xs
xsm
sm
md
lg

เปรียบชีวิตดั่งปาฏิหาริย์ “ชรินทร์ นันทนาคร”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอ่ยชื่อ “ชรินทร์ นันทนาคร” เชื่อว่าเด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่คุ้นหูนัก แต่ถ้าเป็นรุ่นคุณยาย หรือคุณแม่ ได้ยินชื่อนี้เมื่อไหร่เป็นต้องออกอาการชื่นชอบอย่างเห็นได้ชัด ด้วยน้ำเสียงเอื้อนแบบคนเหนือ บวกกับบุคลิกที่มีเสน่ห์ ทำให้เขาเป็นศิลปินที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่บทเพลงของเขาก็ยังมีความเป็นอมตะ และมีแฟนเพลงติดตามอย่างเหนียวแน่นเสมอ

M-Light นัดพูดคุยกับชรินทร์ที่บ้านย่านรามคำแหง ซึ่งไม่บ่อยครั้งนักที่เขาจะเปิดให้สื่อได้เข้าไปสัมภาษณ์ถึงภายในบ้าน อาจจะเป็นเพราะเขาใช้ชีวิตแบบเรียบๆ ง่ายๆ และต้องการความเป็นส่วนตัว เมื่อประตูรั้วเปิดออก สิ่งแรกที่เห็นคือสวนสวยสีเขียวบนพื้นที่กว้างขวาง บรรยากาศร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ชายวัย70 กว่าๆ เดินเข้ามาทักทายด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง สีหน้ายิ้มแย้ม ชักชวนให้นั่งพูดคุยอย่างสบายๆ เป็นกันเองในห้องรับรองแขก พร้อมทั้งบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา ซึ่งเขาเปรียบชีวิตดั่งเพลง มีสมหวัง ผิดหวัง และทุกวันคือปาฏิหาริย์ที่ได้ร้องเพลงเป็นอาชีพที่ตนเองรัก มีแฟนเพลงติดตามมากมาย มีครอบครัวที่มีความสุข และอยู่ในบ้านแสนอบอุ่น

ปาฏิหาริย์หมายเลข 1 : ได้เป็นศิลปินเพลง
10กว่าปีที่เขาจัดชรินทร์ อิน คอนเสิร์ต นับตั้งแต่ครั้งแรก จนถึง "ชรินทร์ อิน คอนเสิร์ต หมายเลข12" "ปาฎิหาริย์รัก" ซึ่งกำลังจะจัดขึ้นเร็วๆ นี้ ก็มีแฟนเพลงติดตามอย่างเหนียวแน่น เป็นการตอกย้ำถึงความเป็นศิลปินนักร้องอาชีพคุณภาพอีกคนหนึ่งของวงการ ที่มีบทเพลงที่เป็นอมตะมากมาย และอยู่ในใจคนฟังเสมอ
 

“ผมเริ่มทำ ชรินทร์ อิน คอนเสิร์ต หมายเลข 1 ตอนปี 2541ปีนั้นผมได้เป็นศิลปินแห่งชาติ สมเด็จพระเทพฯ เสด็จทอดพระเนตร ศิลปินจะมีเวลาประมาณ 15 นาที ที่จะแสดงผลงาน ผมก็คิดว่าอยากนำเสนอเรื่องราวคล้ายๆ ชีวิตดั่งเพลง เพราะว่าชีวิตผมนี่เหมือนกับบทเพลงมีเรื่องราวมากมาย ทั้งสมหวัง ผิดหวัง ก็เริ่มด้วยเพลง “ผู้ชนะสิบทิศ” ซึ่งเป็นเพลงที่ครูไสล ไกรเลิศ บุคคลที่ผมไปเรียนร้องเพลงด้วย เป็นผู้เขียนขึ้นมา เพลงที่ทำให้เราพบรักก็เพลง “ทาษเทวี” ต่อมาความรักเราก็ล่มสลาย แล้วเราก็พบรักอีกครั้งกับ "เพชรา เชาวราษฎร์" ก็เปรียบดั่งเพลง “หยาดเพชร”
  

