ถ้าจะกล่าวถึงภาพของการประกวดประขันประชันความสวยบนเวทีนางงามนั้น เชื่อว่าเป็นภาพที่คุ้นตาคนไทยทุกคนอยู่แล้ว เพราะเอาเข้าจริงการประกวดนางงามระดับประเทศในบ้านเรานั้น เริ่มต้นมีมาตั้งแต่ปี 2477 โดยกระทรวงมหาดไทยได้จัดการประกวดขึ้นเนื่องในโอกาสงานฉลองรัฐธรรมนูญ โดยที่ก่อนหน้านั้นในภูมิภาคต่างๆ ก็มีการจัดประกวดประชันความงามกันอยู่ทั่วไป ซึ่งการประกวดทั้งหมดนั้น ได้อยู่ภายใต้กรอบวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมของไทย ที่เชื่อว่าผู้หญิงควรจะรักนวลสงวนตัว ดังนั้น ในการประกวดที่ว่าจึงไม่มีโอกาสได้เห็นแม้แต่ขาอ่อนของผู้เข้าประกวด
แต่ต่อมา การประกวดนางงามในรูปแบบสมัยใหม่ก็เกิดขึ้น โดยจุดประสงค์หลักของการประกวดก็คือการคัดเลือกตัวแทนสาวไทยไปประกวดนางงามระดับโลก นั่นทำให้ผู้เข้าประกวดต้องแต่งชุดว่ายน้ำมาประกวดบนเวทีด้วย ก็ทำยังไงได้ เพราะการประกวดในระดับสากลเขามีรอบที่ต้องแต่งชุดว่ายน้ำด้วยนี่นา ซึ่งแรกๆ เรื่องนี้ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันถึงความเหมาะสมอยู่พักใหญ่ แต่ต่อมาก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ยอมรับได้กันไป
แต่ดูเหมือนว่านับวันดีกรีความเซ็กซี่หรือความโป๊ของการประกวดนางงามมันมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างในการประกวดมิสยูนิเวิร์สครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ตาลิน่า โรบาโย มิสโคลัมเบีย ก็ได้ขึ้นเวทีโดยการไม่สวมกางเกงใน โดยในรอบออกสื่อนั้น เธอคนนี้ก็เคยมีรูปหลุดนั่งเปิดหวอโดยไม่ง้อกางเกงในมาแล้ว
เท่านั้นยังไม่พอ เชอร์ริ ลี บิ๊ก มิสออสเตรเลีย ก็ถูกตำหนิเรื่องชุดราตรีซีทรูที่เธอใส่ว่ามันยั่วยวนเกินไปอีกทั้งเรื่องของบิกินี่ตัวจิ๋วรัดติ้วที่กองประกวดต้องออกมาสั่งให้เธอไปหาตัวใหญ่กว่านี้มาใส่แทน
จะเห็นได้ว่าเวทีนางงามในทุกวันนี้ได้กลายเป็นเวทีประชันความเซ็กซี่ไปแล้ว และมันก็เพิ่มดีกรีสูงขึ้นทุกวัน ซึ่งเทรนด์เรื่องความโป๊ความเซ็กซี่เหล่านี้ก็กำลังแพร่ระบาดไปยังเวทีนางงามต่างๆ ทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศที่มีวัฒนธรรมสอนให้หญิงสาวรักนวลสงวนตัวอย่างประเทศไทย
ดีกรีความเซ็กซี่ของนางงาม
ต้องยอมรับว่าการประกวดมิสยูนิเวิร์สในปีนี้ มีเหตุการณ์ที่สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้ชมมากกว่าปีไหนๆ เพราะดูเหมือนบรรดาสาวงามแต่ละคนจะกระชับขับเน้นความเซ็กซี่ออกจากเรือนร่าง ชนิดทุกอณูของตัวเนื้อกันเลยทีเดียว ซึ่งต่างจากการประกวดนางงามในสมัยก่อน ที่มักจะเน้นที่เรื่องของความสามารถไปพร้อมๆ กับเรื่องของรูปลักษณ์ งานนี้จึงถือโอกาสไปพูดคุยกัน ประเสริฐ เจิมจุติธรรม ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนางงามที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทยว่า เกิดอะไรขึ้นกับเวทีประชันความงามกันแน่
