จะกี่ยุคกี่สมัยไสยศาสตร์มนต์ดำอันซ้อนพลังเร้นลับก็ยังคงอยู่เคียงคู่ความเชื่อของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เรียกว่า ‘ศาสตร์มืด’ นั้น ถูกออกแบบเพื่อนำมาใช้ประกอบพิธีการทำร้ายอริศัตรู ทั้งการทำคุณไสย หรือพิธีการสาปแช่ง ฯลฯ ก็ล้วนถูกหยิบยกนำมากำราบอริศัตรู ไม่เว้นแม้กระทั่งแวดวงการเมืองของบ้านเราที่เต็มไปด้วยการแข่งขันก็ยังมีการนำศาสตร์มืดมาใช้อย่างโจ๋งครึ่ม!
ย้อนไปเมื่อ 16 มีนาคม ปี 2553 ได้เกิดเหตุฉาว ‘พิธีเทเลือด’ พิธีกรรมสาปแช่งของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพื่อหวังขับไล่อดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ลาออกจากตำแหน่งและประกาศยุบสภา โดยเกณฑ์เลือดจากพรรคพวกเสื้อแดงคนละ10 ซีซี(รวมกว่าหกแสนซีซี) จากนั้น วีระ มุสิกพงศ์ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น วีระกานต์) ประธานกลุ่มเสื้อแดง กับพลพรรค และพราหมณ์ก็เข้าทำพิธีเทเลือดลงบริเวณพื้นถนนหน้าทำเนียบรัฐบาล พร้อมทำพิธีสาปแช่งและเขียนอักขระลงบนโลหิตเป็นอันเสร็จพิธี
ถึงแม้งานนี้รัฐบาลหนุ่มมาร์คจะหมดวาระลง จริงแท้ประการใดก็ไม่อาจรู้ว่าเป็นเพราะคำสาปแช่งหรือไม่?
แต่ทันทีที่เข้าสู่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บรรดาลูกสมุนก็วิ่งกันขาขวิด ครั้นจะปล่อยเลยตามเลยก็หวั่นเสนียดจัญไรจะกลายเป็นปรากฏการ์โยโย่เอฟเฟกต์กระเด็นเข้าหารัฐบาลสาวปู งานนี้ก็เลยต้องดิ้นพล่านแก้คำสาปกันเสียหน่อย โดยเชื้อเชิญพราหมณ์เสื้อแดงเข้ามาล้างมนต์ดำในวันฤกษ์ยามงามเหมาะ 25 กันยายนนี้ ด้วยการชำระล้างคำสาปแช่งจากน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ถึง 9 วัด!
พิธีการสาปแช่ง และการถอนคำสาป
แม้พิธีการสาปแช่งนั้นจะดูเหมือนว่าสัมพันธ์กับพราหมณ์ แต่เท็จจริงแล้วชาวพราหมณ์ส่วนใหญ่กลับปฏิเสธ และบางครั้งอาจจะต่อต้านพิธีการดังกล่าวเสียด้วยซ้ำ สมภพ รัดรอดกิจ เจ้าของบ้านศายะ ซึ่งรับสอนและจัดทำพิธีกรรมทางพราหมณ์ทุกพิธีการ ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า สมัยโบราณพิธีพราหมณ์จะถูกแบ่งออกไปเป็นสองประเภทด้วยกัน คือพิธีกรรมที่ทำให้เกิดงานมงคลต่างๆ กับพิธีกรรมที่ทำให้เกิดงานอัปมงคลต่างๆ
"โดยหลักๆ แล้วศาสนาพราหมณ์ก็คือนับถือพระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ก็ไม่สนับสนุนอยู่แล้วให้กระทำพิธีกรรมอัปมงคล เพราะฉะนั้นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นมาจึงเป็นความเชื่อของเฉพาะบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น คือจริงๆ เราต้องเข้าใจก่อนว่า ในอินเดียนั้นมีหลายนิกาย และแต่ละนิกายก็จะมีคำสอน อักขระมนตรา และรูปแบบพิธีกรรมที่แตกต่างกันออกไป เช่น พิธีกรรมทางอินเดียตอนใต้ที่บูชาพระมหากาลี ก็จะมีการเซ่นเลือดถวาย แต่ทว่าพิธีกรรมพวกนี้ ผู้ที่เจริญแล้ว หรือได้รับการสั่งสอนมาก็มักจะไม่นิยมทำกัน"