ผมก็แอบอธิษฐานว่าขอให้คอนเสิร์ตครั้งนี้คนปรบมือกันเยอะ มีแฟนเพลงชอบ ปรากฎว่ามีคนปรบมือยาว แล้วคนกรี๊ดกร๊าดกันมาก (หัวเราะ) หมายถึงว่าคนดีใจนะ ซึ่งรอบนั้นเป็นรอบที่มีศิลปินแห่งชาติมาขับร้อง ผมก้ถือว่าเป็น ชรินทร์ อิน คอนเสิร์ต หมายเลข 1 วันนั้นเป็นวันที่ผมประทับใจมาก ผมก็อธิษฐานไว้ว่าจะมีชรินทร์ อิน คอนเสิร์ต อีกต่อไปเรื่อยๆ ก็ทำมาถึงครั้งนี้เป็นครั้งที่ 12
  

คอนเสิร์ตยิ่งหมายเลขมากยิ่งยากขึ้นๆ เหมือนเราก่อขึ้นไปเรื่อยๆ มันสูงขึ้น ยิ่งสูงก็หนาว ยากขึ้นในเรื่องของความคิดที่จะนำเสนอบทเพลง บทเพลงเรามีเยอะ แต่ความคิดที่เราจะเอามานำเสนอเนี่ยยากมาก แล้วจะมาทำให้มันเป็นธีม ให้ออกมาแล้วใช่ สนุก มีเรื่องราว มีความน่ารักในบทเพลง ผมคิดว่านี่แหละที่สำคัญที่สุด
  

ที่ผมดีใจคือแฟนเพลงวัยรุ่น ซึ่งแรกๆ มีเปอร์เซ็นต์น้อยมาก แต่ทุกวันนี้ มีวัยรุ่นมาซื้อบัตร ถึงแม้จะเป็นแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าเขามาแล้ว ก็จะมีคนคอยถามว่าซื้อให้แม่หรือเปล่า หรือให้ยายหรือเปล่า (หัวเราะ) เขาบอกว่าไม่ เขาชอบบทเพลงเหล่านี้ เขามาดูเอง ผมคิดว่าเพลงวัยรุ่นมันก็ซ้ำๆ กันนะ วนไปเวียนมา ผมก็เลยคิดว่าเขาหลงมาฟัง แล้วบทเพลงมันใช่ เป็นบทเพลงที่ยั่งยืนจีรังการ
  

บทเพลงที่เป็นบทเพลงแท้ๆ มันต้องมีสัมผัสนอก สัมผัสใน มีวรรค-ตอนของมัน คือเพลงมันต้องมี 32 ห้อง 8 แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ท่อนหนึ่ง ท่อนสอง ท่อนสาม ท่อนจบ หรือ 32 ห้องก็คือ 16-16 อย่างเพลงอาลัยรัก “ชั้นรักเธอ รักเธอ ด้วยความไหวหวั่น แม้มีปีกโผบินได้เหมือนนก” มันจะมีขั้นตอนของบทเพลง เพลงจะติดตาตรึงใจคนไปได้นานแค่ไหนมันขึ้นกับอำนาจของบทเพลงนั้นๆ จะเห็นว่าเพลงสมัยก่อน ผ่านไปครึ่งศตวรรษก็ยังอยู่ เพลงเรือนแพนี่ตั้งแต่ปี 2502 ผู้ชนะสิบทิศอายุมากกว่าเรือนแพอีก (หัวเราะ)
  