ซึ่งคำตอบที่กูรูได้ชี้ประเด็นให้เห็นก็คือ เรื่องนี้มีความสัมพันธ์กับกระแสแฟชั่นของโลกสมัยใหม่อย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะในฝั่งซีกโลกตะวันตกที่มักจะนิยมเรื่องความเซ็กซี่มากขึ้นกว่าแต่ก่อน สังเกตได้ง่ายๆ จากภาพหลุดของบรรดาซูเปอร์สตาร์ทั้งหลายที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดเรื่องพวกนี้ก็จะลามมายังเวทีประกวดนางงามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประกอบต้องไม่ลืมว่าโดยพื้นฐานของการประกวดนางงามเวทีแรกเริ่มของโลก ก็มีบริษัทที่ผลิตชุดว่ายน้ำเป็นผู้ดำเนินการ ฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจไปเลยว่า นางงามกับความเซ็กซี่นั้นเป็นของคู่กันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
"ต้องยอมรับว่า เดี๋ยวนี้การประกวดเน้นความเซ็กซี่มากขึ้น และต้องไม่ลืมว่าเวทีนางงาม ก็คือการนำผู้หญิงมาอยู่รวมๆ กัน ช่างภาพ 90 เปอร์เซ็นต์ก็เป็นผู้ชาย ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่นางงามแต่ละคนจะพยายามสร้างจุดเด่นให้ตัวเอง หรือเรียกร้องความสนใจจากช่างภาพ เพราะถ้าเกิดมีภาพเซ็กซี่มากหน่อยก็จะได้รับความสนใจมากขึ้นไปด้วย ซึ่งกรณีของนางงามจากโคลัมเบียก็น่าจะเป็นเช่นนั้น และแน่นอน เมื่อเทรนด์แบบนี้เกิดขึ้นมาก สุดท้ายก็เริ่มเผยแพร่มาที่บ้านเราไปด้วย เพราะเทรนด์ชุดต่างๆ เราก็ยังตามยุโรป ดังนั้นพอดีไซเนอร์ของยุโรปออกแบบเสื้อผ้ามาแบบนี้ ดีไซเนอร์ไทยก็จะได้รับกลิ่นอายตามไปด้วย"
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆ เลยก็คือ ชุดราตรี ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อนมักจะตัดด้วยผ้าไหม แต่เดี๋ยวนี้ถือว่า หายไปเลย เว้นแต่จะมีการรณรงค์ เพราะส่วนใหญ่ดีไซเนอร์จะหันไปตัดชุดจากผ้าชีฟอง หรือผ้าลูกไม้ ซึ่งต้องยอมรับว่า บางกว่ามาก แถมบางตัวยังมองทะลุไปถึงข้างในได้อีกต่างหาก ซึ่งแค่นี้ก็ระบุได้แล้วว่า แฟชั่นของเรื่องนี้ก็คือความเซ็กซี่นั่นเอง
เช่นเดียวกับชุดว่ายน้ำที่แต่ก่อนมักจะเป็นชุดวันพีช แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นชุดทูพีชไปหมดแล้ว เพราะนอกจากเหตุผลที่ว่าชุดทูพีชแต่งให้สวยได้ง่ายกว่าแล้ว แถมยังดึงดูดสายตา และทำให้ผู้ใส่ดูเซ็กซี่มากกว่าชุดวันพีชอีกด้วย
"เรื่องชุดว่ายน้ำก็ถือว่าเราได้อิทธิพลจากต่างประเทศเหมือนกัน ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาใส่ชุดทูพีช ยังไงก็ต้องดูโป๊อยู่แล้ว เพราะมันเหมือนชุดชั้นใน และนั่นคือความรู้สึกของคนที่อยากจะดูโป๊อยู่แล้ว ขณะเดียวกัน พวกชุดว่ายน้ำนี้ก็มักจะมีเทคนิคพิเศษเต็มไปหมด เช่นการดันทรง ทำให้หน้าอกดูอวบอิ่มขึ้น"
