๋าก็จะฮิตกระเป๋าที่ทำจากพลาสติก หรือวัสดุที่กันน้ำ มันก็จะตามมา คือรอยต่อช่วงหน้าฝน มันจะมีคอลเลคชั่ที่เป็นแบบนี้ออกมาอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมามันจะนิยมอยู่ในคนไม่กี่กลุ่ม แต่ตอนนี้คนส่วนใหญ่ก็มาสนใจกันมากขึ้น
“อย่างกางเกงกันน้ำที่ฮิตกันในช่วงนี้ มันก็ถือเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่ง เพราะอย่าลืมว่ามันก็คือกระแส แม้ตอนแรกมันจะมีแค่สีส้มสะท้อนแสงซึ่งถือเป็นสีสากลที่ใช้กัน แต่ตอนนี้มันก็มีหลากสีออกมาเต็มไปหมด ซึ่งเป็นเพราะมันกลายเป็นแฟชั่นไป”
และในความเห็นส่วนตัวของจรัสพิมพ์นั้น ก็มองว่าเทรนด์แฟชั่นน้ำท่วมนั้น ถ้ามองอีกมุมมันก็คือการเปิดโอกาสให้คนที่มีของเหล่านี้เก็บไว้เอาออกมาใช้ประโยชน์ แต่ทั้งนี้ถ้าภาวะแวดล้อมเปลี่ยนไปความนิยมก็จะต้องเสี่ยมไปเป็นธรรมดา
“เทรนด์เหล่านี้ มันตามกระแส ตอนนี้มันมีโอกาสที่จะเอาของเหล่านี้มาใส่มากขึ้น แต่ถ้าหากน้ำลดลงไป ก็อาจจะซาไป อาจจะมีอยู่แต่ไม่บูมเท่านี้ แน่นอนบูทยางที่เคยเต็มที่ในช่วงน้ำท่วม ก็อาจจะกลายเป็นรองเท้าแตะที่สบายกว่าแทน”
สุดท้ายกูรูแฟชั่นอย่างจรัสพิมพ์ก็ยังทิ้งท้ายไว้ว่า สำหรับเรื่องของราคาที่แพงขึ้น เพราะความนิยมในแฟชั่นนั้นมันเป็นเรื่องที่ต้องทำใจ เนื่องจากมันเป็นกลไกของตลาด แต่อย่างไรเธอก็ไม่เห็นด้วยกับการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าสำหรับของใช้พื้นฐานที่จำเป็นต้องใช้อย่างรองเท้าบูทยางธรรมดา ที่เมื่อก่อนราคาแค่ร้อยกว่าบาท แต่ในปัจจุบันมีคนเอามาขายกัน 500 ก็มี
เศรษฐศาสตร์กับแฟชั่นน้ำท่วม
สำหรับปัญหาการขึ้นราคาของใช้ที่กลายเป็นแฟชั่นจำเป็นในช่วงน้ำท่วม อย่างรองเท้าบูทหรือกางเกงกันน้ำนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์อย่าง ดร.วิษณุ วงศ์สินศิริกุล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้ให้ความเห็นไว้ว่า ตอนนี้อุปสงค์-อุปทานของสินค้าในประเภทนี้ ถือว่าไม่สมดุลกันเท่าใดนัก เพราะทุกวันนี้ความต้องการของผู้ซื้อมีมาก ขณะที่ในสายการผลิตกลับมีกำลังค่อนข้างน้อย เพราะสินค้าบางอย่างก็ไม่ได้ผลิตออกมาก เช่น รองเท้าบูทซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีตลาดอยู่ที่เจ้าหน้าที่ในโรงงาน หรือกางเกงแก้วกันน้ำซึ่งน่าจะเริ่มผลิตเฉพาะเวลาที่เกิดน้ำท่วมเท่านั้น
"ของแบบนี้ก็เป็นไปตามกลไกตลาด หากรัฐบาลไม่ได้เข้าแทรกแซงของที่หาได้ยาก ราคามันก็ต้องสูง และในช่วงนี้ถ้าเราลองเทียบเฉพาะเรื่องการบริโภคสินค้า เมื่อช่วงวิกฤตเศรษฐกิจตอนปี 2540 ถ้ามองกันแบบพื้นๆ จะรู้สึกว่าผู้บริโภคไม่มีกำลังซื้อ แต่มาครั้งนี้ดูเหมือนผู้บริโภคยังมีพลังซื้ออยู่ แต่ในฝั่งการผลิตหรือฝั่งอุปทาน กลับไม่มีเพราะอาจจะติดปัญหาในเรื่องของโลจิสติกส์ (ปัญหาของการขนส่ง) ปัญหาโรงงานที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เพราะฉะนั้นถ้าจะแก้ปัญหาในเรื่องนี้ รัฐบาลก็ควรจะต้องเร่งช่วยทางด้านอุปทานคือหาทางให้ผู้ผลิตสามารถกลับมาผลิตสินค้าป้อนสู่ตลาดได้โดยเร็ว ซึ่งมันก็จะกระทบไปผู้ที่ไม่ได้ทำงานหรือไม่มีรายได้กลับมามีรายได้มีงานทำ"