ละครช่วยได้เยอะมาก อย่างละครวนิดา “เมื่อคิดให้ดีโลกนี้ประหลาด บุฟเพสันนิวาษ...” แล้วก็เรือนแพ “เรือนแพสุขจริงอิงกระแสธารา...” ก็ทำให้วัยรุ่นหันมาคิดถึงเพลงเก่าๆ ผมก็รู้สึกดีใจ
อยากให้คนรุ่นใหม่มาฟัง เราก็ต้องปรับปรุงตัวเราด้วย เราต้องหาเพลงดีๆ ที่มันมีเอกลักษณ์ ครั้งนี้เราก็เอาเพลงใส่เข้าไป ขอรักเธอ รักเธอคนเดียว หญิงใดไม่ปองข้องเกี่ยว ขอรักคนเดียว...” เนื้อเพลงก็จะบอกว่าจะรักแต่คนเดียว จะไม่ฝ่าฝืนประเพณี ซึ่งเพลงแบบนี้จะตรงข้ามกับวัยรุ่นสมัยนี้ เราไปเสนอเพลงแบบนี้ ซึ่งคิดว่าเขาอาจจะเหลียวมองเราบ้าง เราลองไปขัดๆ เขาบ้าง ก็ต้องมีความคิดอ่านที่จะเสนองาน
  

เดี๋ยวนี้มีวัยรุ่นสนใจเพลงลูกกรุงมากขึ้นนะ มีขอลายเซ็นต์ ปกติวัยรุ่นมาถ่ายรูปกับชรินทร์ไม่ค่อยมี (หัวเราะ) เดี๋ยวนี้เยอะ เขาก็เรียกคุณอา คุณลุงบ้าง ผมก็ถามว่ารู้ได้ไงว่าผมชื่ออะไร เขาก็บอกชื่อชรินทร์ ร้องเรือนแพ ชื่นชมมากเลยค่ะ ก็แสดงว่าเขาไปกับเราได้ เมื่อเขาได้สัมผัสเขาก็รู้ว่าของจริง”
 
บทเพลงกว่า 1, 000 เพลง ที่เขานำมาขับกล่อม จนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่ขับร้องเพลงไทยสากลผสมผสานกับเพลงไทยเดิม มีท่วงทำนองสูงต่ำเอื้อนด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์ชวนฟัง และออกเสียงอักขระได้ชัดเจน ถ่ายทอดอารมณ์ของบทเพลงได้อย่างลึกซึ้ง เพลงรักอย่าง “เรือนแพ” ก็ฟังแล้วชวนฝัน เพลงปลุกใจอย่าง “ผู้ชนะสิบทิศ” ก็ฟังแล้วรู้สึกฮึกเหิม
  

“การเป็นศิลปิน ถ้า born to be นะ เขาจะสร้างอารมณ์เข้าไปกับบทเพลงได้ไม่ว่าจะอยู่ในมุมไหนๆ แล้วสังเกตนักร้องผู้ยิ่งใหญ่ ยกตัวอย่างในเมืองไทยไม่ยกตัวอย่างชรินทร์หรอก (หัวเราะ) พุ่มพวง ดวงจันทร์ เวลาเขาร้อง เขาจะใส่ทั้งหมดลงไป ทุกเพลงของเขาจะมีอารมณ์ มีความรู้สึกที่ฟังเพลงแล้วประทับใจนะ “แล้วเอามือแปะไว้บนหัวเข่า อยากกระซิบเบาๆ ว่าคืนนี้เหงาใจจังเลย” (ร้องเพลงพุ่มพวง) มันใช่นะ เขาถึงโด่งดัง
  

อย่างเพลงผู้ชนะสิบทิศ เวลาเราร้องเพลงนี้ เราก็ต้องคิดว่าเราอยู่บนหลังม้านะ กำลังถือดาบเข้าไปชนกับข้าศึก ต้องสู้ เจ็บไม่เป็นไร อย่าให้ชาติต้องล่มสลาย คิดอย่างนี้ เพลงรักเราก็ต้องสมมตินางเอกให้เข้ามาอยู่ในบทเพลง ถ้าการสมมติหรือความฝันของเราอลังการเพลงก็ออกมาดี
  

ผมได้เปรียบตรงที่ผมเป็นคนเชียงใหม่ คนเชียงใหม่โดยมากน้ำเสียงเขาจะนุ่มนวล จะมีดนตรีในน้ำเสียง มันจะมีเพลงจ๊อย เพลงซอ ของเชียงใหม่ (อู้เพลงกำเมือง) มันจะเอื้อนมาเอื้อนไป เราก็จะติดร้องแบบนี้ มันก็กลายเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมันโชคดี กลายเป็นเสน่ห์ของบทเพลงไป เอื้อนๆ หน่อย
  