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเด็นเรื่องอนาคตของชุดการประกวดนางงามนั้นจะมีเน้นความเซ็กซี่มากขึ้นกว่าหรือเปล่านั้น ประเสริฐก็มองว่า หากเป็นชุดว่ายน้ำก็คงไม่มากไปกว่านี้ เพราะที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ถือว่าอยู่ในขั้นมากเกินไปอยู่แล้ว แต่สำหรับชุดราตรี ซึ่งปกปิดร่างกายมากกว่า ก็มีโอกาสที่จะเปิดเผยเนื้อตัวมากขึ้นกว่านี้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมว่า สังคมโลกกับสังคมในประเทศไทยนั้นมีความแตกต่างกันอยู่ ดังนั้นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จึงจะมีระมัดระวางให้มากหน่อย ไม่ทำอะไรที่เกินเลยกว่าที่สังคมจะรับไหว
"การประกวดในประเทศ หลายๆ เวทีมีการถ่ายทอดสด ดังนั้นถ้ามันหวือหวาจนเกินไป ก็คงไม่ดี เพราะประเทศเราก็มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง ถ้าใช้กลิ่นอายของต่างประเทศมากเกินไป เราก็จะก้าวเร็วเกินไปนิด เพราะฉะนั้นก็อยากให้งามเป็นไทย ทันสมัยเป็นไทยน่าจะดีที่สุด"
เซ็กซี่เพราะโลกาภิวัตน์
ความโป๊ในเวทีการประกวดนางงามนั้น ในแง่หนึ่งมันอาจจะเป็นวิธีการในการเรียกร้องความสนใจและสร้างความโดดเด่นที่พิสูจน์กันมาแล้วว่า “ได้ผล” แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่วัฒนธรรมเรื่องของความเซ็กซี่แบบนางงามตะวันตกได้แพร่กระจายไปยังเวทีนางงามเกือบทุกหนทุกแห่งในโลก และดูเหมือนว่ามันจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวันไปแล้วด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ในหลายวัฒนธรรม ความเซ็กซี่เหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งต้องห้าม
“ความโป๊เปลือยหรือเซ็กซี่คือการแสดงออกในทางเรือนร่าง โดยในแต่ละวัฒนธรรมนั้นจะมองแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่ว่ามันจะไปตกอยู่ใต้วาทกรรมแบบใด”
ชลเทพ ปั้นบุญชู นักวิชาการอิสระด้านสังคมและวัฒนธรรมกล่าวถึงการตีความความโป๊เปลือยหรือความเซ็กซี่ในบริบทวัฒนธรรมที่ต่างกันออกไป
“ผู้ชายทั่วไปอาจจะมองว่า มันสวยงามดีน่ามอง คนอีกกลุ่มก็อาจจะมองว่ามันเป็นการกดขี่ทางเพศ ซึ่งมุมมองที่แตกต่างกันเหล่านี้ก็อาจจะเกิดจากความแตกต่างของคนที่มอง ไม่ว่าจะเป็นด้วยเพศด้วยวัยหรือด้วยประสบการณ์ของแต่ละคน แล้วแต่วาทกรรมที่เขาใช้เป็นกรอบ