อนึ่ง การใช้พิธีสาปแช่งนี้ ก็ใช่ว่าจะมีแต่แง่มุมที่ร้ายเสมอไป เพราะมันยังใช้ในความหมายทางการเมืองกลายๆ ด้วย โดยเฉพาะเวลาที่เกิดสงครามระหว่างแคว้นซึ่งเกิดขึ้น ซึ่งก็จะมีการปลุกหุ่น การสาปต่างๆ ด้วยคาถา โดยทั้งนี้ก็เพื่อวัตถุประสงค์หลักในการปลุกขวัญทหารของฝ่ายตัวเองให้มีกำลังในการต่อสู้กับข้าศึกนั่นเอง อย่างไรก็ตาม สมภพ ทิ้งท้ายว่าคำสาปแช่งที่ถูกเปล่งวาจาออกไปแล้วนั้นสามารถถอนคำสาปได้แต่ต้องขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของมัน
“แม้ในพิธีพราหมณ์จะมีการสาปแช่งเอาไว้ แต่ทั้งนี้คนทำพิธีการสามารถถอนคำสาปได้เช่นเดียวกัน โดยการที่ถอนได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับเหตุและผลว่าผู้ทำพิธีสาปเพื่ออะไร และถอนเพื่ออะไร ซึ่งถ้ายกเอาคำกล่าวของพระราชครูวามเทพมุนีเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าเรามีเจตนาในทางที่ไม่ดีตั้งแต่แรก การจะไปแก้ไขหรือถอดวิบากกรรมนี้ออกไปไม่ได้ ก็คงจะอธิบายเรื่องนี้ได้ดีที่สุด”
ไสยศาสตร์ พลังของจิตวิญญาณ
ปรากฎการณ์สาปแช่งและถอนคำสาปที่เกิดขึ้นนั้น ในเชิงจิตวิทยาจุดมุ่งหมายของไสยศาสตร์นั้นคงเป็นเรื่องของการสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง และข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม ผศ.อรพิน สถิรมน อาจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แสดงทัศนะเกี่ยวกับพฤติกรรมของกลุ่มคนที่เข้ามามีประสบการณ์ร่วมกับเหตุการณ์ดังกล่าว
“ในแง่ของผู้กระทำ ขณะที่พวกเขาทำมันเป็นลักษณะของการคล้อยตาม คือในทางจิตวิทยา คนที่ถูกรวมกันเป็นกลุ่มจำนวนมากๆ แล้วมีคนนำก็จะเกิดการทำตามกันไปด้วย ส่วนในแง่ของรัฐบาลชุดที่แล้วก็อาจจะไม่รู้สึกอะไรมากก็แค่ความเชื่อหรือไม่เชื่อในทางไสยศาสตร์ แต่ในเรื่องของคนไทยเราก็ไม่นึกว่าคนไทยจะทำกันได้ถึงขนาดนี้ โดยเฉพาะการเอาพระหรือลัทธิทางศาสนามาเกี่ยวข้องทางการเมือง ซึ่งมันไม่ควรจะเกิด ส่วนในเรื่องของการถูกกระทำ ถ้ารัฐบาลเดิมมีจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ ถูกกระทำไปก็คงไม่มีผลอะไร”
ถึงแม้ว่าสังคมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากมาย แต่การที่ไสยศาสตร์ก็ยังคงอยู่คู่กับสังคมเรื่อยมานั้น ผศ.อรพิน กล่าวว่า มันเป็นเรื่องของการหล่อหลอมจากคนสู่คนในสังคมซึ่งมีมานานแล้ว อย่างไรก็ตามถ้าคนในสังคมรู้จักคิดวิเคราะห์ และเชื่อมั่นในตัวเองให้มากขึ้น เรื่องไสยศาสตร์ในสังคมก็ละลดลง
“ความเชื่อบางครั้งเราก็ถูกหล่อหลอมมาจากกรอบของสังคมด้วยตั้งแต่เล็กๆ ไม่ใช่เราเพิ่งมาเชื่อตอนนี้ แต่ต้องเคยถูกหล่อหลอมมาก่อนหน้า มีการได้ยินได้ฟัง และความเชื่อนี้ก็ยังอยู่และยังคงอยู่ไปอีกนาน แต่ถ้าคนคิดวิเคราะห์มากขึ้นมีการยึดในหลักเหตุผลมากขึ้น เชื่อในตัวเองมากขึ้น ก็จะลดเรื่องนี้ลง”
บ้านเมืองชิบ (หาย) แน่ หาก...?
