เมื่อรู้ว่า เวลา 14.30 นาฬิกาของบ่ายวันหนึ่ง เรามีนัดกับ 'ทายาท' นักธุรกิจสื่อบันเทิงครบวงจร เฮียกวง-คมสันต์ เชษฐโชติศักดิ์ ที่ตอนนี้กำลังกุมบังเหียนงาน 3 ตำแหน่งได้แก่ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท สกายไฮ เน็ตเวิร์ค รองกรรมการผู้อำนวยการ ธุรกิจภาพยนตร์ จำกัด ในเครือบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน)
หากสืบลำดับญาติในตระกูล 'เชษโชติศักดิ์' เฮียกวง คนนี้ เป็นลูกของเฮียจั๊ว-เกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์ เป็นหลานเฮียฮ้อ -สุรชัย เชษโชติศักดิ์ ทั้งสามเฮียมีความผูกพันการทางสายเลือดโดยตรง เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีความผูกพันกันทางธุรกิจอีกหนึ่งสายสัมพันธ์เช่นเดียวกัน
ลูกไม้ใต้ต้นหนึ่งของเครืออาร์เอสอย่างเฮียกวง ถือเป็นทายาทอันดับต้นๆ วันนี้อาร์เอสเติบโตมาในทิศทางสื่อบันเทิงหลายแขนง ผนวกกับได้นักบริหารรุ่นใหม่สายเลือดเชษฐโชติศักดิ์โดยตรง กระโดดลงมาควบเก้าอี้สำคัญในองค์กร มาทำความรู้จักผู้ชายทายาทอาร์เอสคนนี้
เริ่มต้นทำงานกับอาร์เอสอย่างไร
เรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศ พอจบแล้วกลับมาคุยกับอา (เฮียฮ้อ) ว่า อยากมาช่วยบริษัทของที่บ้าน มีตรงไหนพอที่จะให้เข้าไปทำได้บ้าง เผอิญช่วงนั้น ธุรกิจภาพยนตร์ค่อนข้างที่จะบูมในตลาดต่างประเทศ หนังไทยหลายเรื่องสามารถไปขายได้ในต่างประเทศ ของอาร์เอสเองก็มีหน่วยงานหนึ่งที่เป็นสายงานภาพยนตร์แล้วเราก็เริ่มที่จะไปขายงานต่างประเทศ
ช่วยงานอย่างไรก่อน
อาเขาเลยคิดว่า น่าจะมาพัฒนาตรงนี้ เพราะว่าผมรู้เรื่องภาษา ก็เป็นครั้งแรกก็ให้มานั่งดู แผนกผู้จัดการฝ่ายทางด้านการตลาด ในส่วนงานบริหารธุรกิจต่างประเทศ สาขาภาพยนตร์ หน้าที่ของผมคือไปออกตลาดต่างประเทศ ที่อยากได้หนังของเราไปฉายบ้านเขา รวมทั้งมิวสิควิดีโอด้วย
คือผมโตมา ในภาพรวมของธุรกิจของอาร์เอส แกนของอาร์เอสก็คือธุรกิจเพลง ก็พอมองเห็นภาพบ้าง แต่ว่าไม่เคยเข้ามา จับงานจริงๆ ครั้งนั้นก็เป็นครั้งแรก ก็เริ่มที่งานภาพยนตร์
ตอนเด็กๆ ฝันว่าอยากทำอะไร
ผมอยากเป็นหมอ คือมันช่วยชีวิตคน การช่วยคนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว คุณพ่อหรือคุณอาก็ไม่เคยบังคับว่าเรียนจบมาแล้วต้องมาช่วยนะ ก็ปรากฏว่าตอนนั้นมีโอกาสไปเรียนต่อต่างประเทศ ไปเลือกลองเรียนหลายวิชา และเรียนด้านบริหารธุรกิจ และคิดว่าน่าจะมาช่วยบ้านได้บ้าง
แล้วทำไมกลายมาเป็นนักธุรกิจ
ตอนเรียนมัธยมฯ ปลาย เขาก็มีให้เลือกเรียนระหว่างสายศิลป์ และสายวิทย์-คณิต ผมก็เลือกเรียนสายวิทย์ เพื่อที่จะไปเรียนต่อแพทย์ แต่พอเรียนชีววิทยาแล้วก็รู้สึกว่าไม่ชอบเลย ไม่ชอบอย่างแรง ซึ่งถ้าเรียนแพทย์ต้องเก่งวิชานี้ แต่พอเรียนแล้ว...ไม่ชอบเลย