อย่างไรก็ตาม การที่สินค้าพวกนี้ได้รับความนิยมจนกลายเป็นกระแสแฟชั่นนั้น ดร.วิษณุก็มองว่า เป็นเรื่องปกติในการทำงานของตลาด เมื่ออุปสงค์มากขึ้นอุปทานก็ต้องมากขึ้นตามไปด้วย แต่ต้องไม่ลืมว่าของพวกนี้ถือเป็นของจำเป็นที่ผู้บริโภคต้องใช้ ซึ่งหากไม่จำเป็นก็คงไม่มีใครอยากใช้ ฉะนั้นการที่มีผู้พยายามผลิตหรือสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ ก็ถือเป็นการต่อยอดเท่านั้นเอง ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาในช่วงไข้หวัด 2009 ระบาด เมื่อปี 2551 ซึ่งตอนนี้ก็มีคนผลิตผ้าปิดปากเป็นลวดลายต่างๆ มากมายเช่นกัน
"การจะบอกว่าของแบบนี้ไม่จำเป็นหรือถูกปั่นกระแสก็คงไม่ใช่สักทีเดียว โดยเฉพาะสถานการณ์แบบนี้ มันถึงขายได้ไง แต่มันน่าจะเป็นเรื่องของความเดือดร้อนมากกว่า แล้วคนที่ใช้ก็คนเดือดร้อน ถ้าเลือกได้เขาไม่อยากใช้หรอก มันไม่เหมือนกับการใส่บิ๊กอายซึ่งเป็นกระแสที่ถูกปั่นขึ้นมา ดังนั้นผมจึงให้มองในมุมของเรื่องราคามากกว่า เพราะเราคงไม่อยากเห็นการฉวยโอกาสกับตรงนี้โดยทำให้ราคามันโอเวอร์ และถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ช่วยรณรงค์หรือช่วยกระตุ้นไปยังผู้ทำธุรกิจตรงนี้ว่าช่วยเร่งผลิตหน่อย เพื่อให้ของมันมีพอกับความต้องการ แล้วราคาจะได้ไม่สูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น"
ความจำเป็นมาก่อน แล้วจึงตามมาด้วยความสวยงาม
การที่สินค้าแพงจากภาวะขาดแคนสินค้าที่ ดร.วิษณุ กล่าวถึงนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยแต่อย่างใดเพราะจากการสอบถามแม่ค้าอย่าง พีรญา อาจเอื้อน เจ้าของเว็ป aor - fashionshop ที่ขายรองเท้าบูทยางแฟชั่นก็พบว่า มีการออเดอร์สั่งสินค้าเพิ่มขึ้นเป็นสองถึงสามเท่า จากปกติ
“เข้ามามากแบบผิดสังเกตเลยคะ เพราะเปิดขายมาระยะหนึ่งแล้ว ปกติจะมีลูกค้าเป็นพวกแม่ค้า หรือคนที่ทำงานรีสอร์ทที่ต้องเดินตามสนามหญ้า ด้วยความที่เป็นผู้หญิงก็อยากจะมีแฟชั่นนิดนึงจึงสั่งซื้อรองเท้าบูทจากเรา”
โดยราคาของรองเท้าบูทแฟชั่นปกติจะอยู่ที่ 700 - 800 กว่าบาท แต่จากภาวะน้ำท่วมที่เกิดขึ้น ร้านของเธอก็ไม่ได้เพิ่มราคาแต่อย่างใด ด้วยเพราะเป็นสินค้าพรีออเดอร์ที่นำเข้าโดยตรงจากต่างประเทศ เมื่อนำเข้ามาราคาไม่ขึ้น เธอจึงไม่ได้ขึ้นราคา แม้ตามท้องตลาดรองเท้าบูทยางทั่วไปจะถีบราคาขึ้นสูงมากก็ตาม
“รองเท้าบูทยางทั่วไป ส่วนตัวแล้วคิดว่าไม่เหมาะกับการใส่เดินทางไปทำงาน แต่ส่วนรองท้าบูทแฟชั่นของที่ร้าน ราคาอาจจะสูงกว่าบูทยางปกติ แต่ก็ได้ความสวยงาม แฟชั่น และยังทนทานต่อการใช้งานด้วย”
ซึ่งทาง ณัฐวดี นาคบาตร ไกด์สาวที่รักการแต่งตัวเป็นชีวิตจิตใจบอกว่า แม้สถานการณ์น้ำท่วมจะส่งผลเป็นวงกว้างแต่ก็ไมได้เป็นอุปสรรคต่อการแต่งกายของเธอมากนัก เพราะตามร้านเสื้อผ้าแฟชั่นต่างๆ ก็ยังคงขายเสี้อผ้าเหมือนช่วงสถานการณ์ปกติ แต่สิ่งที่เห็นจะเพิ่มขึ้นมานั้นจะเป็นบรรดารองเท้าบูทลวดลายแปลกตาที่มีให้เห็นมากขึ้น
“ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของรองเท้าค่ะ เพราะปกติจะใส่เป็นรองเท้าส้นสูง พอน้ำท่วมแบบนี้ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นรองเท้าแตะเสียส่วนใหญ่ ที่ทำงานก็จะเป็นการอนุโลม เพราะต่างก็เข้าใจสถานการณ์เหมือนกัน แต่ตอนที่ดินลุยน้ำออกไปทำงานตอนเช้าก็ต้องใส่รองเท้าบูทมาก่อน ดีตรงแถวที่บ้านน้ำยังไม่สูงมากนัก เห็นจะเป็นรองเท้าบูทแฟชั่นนี่แหละที่จะแพงกว่าปกติ เพราะคู่ละ 500 บาท มันพิเศษกว่าธรรมดาก็ตรงที่มีเพนท์ลายสวยงาม ยอมรับว่าหาซื้อมาใส่บ้าง เพราะดูแล้วสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายง่ายๆ และมันก็มีประโยชน์แถมความสวยขึ้นนิดหน่อย
“แต่เรื่องแต่งตัวก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากนัก เพราะเวลาออกไปซื้อตามร้านเขาก็ไม่ได้มีแฟชั่นเพื่อน้ำท่วมโดยเฉพาะอะไร ถ้าต้องเตรียมตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ คงเป็นการปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เข้ากับสภาวะมากกว่า คือบางครั้งจะใส่กระโปรงสั้นไปทำงาน ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นกางเกงขาสั้น เสื้อยืดลายน่ารักๆ นิดหนึ่งแทน เพื่อเพิ่มความทะมัดทะแมงให้มากขึ้นก็สามารถเดินทางไปไหนต่อไหนในสภาวะแบบนี้ได้”
แต่สำหรับบางคน การปรับเปลี่ยนการแต่งกายในช่วงนี้ ก็เป็นไปเพราะความจำเป็นและ เรื่องของความสวยงามนั้นแทบจะไม่อยู่ในหัวเลย ดังเช่น ณัฐพร ภูขมัง ผู้ประสบภัยน้ำท่วมย่านลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ได้กล่าวถึงแฟชั่นช่วงน้ำท่วมไว้ว่า ส่วนมากแล้วไม่ได้เป็นสิ่งที่ใส่เป็นประจำแต่มันจำเป็นต้องใส่ สำหรับตนเองแล้ว ในท้องตลาดโดยทั่วไปก็ไม่ได้มีขายเป็นแบบแฟชั่นมากนัก
“ที่เป็นพวกของแฟชั่นมันก็ไม่ค่อยมีขายตามท้องตลาดมากนัก แค่รองเท้าบูทปกติยังราคาแพง และหาซื้อยากอยู่แล้ว ช่วงที่เตรียมตัวก่อนน้ำท่วมยังแทบจะหาซื้อไม่ได้เลย ราคาของของพวกนี้บางทีมันแพงมากจนรู้สึกว่าเอาเปรียบผู้บริโภคจนเกินไป เพราะนี่ก็เป็นภาวะวิกฤติด้วย”
ในส่วนของการใส่เพื่อแฟชั่นหรือใส่เพื่อป้องกันน้ำท่วมนั้น เธอเห็นว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล โดยส่วนตัวเธอเองนั้น ต้องใส่ด้วยความจำเป็น เมื่อหารองเท้าบูทใส่ลุยน้ำไม่ได้เธอก็มีวิธีประยุกต์สิ่งของเพื่อช่วยเหลือตัวเอง
“เราใส่ถุงพลาสติกหนาๆ ก่อนเพื่อกันน้ำ แล้วค่อนใส่กับรองเท้าแตะพลาสติก พอช่วยทดแทนแก้ปัญหาได้”
……….
เรื่องราวของแฟชั่นในช่วงน้ำท่วมนั้น ฟังเผินๆ อาจจะเป็นเรื่องของคนที่ดูรักสวยรักงาม และดูไม่มีสาระให้จับต้องสักเท่าไร
แต่ถ้าหากมองแบบพินิจพิจารณา เราก็จะมองเห็นเห็นถึงการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในสังคม ที่ต้องจำยอมอยู่ร่วมกับภาวะภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ไม่ว่าภัยพิบัติครั้งนี้จะเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติจริงๆ หรือเกิดจากความอ่อนด้อยประสบการณ์ในการจัดการปัญหาของใครก็ตาม
อย่างที่กล่าวไปแต่แรก คำถาม 'ทำไม' นั้นไม่สำคัญแล้ว เพราะใครๆ เขาก็รู้กันหมดว่าน้ำท่วมนี่มันท่วมเพราะอะไร แต่ตอนนี้การตอบคำถาม 'อย่างไร' นั้นน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าเป็นไหนๆ และกรณีแฟชั่นน้ำท่วมก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย
>>>>>>>>>>
……….
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK