xs
xsm
sm
md
lg

'เปิดหู' นงผณี มหาดไทย ฟังทัศนะของน้องจ๊ะ คันหู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มนุษย์เราล้วนมีความหวังและความฝันในชีวิตที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีการและวิถีทางเฉพาะตน ที่จะผลักดันให้ความหวังความฝันที่ตนคิดไว้กลายเป็นจริง

จ๊ะ - นงผณี มหาดไทย คือเด็กสาวชาวอ่างทอง ที่เกิดและเติบโตมาในคณะลิเกบรรจงรักษ์ ซึ่งเป็นคณะลิเกของครอบครัว แน่นอนว่าในวัยเด็กเธอก็ต้องเคยผ่านเวทีลิเกมาบ้าง แต่กระนั้นความฝันของเธอหาใช่การเติบโตมาเป็นนางเอกลิเกไม่ หากแต่เธอนั้นมีความฝันว่าสักวันหนึ่งเธอจะกลายเป็นนักร้องที่โด่งดัง

ในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา จ๊ะ ได้จับไมค์และขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีนับครั้งไม่ถ้วน ในฐานะของนักร้องรับจ้าง ที่คอยให้ความบันเทิงด้านเสียงเพลงตามงานเลี้ยงต่างๆ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานแต่งฯ งานขึ้นบ้านใหม่ เธอก็ได้ผ่านมาแล้วทั้งนั้น

แม้เธอจะเป็นนักร้องอาชีพเต็มตัว แต่ก็ต่างกับภาพฝันวัยเด็กของตนอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา จู่ๆ เธอก็โด่งดังเป็นพลุแตก จากคลิปบันทึกการแสดงสดของเธอและเพื่อนๆ ในวงที่ได้รับการเผยแพร่และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมไทย

แม้ว่าความโด่งดังของเธอจะมีคนกล่าวถึงในแง่ลบมากกว่าแง่บวก แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้คนรู้จักเธอมากขึ้น

วันนี้ หากเอ่ยชื่อของ จ๊ะ นงผณี อาจจะไม่มีใครรู้จัก แต่ถ้าบอกว่าเธอคนนี้คือคนคนเดียวกับ ‘จ๊ะ คันหู’ แล้วล่ะก็ เชื่อว่าหลายคนคงร้องอ๋อ! อ๋อ! อ๋อ! ขึ้นมาทันที

ชีวิตการแสดงเริ่มที่การเล่นลิเก
ตอนเด็กๆ ก็เคยเล่นลิเกเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร เล่นแบบช่วยงานที่บ้านมากกว่า นอกจากนั้น เราก็ชอบเรื่องการร้องเพลงด้วย ซึ่งเพลงที่ชอบก็จะเป็นเพลงลูกทุ่งเสียส่วนใหญ่ ทีนี้พอตอนอายุ 6 - 7 ขวบก็เริ่มไปประกวดร้องเพลงแล้ว เพราะอยากเป็นนักร้อง ก็ไปในนามของตัวแทนโรงเรียน ไปมันทุกเวทีเลย ก็มีได้รางวัลบ้างตกรอบบ้างสลับกันไป

ทำไมถึงได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนล่ะ
เขาก็มีการคัดเลือกกันในโรงเรียน ซึ่งตอนที่คัดเลือกนั้น มีคนมาคัดเยอะเหมือนกัน แต่คนอื่นๆ เขาก็ร้องปกติธรรมดา แต่เราร้องไปด้วยเต้นไปด้วย เรียกว่าเต็มที่เลย อาจารย์เขาเลยเลือกเรา ซึ่งเวลาที่ไปประกวดอาจารย์เขาก็จะเป็นคนพาไป

เดินสายประกวดอยู่นานไหม
ก็ตั้งแต่ป.1- ป.6 เป็นร้อยเวทีได้ ซึ่งเวทีใหญ่ที่สุดที่เรามีโอกาสขึ้นก็เป็นเวทีที่สระบุรี เป็นการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งระดับภาค ซึ่งเราได้เป็นตัวแทนจังหวัดไปร่วมประกวด คือจำชื่อของงานไม่ได้แล้ว แต่จำได้ว่ามันเป็นงานที่ใหญ่มาก ตอนนั้นได้ที่ 3 กลับมา เลยไม่ได้ไปประกวดในระดับประเทศต่อ ซึ่งพอเราขึ้นมัธยมฯ เรื่องของการประกวดร้องเพลงก็น้อยลงไป

ทำไมล่ะ?
เป็นเพราะว่าเปลี่ยนครูด้วยมั้ง คือสมัยประถมฯ ครูที่พาไปประกวดนี่เขารักเราเหมือนลูกเลย ไปนอนบ้านเขาเขาก็สอนเราร้องเพลง คือเราอยากเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็ก ครูกับที่บ้านก็ช่วยสนับสนุนตลอดมา

แล้วเข้ามาเป็นนักร้องรับจ้างให้แก่วงดนตรีตั้งแต่ตอนไหน
ประมาณ ป.6 วงปีพาทย์ที่มาเล่นให้กับคณะลิเกของที่บ้านตั้งวงดนตรีขึ้นมาอีกวง เป็นวงอิเกโทน เขาเลยมาขอแม่ให้เราไปร้องเพลงกับวงของเขา ก็รับจ้างไปเล่นตามงานบวช งานแต่ง ทั่วๆ ไป

นั่นเป็นการเดินเข้าสู่เส้นทางของนักร้องรับจ้างครั้งแรก
ใช่ แล้วตอนนั้นไม่ได้ร้องอยู่วงเดียวนะ เรียกว่ามีวงไหนมาจ้างเราก็ไปร้องให้เขาหมด รายได้เราก็จะได้ประมาณก็ได้งานละ 300 บาท ได้เงินมาก็ให้แม่ไปหมดเลย แม่ก็ต้องพาเราไปทุกครั้ง ก็เรียนไปรับจ้างร้องเพลงไปมาโดยตลอด

งั้นแสดงว่าต้องร้องเพลงได้เยอะ ลำบากไหมกับการต้องจำเนื้อเพลงหลายๆ เพลง
ก็ร้องเฉพาะเพลงที่เราถนัดนั่นแหละ คือวงที่จะมาจ้างเราไปร้อง เขาก็รู้อยู่แล้วว่าเราร้องเพลงแบบไหน ส่วนใหญ่ก็เป็นเพลงตลาดที่มีจังหวะสนุกสนาน

แล้วมาเจอกับวงเทอร์โบได้ยังไง
คือเราไม่เคยไปสมัครร้องเพลงกับวงไหนอยู่แล้ว มีแต่เขาได้ยินชื่อหรือเคยดูเราก็จะโทร.มาติดต่อเอง คือไม่ได้เก่งหรือหยิ่งนะ แต่ว่าเรารู้สึกเขินๆ ที่จะต้องไปของานเขา วันไหนไม่มีงานเราก็ต้องอยู่บ้าน วันหนึ่งพี่ไผ่ วงเทอร์โบ (จิรภัทร คูหาพัฒนกุล) ก็โทร.มาหา ตอนนั้นก็เรียนอยู่ ม.6 แล้ว

ถ้าเกิดไม่กล้าเดินไปของานก็แสดงว่าเป็นคนขี้อายพอสมควร แต่เท่าที่เห็นเมื่ออยู่บนเวทีทำไมถึงกล้าแสดงออกขนาดนั้น
บนเวทีนี่เราไม่อายเลยนะ มันเป็นการแสดง เป็นการทำมาหาเลี้ยงชีพของเรา ดังนั้นเราจึงต้องเต็มที่กับมัน

ทำไมถึงเต็มที่ได้ขนาดนั้น
การไปร้องเพลงคือการไปทำให้งานของเขาสนุก และยิ่งถ้าเราเห็นคนสนุก เราก็ยิ่งชอบยิ่งมีกำลังใจให้ทำงานแบบเต็มที่ แต่ก็มีบางงานนะที่คนดูเขาไม่สนุก เราก็จะไม่เต็มที่เท่าไหร่ ก็ร้องธรรมดาไป ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่ได้ตั้งเป้าไว้นะว่าจะต้องทำยังไงให้คนเขาสนุก ให้เขาตอบสนอง แต่พอเราเห็นอารมณ์ร่วมของคนดู มันก็ส่งให้เราเต็มที่ไปเอง อย่างท่าเต้นหรือการแสดงออกนี่ก็ไม่ได้คิดไว้ก่อนเลยนะ มันออกมาเองหมดเลย

เจองานที่คนดูไม่สนใจนักร้องบ่อยไหม
ก็มีบ้าง อย่างที่อ่างทองหรือสุพรรณฯ เนี่ย คนที่มางานเลี้ยงเขาจะชินกับวงดนตรีแล้วนะเพราะว่ามันมีวงดนดรีเยอะ ไปงานไหนก็เจอ เขามากินเลี้ยงเสร็จแล้วก็กลับกันไป แต่ถ้าเป็นทางลพบุรี ชัยนาท นี่เขาจะเล่นเยอะ เขาจะรอดู เคยไปงานหนึ่งที่อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท เป็นงานขึ้นบ้านใหม่ พอเราไปถึงงานเราก็แปลกใจนะว่าทำไมเขาตั้งโต๊ะห่างเวทีมากๆ เลย แต่พอเล่นเพลงเร็วเพลงแรก คนเขาก็ออกจากโต๊ะมาเต้นข้างหน้าเต็มเลย อย่างกับมาดูคอนเสิร์ต

แล้วเคยเจอคนตีกันบ้างไหม
โอ้โห! บ่อยมากเลย คือเขาไม่สนใจเราเลย เราร้องเพลงอยู่ไม่มีใครฟังหรอก ข้างล่างเขายืนกันเป็น 2 ฟากแล้ว คือคิดจะมาตีกันตั้งแต่ต้น เราจะไปห้ามก็ไม่ได้ พอตีกันปุ๊บเราก็หนีเลย ไปห้ามเขาไม่ได้หรอก

ตอนนี้ก็ไม่มีใครที่ดูแล้วไม่สนุกแล้วนะ เพราะดังแล้ว
ตอนนี้ก็มีคนตั้งใจมาดูเรามากขึ้น บางงานที่ไปรถนี่ติดเลยเลยนะ คนก็เต็มตลอดถึงขั้นล้นออกมานอกร้านเลย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความดังของจ๊ะ คันหู นั้นต่อเนื่องมาจากคลิปวิดีโอในยูทูบ จำได้ไหมว่าตอนนั้นไปร้องเพลงที่ไหน
จำไม่ได้หรอกนะว่าเป็นงานไหน เพราะวงเทอร์โบมีคิวเล่นเยอะมาก เดินสายทุกวัน ซึ่งก่อนหน้านี้อาจะมีได้หยุดบ้าง วันสองวันต่อสัปดาห์

ที่ผ่านมาโดนต่อว่ามามาก กดดันบ้างไหม
ก็มีบ้างนะ แต่เราก็พยายามจะไม่รู้สึกอะไร เป็นเพราะเรารู้ตัวเองดีว่าเป็นคนอย่างไร แต่ที่ผ่านมาก็โดนแต่ในยูทูบนะที่เขาเขียนด่าเรา แต่ต่อหน้านี่ยังไม่เคยมีใครมาว่าให้ได้ยิน

เป็นคนที่เต็มที่กับงาน ซึ่งในบางทีหลายคนก็อาจจะมองว่าความเต็มที่ของคุณมันไม่เหมาะไม่ควร
เป็นคนร้องเพลงไม่ดี แต่เน้นการเอนเตอร์เทนมากกว่า ก็อยากไปเรียนร้องเรียนเต้นเพิ่มเหมือนกัน แต่ยังไม่มีโอกาส คืองานของเราคือการทำให้งานที่เจ้าภาพจ้างเราไปนั้นสนุกสนาน อย่างที่บอกว่าเราเต็มที่ทุกครั้ง เพราะอยากให้งานออกมาสนุกนั่นเอง

ทุกวันนี้ก็ยังเรียนอยู่พร้อมๆ กับทำงาน
ก็กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 สาขาการจัดการที่วิทยาลัยแถวบ้าน ซึ่งจริงๆ แล้วเราอยากเรียนนิเทศฯ นะ แต่ที่โรงเรียนไม่มีสาขานี้ เพื่อนๆ ที่โรงเรียนก็สนิทกันมาก อาจจะเป็นเพราะเราเป็นคนง่ายๆ แต่เรื่องการไปสังสรรค์นั้นไม่ค่อยมีเพราะกลางวันเราก็เรียน เย็นมาก็นั่งรถไปไปร้องเพลง ร้องเสร็จก็กลับบ้าน นอนมันในรถตู้นั่นแหละ ถึงบ้านเช้าเราก็ไปเรียนวนเวียนอยู่อย่างนี้ แต่ก็ชิน เพราะก่อนหน้านี้ชีวิตเราเป็นแบบนี้มานานแล้ว
การร้องเพลงมันเป็นงานที่ไม่หนักสำหรับเรา คือตั้งใจไว้เลยว่าจะร้องเพลงหาเงินไปด้วยและเรียนไปด้วย อาจจะเป็นเพราะเราร้องเพลงเป็นอาชีพมาตั้งแต่เด็กแล้ว

ตอนนี้เรียกว่าเลี้ยงตัวเองได้แล้ว
ได้ ตอบได้เต็มปากเต็มคำเลย แต่พอโตมาที่บ้าน พ่อกับแม่นี่เขาไม่เคยเอาเงินจากเราเลยนะ เหล้าก็ไม่ดื่ม บุหรี่เราก็ไม่สูบ เที่ยวก็ไม่เที่ยวก็เลยเก็บเงินไป

ร้องเพลงกลางคืนทุกๆ วันนี่เคยคิดอยากออกเทปบ้างไหม
เด็กๆ ก็อยากออกเทป ตอนนี้ก็อยากออกอยู่ แล้วมันก็ใกล้จะเป็นจริงแล้ว อีกเดือนกว่าๆ ก็จะมีเพลงออกมาแล้ว ความหวังของเรา ก็อยากมีเทปเฉยๆ ไม่ได้คิดถึงขั้นต่อไปเลย ไม่คิดว่าอยากจะเป็นซูเปอร์สตาร์ ขอแค่มีกระแสตอบรับที่ดีก็พอแล้ว

แล้วในอนาคตคิดจะเลิกร้องเพลงหรือเปล่า
ถ้านานๆ ไปมันก็ถึงจุดหนึ่งที่เราทำไม่ไหวหรืออยากพักอยู่แล้ว แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้แน่ๆ เพราะ เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่เท่าไหร่เอง

>>>>>>>>>>>

………..

เรื่อง : เอกชาติ ใจเพชร
ภาพ : พลภัทร วรรณดี






กำลังโหลดความคิดเห็น