“คือมันเป็นเรื่องของโลกาภิวัตน์ เป็นการทำให้ลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมของอีกที่หนึ่งกลายเป็นเรื่องสามัญทั่วไปในวัฒนธรรมของอีกที่ อย่างในการประกวดนางงามนั้น ความโป๊บนเวทีเป็นเรื่องที่ยอมรับกันเป็นมาตรฐาน คือชาติไหนก็ตามถ้าจะเข้ามาประกวดนางงามที่เป็นสากล ก็ต้องเข้ามาอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์และบรรทัดฐานเดียวกัน บางชาติที่เน้นย้ำในเรื่องวัฒนธรรมเฉพาะของตนเอง อย่างเช่นประเทศมุสลิม เขาก็จะไม่ส่งคนของเขาเข้ามาประกวด
“เมื่อโลกาภิวัตน์เข้ามา มันจะเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิต เปลี่ยนโครงสร้างของวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่ในขณะเดียวกันมันก็จะมีการต่อต้านในอีกระนาบนึ่งเสมอ คู่ขนานกันไป อย่างการใส่ชุดว่ายน้ำโชว์บนเวทีนางงามนั้น สมัยนี้มันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เพราะกระแสโลกาภิวัตน์ทำให้มันเป็นอย่างนั้น แต่ในอีกระนาบหนึ่งมันก็มีการต่อต้านสิ่งเหล่านี้อยู่ ในสังคมไทยก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน
ชลเทพกล่าวว่า เรื่องของความขัดแย้งเหล่านี้ มันขึ้นอยู่กับว่าวัฒนธรรมโลกาภิวัตน์หรือวัฒนธรรมท้องถิ่น อันใดจะแข็งแรงกว่ากัน ถ้าสิ่งใดเข้มแข็งกว่า แนวทางของเรื่องต่างๆ ก็จะเอนเอียงไปทางนั้น
“วัฒนธรรมหลักกับวัฒนธรรมรอง วัฒนธรรมสากลกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศ มันเป็นสิ่งที่มีความขัดแย้งและปะทะกันตลอดเวลาอยู่แล้ว ที่ผ่านมาส่วนใหญ่รัฐต้องการที่จะควบคุมเรื่องนี้ มันเป็นการเมืองเรื่องวาทกรรม เพราะสำหรับบางประเทศนั้น ผู้นำเขารู้ว่าถ้าปล่อยให้คนของเขาตามกระแสโลก ก็จะไม่สามารถควบคุมคนของเขาได้ บางแห่งจึงใช้เรื่องของประเพณีมาควบคุมวิถีชีวิตและความคิดของคนในชาติ ให้คล้อยตามรัฐได้ง่าย ดังนั้นมุมมองของคนในสังคมที่มีต่อเวทีนางงามแต่ละประเทศนั้น มันก็สะท้อนถึงวิธีการควบคุมคนของรัฐด้วย ว่าจะให้ไปยังทิศทางไหน”
อย่างไรความเซ็กซี่ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับ
ในปัจจุบัน หากลองสำรวจดูในบ้านเรา จะเห็นได้ว่ามีเวทีการประกวดนางงามหลักๆ อยู่หลายเวที ซึ่งบางเวทีก็เป็นการประกวดที่ตอบรับกับกระแสนางงามแบบโลกาภิวัตน์เต็มที่ ส่วนบางเวทีก็เป็นการประกวดนางงามที่ปฏิเสธความเซ็กซี่อย่างสิ้นเชิง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการงัดข้อกันของวัฒนธรรมโลกาภิวัตน์กับวัฒนธรรมแบบอนุรักษ์ในบ้านเรา
“วชิราวุธที่เป็นสปอนเซอร์การประกวดนางสาวไทยมาทุกปี ตอนนี้ก็เปลี่ยนคอนเซ็ปต์แล้วนะ คำว่านางสาวไทยเขาจะเลือกคนที่มีอะไรที่เป็นไทยๆ แล้วก็มีความเรียบร้อย มีความคิด ฉลาด เพราะฉะนั้น ตอนนี้นางสาวไทยจะเป็นการประกวดที่เรียบร้อยที่สุด แล้วก็ไม่มีอะไรเลอะเทอะด่างพร้อย การแต่งตัวของเขาก็จะเป็นกางเกงขาสั้น แล้วชุดว่ายน้ำของเขาก็จะเป็นแบบที่เขาทำทุกปีๆ เป็นตัวเดียว วันพีชที่ดูเรียบร้อย