“ในความคิดของผมคงไม่จำเป็นต้องทำพิธีล้างอาถรรพ์อะไร ขอให้รัฐบาลคิดดี ทำดี ทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ คุณความดีก็จะปกปักษ์รักษารัฐบาลเอง แต่ถ้าทำเพื่อคนๆ เดียว หรือตอนหาเสียงพูดอย่างเวลามาเป็นรัฐบาลแล้วทำอีก อย่าง ถ้าทำอย่างนี้รัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีอาถรรพ์อะไรเลย”
หนุ่มเจ้าของผลงานหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด ‘คน (ไม่) เหมือนกัน’ ชาติณรงค์ วิสุตกุล ผู้เสพติดการเมือง กล่าวแสดงความคิดเห็นถึงเรื่องดังกล่าว
และยอมรับว่าเรื่องพิธีกรรมสาปแช่ง-ถอนคำสาปนั้นเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ถ้าเชื่อแต่พองามมันก็ไม่เสียหาย อย่างไรก็ตามแต่ไม่ว่าจะมีอาถรรพ์หรือไม่ ตนคิดว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้รัฐบาลอยู่ไปต่อได้น่าจะเป็นเรื่องของศักยภาพในการบริหารประเทศเสียมากกว่า
“อีกอย่างผมคิดว่า ส.ส.ควรจะทำงานที่สร้างสรรค์ ประเทศมีปัญหามากมายที่ต้องแก้ไข ปัญหาน้ำท่วม ปัญหาข้าวของราคาแพง ปัญหาความแตกแยกในสังคม ปัญหาคนไทย 2 คนติดคุกเขมรอย่างไม่เป็นธรรม ปัญหาอื่นๆ อีกมากมายรัฐบาล และสภาฯ ควรเอาเวลามาแก้ปัญหาบ้านเมือง ช่วยเหลือประชาชนมากกว่ามาคิดเรื่องพรรค์นี้ และเท่าที่ทราบบอกว่า จะนำน้ำมนต์ 9 วัดมาให้พราหมณ์ทำพิธี ฟังดูนำเอาพุทธกับพราหมณ์มาปะปนกันมั่วไปหมด”
...........
ถึงจะทำการปัดเป่าเสนียดที่เกาะกุมบริเวณทำเนียบรัฐบาล จะนำน้ำมนต์ 9 วัด มาลาดถอนคำสาปแช่งให้พ้นคลื่นทะเลเลือดของสาวกเสื้อแดง ที่พร้อมพลีเพื่อไล่รัฐบาลชุดก่อน ท้ายที่สุดแล้วก็เชื่อว่าหากรัฐบาลชุดปัจจุบันขาดประสิทธิภาพในการจัดการบริหารประเทศก็คงแพ้ภัยตัวเองพ่ายอย่างศิโรราบ.
>>>>>>>>>>>
………..
เรื่อง : ทีมข่าว CLiCk
ภาพ : ทีมภาพ CLICK