ผมชอบภาษาไทยมาก คือภาษาไทยเป็นภาษาเดียวในโลก มีมีอักษร สูง กลาง ต่ำ เพลงไทยนี่ต้องหาเสียงกลางเสียงต่ำมันต้องเข้าไปด้วยกันหมด อย่างเพลง “พริ้วลมลอยอยู่ ดอกบานแล้วดูโสภา แลสวยงามสง่าอยากเด็ดเจ้ามาไว้ชม” เพลงนี้คนนึกว่าเพลงไทย แต่จริงๆ เป็นเพลงฝรั่ง เอาภาษาไทยใส่ไปให้ถูก เพลงDaisy Bell ของฝรั่ง ด๊า ดา ดี๊ ดา ดี่ ดี ดี๊ ดี่ ยาก สมัยนี้ทำไม่ได้”
 

ระหว่างการสนทนาเมื่อพูดถึงเรื่องเพลงเขาจะยกตัวอย่างบทเพลงโดยร้องเพลงด้วยน้ำเสียงทุ้มกังวาล ซึ่งเขาบอกเคล็ดลับการรักษาสุขภาพกายและใจว่าใช้วิธีง่ายๆ คือต้องร้องเพลงทุกวัน
 

“การรักษาความเป็นศิลปินคุณภาพไว้ได้ หนึ่งคือต้องรักเพลง อยู่กับเพลง และไม่ทอดทิ้งเพลง ต้องร้องทุกวัน ร้องอะไรก็ได้ ร้องไปเถอะ จะอาบน้ำก็ร้อง “ฟ้าอย่าหวงดาวร่วงหล่นหนา เพียงพริบตาเห็นดาวใหม่คล้อยมาแทน” หรือ “เรือนแพสุขจริงอิงกระแสธารา..” ผมก็วิ่งไปร้องไป วิ่งในสวนบ้านผมเนี่ย
 

สิ่งที่ได้จากการร้องเพลง หนึ่งคือได้ความสุขที่แท้จริง เราร้องเพลงแล้วมีความสุขใจ และมันก็ช่วยให้เราไม่ลืมเพลง เพลงก็จะไม่ลืมเรา เวลาเราเสนองานอะไร เราก็จะเสนอแบบคล่องแคล่วว่องไว เพราะว่าเราร้องมันทุกวัน เพลงลูกทุ่งก็ร้อง “มองดูเดือนเหมือนเตือนให้ใจคิดถึง” นี่ผมก็เอามาใส่ในคอนเสิร์ตครั้งนี้ แต่เอามาทำเป็นซิมโฟนี ออร์เคสตรา นักดนตรีทั้งหมดครึ่งร้อยนะ
 

ช่วงก่อนขึ้นคอนเสิร์ตเราต้องเตรียมตัวเราให้พร้อม ถ้าโชคไม่ดีจริงๆ เป็นหวัด ก็ต้องวิ่งหาหมอเอาจนหาย แต่ถ้าเราพยายามรักษาตัวเราให้ดีๆ ไม่ถูกฝน สามเดือนก่อนจะมีคอนเสิร์ตผมก็จะเริ่มเดินเร็วรอบบ้าน เดินหายใจลึกๆ วันแรกๆ ก็ 1 รอบ วันต่อมาก็เพิ่มรอบขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มวิ่งจ็อกกิ้ง ก็ไปทีละน้อยๆ วิ่งช้าๆ แล้วค่อยเร็วขึ้น3 เดือนนี่เห็นผลเลย ถ้าคนดูเป็นเขาจะรู้เลย เพราะตัวเราฟิตมาก จะผอม เพราะปกติพุงพลุ้ย (หัวเราะ) ถ้าไม่ได้ออกกำลงกายพลังในการนำเสนอจะน้อย จะไม่ค่อยมั่นใจ แต่ถ้าเราฟิตซ้อมดี ก็ไม่มีปัญหา ใส่ได้เต็มร้อย