สุวิมล นกน้อย ผู้ซึ่งติดตามการประกวดนางงามในบ้านเรามาโดยตลอด มองว่าเวทีนางสาวไทยนั้น เป็นเวทีที่มีการวางรูปแบบให้การแต่งกายมีความเรียบร้อยที่สุด ส่วนเวทีการประกวดอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นมานั้นมีการแต่งตัวที่ค่อนข้างโป๊ ทั้งในแบบชุดว่ายน้ำและชุดอื่นๆ ซึ่งเธอเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และเป็นเรื่องที่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ควรเมินเฉย
“เวทีอื่นๆ มันมีการประกวดมากมายเต็มไปหมด มีมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส มิสอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะเพื่อที่จะเอาไปประกวดเมืองนอก พวกนี้ก็จะแต่งตัวกันโป๊มาก ถ้าทูพีซก็เป็นชนิดที่ถ้าหันหลังก็เห็นก้นเลย อย่างชุดราตรีวันสุดท้ายของคนที่ได้มิสไทยแลนด์ยูนิเวร์สคนล่าสุดเป็นซีทรูซึ่งปักเลื่อมปิดเฉพาะจุดเท่านั้น แล้วคนที่ใส่ก็ต้องไม่ใส่เสื้อชั้นใน ใส่แต่กางเกงในจีสตริงตัวเดียว ด้านหลังก็ปักเลื่อมจากสะโพกลงมานิดหน่อยเท่านั้นเอง แล้วยิ่งถ้าไปโดนแสงไฟต่อให้มีเลื่อมมันก็ต้องเห็นวับๆ แวมๆ คิดว่าปัจจุบันนี้การแต่งกายมันไม่เหมาะสม”
ส่วนในความคิดเห็นของ กัญญาพัชญ์ ธนันต์ชัยกานต์ อดีตมิสทีนไทยแลนด์ ประจำปี 2007 ในฐานะคนเคยผ่านเวทีนางงามมากลับแตกต่างออกไป โดยเธอเห็นว่าการเผยสรีระบนเวทีการประกวดสาวงามรายการต่างๆ นั้นมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะมันเป็นการเผยผิวพรรณให้คณะกรรมการตัดสิน
“ก็คิดว่าการโชว์สรีระในการประกวดเป็นเรื่องปกติ มันเป็นกติกา เป็นรูปแบบของการประกวดนางงามที่มีมาตั้งแต่จำความได้แล้ว การเดินโชว์ ชุดว่ายน้ำ ชุดราตรี แต่สมัยนี้ดีไซน์ของชุดมันอาจมีดีไซน์ที่เผยรูปร่างมากขึ้น ตรงนี้มันอาจจะขัดกับวัฒนธรรมไทยไปบ้างก็เลยทำให้มองดูไม่ดี คือมองว่าโชว์สรีระบนเวทีประกวดนางงามมันเป็นส่วนหนึ่งของการประกวด แต่จริงๆ แล้วนอกจากรูปร่างผิวพรรณ คณะกรรมการเขาก็คัดเลือกผู้ชนะจากอย่างอื่นอยู่แล้วด้วย ปฏิภาณไหวพริบ ความสามารถ ก็เป็นส่วนสำคัญของการตัดสิน”
...........
เอาเข้าจริง มันก็เป็นเรื่องยากที่จะมาตัดว่าสิ่งใดโป๊สิ่งใดไม่โป๊ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการผสมปนเปกันของวัฒนธรรมโลกตะวันตกและวัฒนธรรมดั้งเดิมในบ้านเรา ที่ลักลั่น และอีรุงตุงนังไปเสียทุกเรื่อง แต่แม้ว่าเส้นแบ่งเรื่องความโป๊ไม่โป๊มันจะเลือนรางแค่ไหน สุดท้ายก็เชื่อว่าคนในสังคมไทยก็น่าจะมีวิจารณญาณมากพอที่จะบอกได้ว่าสิ่งใดมันสมควรและไม่สมควร.
>>>>>>>>>>>
……….
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK