xs
xsm
sm
md
lg

จับตา 'การเมืองสีเขียว' อุดมการณ์ 'พรรคกรีน' ในสังคมไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เปิดตัวไปแล้วสำหรับกลุ่ม 'การเมืองสีเขียว' ภายใต้การนำทีมของ สุริยะใส กตะศิลา อดีตเลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งแยกตัวออกมาภายหลังความขัดแย้งอย่างหนักภายในพรรค เกี่ยวกับส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา โดยทั้งนี้ แกนนำกลุ่มได้หยิบยกเอา 3 พันธกิจ อย่าง

1. การตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชัน
2. การขับเคลื่อนกิจกรรมพัฒนาเพื่อเป็นต้นแบบนโยบายพรรคการเมือง
3.การเตรียมจัดตั้งพรรคการเมืองของประชาชน ผ่านการสร้างฐานมวลชนและแนวร่วมในการตรวจสอบรัฐบาล

โดยทางกลุ่มมีแนวทางการทำงานในลักษณะการเพิ่มอำนาจให้แก่ประชาชนและลดอำนาจรัฐ เข้ามาเป็นเป้าหมายหลักของการทำงาน

แม้งานนี้จะมีการประกาศแนวทางออกมาค่อนข้างชัดเจนว่า จะทำอะไรก็ตาม แต่สิ่งน่าสนใจมากไปกว่านั้น เห็นจะไม่พ้นการใช้ชื่อกลุ่มว่าการเมืองสีเขียว เพราะมันช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ พรรคกรีน (Green Party) ในสังคมต่างประเทศเสียเหลือเกิน และเมื่อหยิบเอาท่วงทำนองการให้สัมภาษณ์ของสุริยะใสผ่านเว็บไซต์ของศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมืองที่ว่า

“ผมคิดว่าเราชูเรื่องการเมืองสีเขียว สเต็ปแรกคือจะรับเอาแนวคิดกรีน แนวคิดนิเวศวิทยา แนวคิดสังคมสีเขียว หรือการเคลื่อนไหวแบบใหม่เข้ามาเป็นต้นแบบในการขับเคลื่อนกลุ่ม”

ก็จะพบว่า กลุ่มนี้คงจะเจริญรอยตามพรรคกรีนในอีกไม่ช้าแน่ๆ

อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่า สำหรับสังคมไทยแล้ว ความเข้าใจเกี่ยวกับการแนวทางนี้ยังมีจำกัดอยู่มาก และแม้ที่ผ่านมาจะมีคนเคยนำเสนอแนวทางนี้มาแล้วบ้าง แต่สุดท้ายก็ดูจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นเพื่อให้เห็นภาพขยายของแนวคิดการเมืองสีเขียวให้มากขึ้น จึงขอพาไปรู้จักกับที่มาที่ไป รวมไปถึงแนวคิดของพรรคกรีนว่าคืออะไร มีเป้าหมายเช่นใด และสุดท้ายแล้วสังคมจะได้ประโยชน์อย่างไร

[1]

หากพลิกประวัติศาสตร์การเมืองของโลกใบนี้ คงต้องยอมรับว่าแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องพรรคกรีนนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกหน้าของสังคมแต่อย่างใด เพราะนับตั้งแต่ปี 2515 ที่พรรคกรีนถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกที่นิวซีแลนด์ โดยชูนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นมาเป็นแนวทางการต่อสู้การเมือง และวิธีคิดดังกล่าวก็ได้แพร่กระจายไปตามพื้นทวีปทั่วโลก ทั้งอเมริกา ยุโรป แอฟริกา เอเชีย และโอเชียเนีย

“ในบริบทสากลโดยทั่วไป แนวคิดแบบกรีนจะต่อต้านการทำลายระบบสภาวะแวดล้อม และรักษาให้คงสภาพเดิม เพราะฉะนั้นพอแนวคิดนี้เข้ามาอยู่ในระบบพรรคการเมืองก็เลยมักจะชูสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก โดยเริ่มแรกก็จะมาจากการที่พรรคการเมืองส่วนใหญ่มักจะไม่สนใจ คือมุ่งเน้นแต่การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ หรือกำลังเป็นเป็นหลัก ส่วนเรื่องต้นทุน หรือความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมก็เกิดขึ้นโดยปริยายก็ปล่อยไป ซึ่งแบบนี้มันทำให้กลุ่มประชาสังคมที่เคลื่อนไหวเรื่องนี้หรือกลุ่มเอ็นจีโอเกิดความคิดว่าไม่สนใจไม่ได้แล้ว เพราะมันเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ก็เลยต้องเกิดพรรคกรีนขึ้นมา และมันจะเกิดขึ้นมากในยุคที่คนตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อม” ศ.ดร.สุรชัย ศิริไกร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อธิบาย

โดยแนวทางและหลักการของพรรคกรีนในประเทศต่างๆ จะมีรายละเอียดที่แตกต่างออกไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ แต่จะมีจุดร่วมสำคัญ 4 ประการคือ

1.นิเวศวิทยา
2.ความเป็นธรรมทางสังคม
3.ประชาธิปไตยระดับรากฐาน
4. สันติวิธี

โดยทั้งหมดนี้จะอาศัยแนวคิดทางด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นตัวต่อยอดนำไปสู่นโยบายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะไม่เน้นการเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่จะเน้นการวางรากฐานอย่างยั่งยืน หรือการวางผังเมืองก็จะไม่มีทำลายสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศวิทยา

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา มีไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่พรรคกรีนจะประสบความสำเร็จทางด้านการเมือง ตัวอย่างพรรคกรีนของประเทศเยอรมนี ปัจจุบันที่เห้นว่ากำลังไปได้สวยคือ พรรคกรีนของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2535 แต่เพิ่งมาประสบความสำเร็จในการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี 2553 นี่เอง หรือแม้แต่พรรคกรีนของสหรัฐอเมริกา ที่ป่านนี้ก็ยังไม่เคยชนะการเลือกตั้งเลยสักครั้ง และยิ่งกับบางประเทศ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะแทบจะไม่เคยเกิดแนวคิดนี้ขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ

ซึ่งเรื่องนี้ ศ.ดร.สุรชัยก็วิเคราะห์ว่า ปัจจัยสำคัญนั่นมาจากคุณภาพของประชากรในประเทศนั้น โดยเฉพาะแนวคิดต่อเรื่องการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนว่า มีมากน้อยแค่ไหน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสนใจของคนส่วนใหญ่ในโลกนี้มักจะอยู่ในสิ่งที่ใกล้ตัวและจับต้องได้ เช่น อาชีพและรายได้มากกว่าสิ่งแวดล้อมซึ่งถือว่าไกลตัวออกไป

“พรรคกรีนมักจะเกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาก่อน เพราะประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีกำลังพอ เพราะเขาจะเน้นแต่เรื่องการพัฒนาของจีดีพีและการกระจายรายได้ให้เท่าเทียมมากขึ้นเป็นหลัก อีกอย่างก็คือการพูดให้ประชาชนเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ก็ต้องให้การศึกษาอยู่พอสมควร ไม่เช่นนั้นก็จะมีเสียงออกมาว่า 'ฉันยังไม่มีจะกินเลย ทำไมต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย' เพราะฉะนั้นแนวคิดแบบนี้มันจึงถือเป็นอีกระดับหนึ่งแล้ว คือต้องเป็นคนที่มองในภาพรวมและเห็นในอนาคต

“เช่นเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แม้จะมีพรรคแบบนี้แต่หลายๆ พรรคก็ไม่มีแรงเหมือนกัน เพราะประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังสนใจเรื่องของการมีงานทำ การเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นคู่ต่อสู้จริงๆ ของพรรคกรีน ก็คือลัทธิบริโภคนิยมและทุนนิยม เพราะทั้ง 2 ลัทธินี้ถูกส่งเสริมโดยนายทุนที่มุ่งให้คนบริโภคๆ อย่างเดียว เพื่อตัวเองร่ำรวย เพราะถ้าคนบริโภคน้อย นายทุนก็เจ๊ง ดังนั้นมันจึงเกิดยาก เพราะนายทุนจะไม่สนับสนุนและต่อต้านด้วยซ้ำ”

จากเหตุผลดังกล่าว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ถึงแม้คนในสังคมโลกจำนวนมากจะหันมาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่เวลาลงคะแนนกลับไม่เลือกพรรคพวกนี้ และหันไปเลือกพรรคที่มุ่งเน้นนโยบายทางเศรษฐกิจมากกว่า

แต่ทั้งหมดนี้ก็ใช่ว่าโอกาสของพรรคกรีนจะหมดไปเสียที เพราะตัวกระตุ้นที่ดีที่สุดที่ทำให้คนหันมาสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก็คือสภาวะแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนไป ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ การเติบโตของพรรคกรีนในเยอรมนี ซึ่งถือเป็นประเทศที่เจริญเติบโตทางด้านอุตสาหกรรมอย่างหนัก แต่ในขณะเดียวก็ก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างไม่หวาดไม่ไหว และเป็นเหตุให้พรรคกรีนประสบความสำเร็จนับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2526 เป็นต้นมา

“ถ้าสังเกตปีนี้มีพายุ หรือแผ่นดินไหวค่อนข้างเยอะ ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นโอกาสให้พรรคกรีนได้กระตุ้นจิตสำนึกของคนเห็นผลกระทบของภัยพิบัติ เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่ทำให้คนได้เห็นว่า หากไม่สนใจสิ่งแวดล้อมแล้วจะเป็นยังไง แต่ที่ผ่านมา ดูเหมือนแทบจะไม่มีพรรคกรีนที่ไหนออกมาเต้นเลย”

[2]

แม้ ศ.ดร.สุรชัยจะบอกว่าส่วนใหญ่ประเทศกำลังพัฒนาจะไม่ค่อยมีพรรคกรีนให้เห็น แต่ถ้าย้อนกลับไปดูเส้นทางการเมืองไทย ก็จะพบว่าที่ผ่านมาก็เคยมีความพยายามของกลุ่มบุคคลที่จะตั้งพรรคการเมืองลักษณะนี้เช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จ และปิดฉากไปอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ในปี 2543 หลังจาก ดร.พิจิตต รัตตกุล ซึ่งมีภาพลักษณ์ทางด้านสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน พอหมดวาระการดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ตั้ง 'พรรคถิ่นไทย' ขึ้นมาเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 6 มกราคม 2544 โดยพรรคใช้รูปแบบเดียวกับของพรรคกรีน

แต่ดูเหมือนแนวคิดนี้จะไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร เพราะสุดท้ายพรรคไม่ได้รับการรับเลือกแม้แต่คนเดียวเลย แม้ภายหลัง บุญเติม จันทะวัฒน์ จะได้รับเลือกตั้งที่จังหวัดร้อยเอ็ด แต่ก็เป็นเพราะผู้สมัครเดิมของพรรคไทยรักไทยที่ได้รับใบแดงเทคะแนนให้นั่นเอง

จากการพูดคุยกับ รศ.ดร.บรรณโศภิษฐ์ เมฆวิชัย อดีตหัวหน้าพรรคถิ่นไทยในช่วงก่อตั้ง อธิบายปัจจัยสำคัญที่ทำให้พรรคไม่ประสบสำเร็จว่ามาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าสภาวการณ์ทางการเมืองในขณะนั้น ซึ่งถูกจำกัดให้เป็นการต่อสู้กันระหว่างพรรคใหญ่เท่านั้น ทำให้ประชาชนยังไม่ต้องการทางเลือกที่ 3 หรือไม่แต่การตอบรับในเรื่องปรัชญาและแนวคิดของพรรค ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจแนวทางนี้

และที่สำคัญก็คือ รูปแบบของการเลือกตั้งในขณะนั้นไม่เปิดโอกาสให้พรรคเล็กพรรคน้อยเข้ามามีบทบาทในสภาผู้แทนราษฎรเท่าที่ควร โดยเฉพาะการกำหนดอัตราขั้นต่ำของการได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อที่ 5 เปอร์เซ็นต์ ก็เท่ากับเป็นการปิดตายให้พรรคเล็กๆ เช่นนี้ไปโดยปริยาย

ขณะเดียวกัน เรื่องบุคลากรก็ถือว่ามีส่วนสำคัญมากๆ เพราะถึง รศ.ดร.บรรณโศภิษฐ์จะไม่ได้กล่าวไว้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ส่วนใหญ่คนในพรรคแทบจะไม่มีฐานเสียงทางเมืองเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นโอกาสที่คนเหล่านี้จะผ่านสังเวียนเลือกตั้งไปจึงเป็นยากมาก และถ้าลองอิงคำพูดของ ศ.ดร.สุรชัยที่บอกว่า พรรคกรีนนั้นส่วนใหญ่เติบโตมาจากกลุ่มประชาสังคม ดูก็จะพบความจริงที่ว่า กลุ่มภาคประชาสังคมในสังคมไทยแทบจะไม่มีบทบาทหรือชื่อเสียงเท่าที่ควร แถมยังต้องเจอคนที่อยากจะมาลงสมัคร แต่ไม่มีอุดมการณ์ใดๆ ในเรื่องนี้แม้แต่น้อยอีกต่างหาก

[3]

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้พรรคถิ่นไทยจะประสบความล้มเหลวทางการเมือง แต่ก็ใช่ว่าโอกาสของพรรคกรีนในประเทศไทยจะปิดตายไปเสียทีเดียว เพราะอดีตหัวหน้าพรรคถิ่นไทยก็ยังมองว่า พรรคการเมืองแบบนี้ก็ยังถือว่า จำเป็นอยู่ แม้ว่าจะมีโอกาสน้อยมากที่คนส่วนใหญ่จะเลือกก็ตาม

เพราะฉะนั้นทางรอดที่สำคัญ จึงอยู่ที่ตัวพรรคหรือกลุ่มการเมืองจะมีความชัดเจนและเจตจำนงที่ดำเนินแนวทางการเมืองในรูปแบบนี้จริงๆ หรือไม่ โดยเรื่องนี้ รัตยา จันทรเทียร ประธานมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ได้ขยายประเด็นว่า ที่ผ่านมาพรรคการเมืองส่วนใหญ่มักจะมุ่งเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น เพราะฉะนั้นหากมีพรรคการเมืองสีเขียวขึ้นมาจริง ก็ต้องไม่ดำเนินแนวทางเช่นนั้น แต่จะต้องรักษาทรัพยากรธรรมชาติและผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับคำอธิบายของสุริยะใสที่บอกว่า สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนตั้งพรรค ก็คือสมาชิกของกลุ่มจะต้องมีการตกผลึกก่อน และทุกคนจะมีแนวคิดกรีนอยู่ในสำนึก ส่วนพรรคนั้นเป็นเพียงแค่เครื่องมือหนึ่งของการสร้างกระแสกรีนในสังคมให้มีความยั่งยืนเท่านั้น

“ผมมองว่าการสร้างพรรคกรีนก่อน แล้วใช้พรรคสร้างกระแสกรีนนี่ผิด แต่เราต้องสร้างกระแสกรีนให้เป็นวาระของสังคมก่อนว่า เรื่องโลกร้อนนี่มันใหญ่กว่าเรื่องเหลืองแดง มันใหญ่กว่าว่าทักษิณอยู่ที่ไหน จะกลับเมื่อไหร่ ถ้าเราสร้างให้คนตระหนักและเห็นความสำคัญ ผมว่าพรรคมันจะเกิดขึ้นได้”

ด้วยเหตุนี้ จึงอาจจะกล่าวได้ว่า การประยุกต์แนวคิดกรีนนี้ให้เข้ากับประเทศไทยก็ถือหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ก็คงไม่ผิด เพราะอย่าง ทศพล แก้วทิมา โฆษกกลุ่มการเมืองสีเขียว ได้อธิบายให้เห็นว่า จริงๆ แล้วเรื่องสิ่งแวดล้อมถือเป็นทางเลือกและทางรอดเพียงไม่กี่ทางของประเทศไทย แถมยังสัมพันธ์ไปกับแนวคิดอื่นๆ อีกต่างหาก โดยเฉพาะแนวทางการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งจะต้องมีการกระจายอำนาจสู่ประชาชนในชนบทอย่างแท้จริง ไม่ใช่รวมศูนย์อย่างทุกวันนี้

“ทฤษฎีพรรคการเมืองกรีนที่เคยเอามาส่วนใหญ่เราก็ยกมาทั้งดุ้น ไม่เหมาะสมกับบริบทกับสังคมบ้านเรา สุดท้ายแนวคิดหรืออุดมการณ์แบบนี้เลยไปไม่รอด จริงๆ เราต้องศึกษาบริบทของสังคมไทยด้วยว่า เครื่องมือแบบไหนถึงจะเอามาใช้ในประเทศไทยได้ ต้องประยุกต์ใช้อย่างไรให้มีความเหมาะสม

“อย่างตอนนี้เราต้องเข้าใจว่าการพัฒนาประเทศนั้น ประชาชนไม่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง รัฐธรรมนูญปี 2540 ก็ไม่ได้เป็นเครื่องมือที่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง การกระจายอำนาจ ผมคิดว่าเป็นทิศทางที่ถูกต้องที่จะทำให้ประชาชนสามารถที่จะใช้และบริหารทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรม วันนี้เราต้องกระจายความเจริญออกสู่ชนบท ความเจริญที่ว่านี้ไม่ใช่ให้คนกรุงเทพฯ หรือคนส่วนกลางเป็นผู้ชี้ว่านี่คือความเจริญ ต้องให้คนชนบทเขามีสิทธิในการดูแลรักษา พัฒนาท้องถิ่นของตัวเองภายใต้ทรัพยากรและวิถีที่เขามีอยู่และมีโอกาสใช้ทรัพยากรอย่างเป็นธรรมด้วย ถึงจะเรียกว่าการกระจายอำนาจอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ใช่กระจายอำนาจให้นักการเมืองท้องถิ่นอย่างที่เป็นอยู่”
..........

แม้อุดมการณ์และแนวคิดจะถูกยกให้เป็นปัจจัยรองอยู่เสมอ เวลาที่ประชาชนจะเลือกพรรคใดพรรคหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจที่เขา (มีโอกาสจะ) ได้รับ แต่ก็ใช่ว่า พรรคการเมืองทางเลือกจะไม่ใช่มีความจำเป็นเลย เพราะนั่นย่อมหมายถึงคุณภาพทางความคิดของประชาชนในประเทศนั้นว่า ลึกๆ แล้วให้ความสำคัญกับเรื่องอะไร

อย่างกรณีของพรรคกรีนที่ไม่เคยเกิดขึ้นได้จริงในสังคมไทย ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ดีพอสมควรว่า ถึงทุกคนจะบอกว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมกำลังมาแรง แต่เอาจริงนั่นก็จะเป็นเพียงกระแสที่พัดมาแล้วก็หายไป เพราะถึงอย่างไรเรื่องพวกนี้ก็ไม่สำคัญมากไปกว่าปัญหาเฉพาะหน้าอย่างทองแพง น้ำมันแพง ดอกเบี้ยน้อยอยู่วันยังค่ำ
>>>>>>>>>>>
……….
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK

กำลังโหลดความคิดเห็น