ปาฏิหาริย์หมายเลข 2 : ความรัก
เขาเคยกล่าวไว้ว่า “ความรักของผมไม่ได้รักที่รูปโฉม รักชื่อเสียง เรารักกันในแก่นแท้ของความรักที่มีต่อกัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม ก็ต้องเอาใจใส่ดูแลกัน ไม่ทอดทิ้ง” และเขาก็รักษาคำมั่น และทำอย่างที่เขาเคยพูดไว้ต่อเพชรามาตลอด
 

“ความรักครั้งแรกไม่ปาฏิหาริย์น่ะสิ พากันหนี แม่ (สปัน เธียรประสิทธิ์) ของปัญญชลี ยายของแหวนกับหวาย นั่นคือความรักครั้งแรกที่หนีไปด้วยกัน และก็ต้องเลิกกันไป ไม่ได้โกรธกันนะ เลิกกันด้วยดี วันสุดท้ายจับมือกันด้วย เขาก็มีแนวทางของเขา เราก็มีแนวทางของเรา เราพอใจในสิ่งเหล่านี้ คือการร้องเพลง ส่วนความรักต่อคุณเพชราถือว่าเจอกันโดยปาฏิหาริย์ ตอนนั้นเขาไม่แต่งหน้า ผมเผอิญชอบคนที่ไม่แต่งหน้า ชอบแบบธรรมชาติๆ ผมก็คิดว่าคนนี้เท่ดี แล้วก็จากหายกันไป 1 ปี มาเจออีกทีเขาเป็นนางเอกให้ดอกดิน ก็ค่อยๆ คุยกัน ก็ชอบกัน สมัยก่อนนางเอกมีแฟนไม่ได้ เขาจะถือมากเลย เราก็ต้องถือตำนานว่าเป็นคู่รักไม่ได้ เราก็ต้องถนอมตัวเขาไว้ แล้วถนอมใจของเราด้วยว่าอย่าไปยุ่งกับเขามาก เดี๋ยวพัง บางทีเดือนหนึ่งพบกันหนเดียว ใช้โทรศัพท์บ้างนิดๆ หน่อยๆ ไม่มีจี๋จ๋ากันทั้งวัน ไม่ใช่ ตอนหลังก็มาเจอกันบ่อยหน่อย วันที่เขางดถ่ายเราก็ได้คิว เดือนละ1-2หน ก็ไปนั่งรถเที่ยวกัน เขาก็นั่งเบาะหลัง เราก็เป็นคนขับ
 

พอเขาตามองไม่เห็น เรื่องราวก็น้อยลง เมื่อเขามองไม่เห็นแล้วเรามองเห็น เราก็เป็นตาแทนให้เขาได้ เราก็ต้องดูแลกันไปให้มีความสุข เราต้องพยายามเป็นที่พึ่งของเขาให้มากๆ เพราะเขาช่วยตัวเองลำบาก อ่านหนังสือไม่ได้ ไม่ได้เรียนอักษรเบล ข้าวของ วางไว้ที่ไหน เราต้องช่วยเขา ต้องใช้ความอดทนเยอะเลย ครั้งสุดท้ายที่เขาจะตามืดเลย แล้วมองไม่เห็น เขาสั่น แล้วเขาร้องไห้ แล้วบอกว่าตาของชั้นจะมองไม่เห็นอีกต่อไปแล้ว เขาบอกว่าทุกทีจะเห็นเป็นสีแดง แต่วันนี้เป็นสีเทา แล้วมันมืดลงไปเรื่อยๆ จนเป็นสีเทาแก่ แล้วก็เป็นสีดำ แล้วเขาก็ร้องไห้ ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร ก็บอกเขาว่า "ไม่ต้องกลัว เพราะว่าเราจะอยู่ด้วยกัน ชั้นจะไม่ทิ้งเธอ" พูดแค่นั้นแล้วกอดเขาไว้
 

อยู่ด้วยกันก็ต้องระมัดระวัง อีกคนอารมณ์ร้อน เราก็ให้อภัย โอเคๆ (หัวเราะ) ไม่เป็นไร ถ้ามีความเห็นแตกต่าง เราเลิกคุยเลย ถ้าเขาจะไปขวา เราจะไปซ้าย ไม่เอา ไม่เรื่องใหม่ดีกว่า (หัวเราะ) ต้องทิ้งเลย คุยเรื่องอื่น แล้วข้าวที่ไหนดี อร่อย เราก็ไปซื้อมาให้ เป็ดย่างไหม ผมเคยลองทำเป็นตาไม่เห็น หลับตาเดิน โอย..ขาแข้งชน ตุ้มตั้ม! เจ็บ ทำให้เราเข้าใจ เขามองไม่เห็นยังอุตสาห์เดินได้นะ แรกๆ ยากนะ แต่หลังๆ ก็เป็นความเคยชิน ก็ถือว่าเป็นความโชคดีที่เรามีโอกาสได้ทำ มีโอกาสได้ช่วยเขา
 

ทุกวันนี้ผมก็ยึดอาชีพร้องเพลง ไม่ได้ร่ำรวย ไปแบบธรรมดา ไม่ใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อ ทำงานให้ดีที่สุด เวลาผมร้องเพลงผมจะตั้งใจมาก เพราะผมชอบร้องเพลง ไม่ว่าจะอายุมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็ต้องรักษาตัวให้ดีๆ ให้สมบูรณ์พร้อม ให้คนฟังสบายใจ”

ปาฏิหาริย์หมายเลข 3 : ความสุขในบ้าน
ถ้าให้พูดถึงความสุขในชีวิตของเขา แน่นอนว่าคือการร้องเพลง และได้มีคนรักอยู่รายรอบ และความสุขที่หาได้ง่ายๆ ไม่ต้องไปไกลอีกอย่างคือการได้พักผ่อน อ่านหนังสือ ดูแลต้นไม้ภายในบ้าน นี่แหละที่เขาบอกว่าเป็นความสุขที่แท้จริง พร้อมทั้งบอกเล่าเรื่องราวสนุกๆ ของต้นไม้ใหญ่ภายในบ้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
 

“บ้านคือที่พักผ่อนของชีวิต สำคัญมาก ชีวิตเราจะอยู่ร่มเย็นเป็นสุข บ้านเราต้องเย็นๆ เป็นสุข ไม่ว่าบ้านเล็กหรือใหญ่ ทำให้มันเป็นสุข ผมชอบอ่านหนังสือ อ่านหนังสือเยอะ แต่ไม่ได้เป็นหนอนหนังสือ ขอให้เป็นหนังสืออ่านหมด อ่านทั้งวันทั้งคืน จะติดเป็นพักๆ การอ่านหนังสือมันทำให้สมองเรากว้างหน้า ทำให้เรารู้มากขึ้น แล้วเราเอาควารู้อันนั้นมาปรับ ว่าเข้ากับอะไรได้

ผมจะชอบยุ่งกับต้นไม้ นี่ตายไปหลายต้นแล้ว ต้นไม้ในบ้านนี่ผมซื้อเอง ปลูกเอง มีคนสวนดูแล ผมชอบต้นไม้ที่เลี้ยงแล้วสวย ชอบมากๆ คืออินทผาลัม เมื่อก่อนบ้านผมมี 28 ต้น แต่ตายหมดแล้ว มีแมงชนิดหนึ่งเจาะใจกลางของมัน โค่นหมด เวลามันโค่นน่าสงสาร มันล้ม ตึ้ง! ตึ้ง! วันหนึ่งล้ม2-3 ต้น ใจเราก็จะขาด ทั้งๆ ที่เขียวใบเต็มเลยนะ ก็เลยอย่าเลี้ยงดีกว่าแมงชอบกิน
 

ชอบไปเดินดูต้นไม้แปลกๆ แล้วเราก็สมมติว่าถ้าโตขึ้นเขาจะสวยไหม อย่างประดู่ต้นที่อยู่หน้าบ้าน ผมซื้อมา 400 บาท สูง 2 เมตร ผ่านไปเกือบ40 ปี เป็นต้นใหญ่เท่านี้ มันก็ชื่นใจนะ เราเข้าไปใกล้ๆ แล้วก็พูดกับเขาทุกวัน (หัวเราะ) เหมือนคนบ้า เรียกต้นไม้ เฮ้ย! โตเร็วๆ นะ เอาไม้เคาะ โตเร็วๆ แล้วมันก็โตปรู้ดเลย
 

ต้นไทรนี่ก็มีเรื่องราว จริงๆ บ้านหลังนี้เมีคนบอกว่าตัดถนนตรงเข้ามาตรงที่ตัวบ้านเนี่ย บ้านหลังนี้ไม่เฮง เขาจะถือมากๆ ผมก็ไม่ถือ ชีวิตผมก็โอเค ก็พออยู่ได้ จะให้ร่ำรวยมหาศาลก็ไม่ใช่ ครอบครัวก็ไปอย่างธรรมดา ไม่หวือหวาอะไร แล้วมีอยู่วันหนึ่งนกมันมากินแล้วมันขี้ไว้ตรงเบาะริมสระน้ำ ผมเห็นว่ามันอยู่ใกล้ๆ ผมก็ไปแกะมา แล้วเพชราเขารู้ เขาก็จุดธูป (หัวเราะ) เขาบ่นว่าต้นไม้มีเจ้าที่เจ้าทางนะ เราก็บอกว่าเอาน่า เอาไปปลูกที่อื่นแล้วกัน เราก็เอาตอไม้มาตั้งแล้วเอานี่แปะเข้าไป แล้วรดน้ำ ผมก็บอกกับต้นไม้ว่าโตเร็วๆ นะครับ ผมจะได้ร่มเย็นเป็นสุข ปรากฎว่าต้นนี่โตแล้วมีรากไทร
 

มีซินแซคนนึงมาที่บ้านผม เขาถามว่าใครเป็นซินแสให้คุณชรินทร์ ผมก็บอกว่าไม่มี เขาก็บอกว่าต้องมี และต้องเก่งด้วย เขาบอกคนที่แนะนำให้ปลูกต้นไทร เขาจะกันภัยให้เรา กันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามา คนจีนเขาถือมาก แล้วเขายังบอกอีกว่าต้องนับถือซินแสคนนี้ให้มากๆ นะ ผมก็หัวเราะ แล้วคิดในใจว่าซินแสของผมคือนกที่มาขี้ไว้ แล้วเราก็ย้ายมาเท่านั้นเอง แต่อาจจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาดลใจก็ได้ ท่าอาจจะสงสารชรินทร์ก้ได้มั้ง ว่าไอนี่ มันก็จนเหมือนกันนะ (หัวเราะ) เอาอะไรมากันภัยให้มันหน่อย กันความไม่ดีให้มันหน่อย

ผมนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมก็ไม่รู้ว่าท่านอยู่ไหน แต่ผมจะไหว้ และคิดว่าท่านช่วยผมอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเรื่องสุขภาพ เรื่องาน หรือเรื่องชีวิต ต้นไทรต้นนี้ผมก็เชื่อว่าคุ้มครองครอบครัว ผมเชื่อว่าชีวิตที่เราลงมาเกิดเนี่ย มันเป็นสิ่งอัศจรรย์ เป็นปาฏิหารย์ ลอยมาจากไหนก็ไม่รู้ มาเกิดในท้องพ่อท้องแม่ แล้วออกมาเป็นตัวเรา แข็งแรง เติบโต มีความรัก”

ภาพโดย พลภัทร วรรณดี

ข่่าวโดย ทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์







ภาพถ่ายและโปสเตอร์หนังจัดใส่กรอบวางภายในห้องรับรองแขก

ชรินทร์ นันทนาคร และ เพชรา เชาวราษฎร์

ต้นประดู่ต้นงามที่เขาปลูกเองกับมือ

ต้นไทรใหญ่ ที่เชื่อว่าปกป้องคุ้มครองคนในบ้าน
กำลังโหลดความคิดเห็น