ชีวิต 24 ชั่วโมงใน 1 วันจัดสรรอย่างไร
พอความรับผิดชอบยิ่งสูง เรายิ่งโต เวลาทุกคนมี 24 ชั่วโมงเท่ากันหมด จะทำเวลานี้ให้เหมาะสมที่สุดได้อย่างไร ตอนนี้ผมมีลูกสาวสองคน มีครอบครัว ก็ต้องจัดสรรเวลา เวลางานก็มีความรับผิดชอบมากขึ้น วิธีการคือต้องดูว่า งานแต่ละอย่าง อย่างหน ต้องทำก่อน ส่วนที่คิดว่า สำคัญรองลงมา ก็พยายามแจกจ่าย และแมนเนจเรื่องเวลาให้ดีขึ้น
ทำไมไม่ชอบวิชาชีววิทยา
มันเป็นการท่องจำ ผมชอบการคำนวณมากกว่า พอไปสอบเอนท์ทรานซ์ เก็เลือกคณะหรูมาก แต่ตอนเตรียมตัวจริงๆ เราก็ไม่ค่อยได้เตรียม ตอนเรียนมัธยมฯ ปลายก็รักสนุก เล่นกับเพื่อน อ่านหนังสือบ้างแต่ไม่เยอะ เตรียมตัวน้อย ปรากฏว่า ผลเอนท์ทรานซ์ออกมา...ไม่ติด
คณะหรูที่ว่านี่คือคณะอะไร
แพทยศาสตร์ ทันตแพทย์ จุฬาฯ (หัวเราะ) จะพูดว่าเลือกทิ้งก็ได้ พูดง่ายๆ ว่าเพื่อนเขาสอบเอนท์ฯ กัน ก็อยากรู้ว่าเป็นยังไง ลองสอบดู แต่เป้าหมายอยากไปเรียนต่อต่างประเทศอยู่แล้ว พอเอนท์ฯ ไม่ติด ก็บินไปเรียนปริญญาตรีที่โน้น และเลือกเรียนเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ บัญชี และไฟแนนซ์ แล้วรู้สึกว่าชอบ
การทำงานอะไรที่เจอมาแล้วคิดว่ายากที่สุด
เรื่องการบริหารงานบุคคล อย่างที่บอกมีเรื่องของวิธีการบริหารคนที่บางทีเราเลือกคนที่ไม่ใช่มานั่งตำแหน่งที่เขาไม่ถนัด งานก็ไม่เดิน มันก็เป็นอะไรที่ต้องสอนกันเยอะ ทีหลังก็ต้องเลือกคนให้ถูกกับงาน
ชอบอะไรในธุรกิจบันเทิง
มันไม่หยุดนิ่ง ต้องคิดอะไรตลอดเวลา ผู้เสพหรือผู้บริโภคมีไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต้องวิ่งตามให้ทัน การที่เราประสบความสำเร็จจุดใดจุดหนึ่งแล้ว แล้วใช้ตรงนั้นเป็นสูตรในการทำงานตลอดไปไม่ได้ เราต้องหาอะไรใหม่ๆ มาเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกว่า เออ! มันมีอะไรเปลี่ยนตลอดเวลา มันมีอะไรใหม่ๆ เข้ามเรื่อยๆ ทำให้เต้องพัฒนาตลอดเวลา
แล้วไม่ชอบอะไร
บางทีมันเร็วไป (หัวเราะ) คู่แข่งเนี่ย พอลงมาปุ๊บมันไม่มีเวลาให้มานั่งเรียนรู้งาน พอได้เวลาได้กุญแจปุ๊บ เสียบรถแล้วก็สตาร์ทเลย คือบางทีมันเป็นอะไรที่เรียนรู้ผ่านจากงานที่ผ่านเข้ามา ไม่มีกฎตายตัว การตลาดเป็นเรื่องคอนเซ็ปท์ที่สามารถแอพพลายมาใช้ แต่ว่าพอลงมาคิดงานไม่มีสูตรสำเร็จ เลยเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะยาก
มานั่งตำแหน่งผู้บริหารเจออะไรที่ตื่นเต้นไหม
การให้สัมภาษณ์นักข่าวครั้งแรก ตื่นเต้นครับ คือ เวลาเราพูดก็ไม่มีปัญหา เพราะมันก็มีสคริปต์ ก็พูดตามนั้น มันยากอยู่ที่ว่าเวลานักข่าวเขาถามคำถาม ซึ่งตอนนั้นเราก็ใหม่สำหรับธุรกิจ แต่มันก็ผ่านพ้นมาด้วยดี ก็ศึกษาข้อมูลมาก่อนหน้านี้ ก็ตอบนักข่าวได้ แต่ในใจลึกกว่านั้น บางทีกังวลไงว่า ถ้าถามคำถามนี้ ตอบไม่ได้แน่เลย เผอิญตอนนั้นเขาไม่ถาม เราก็เลยโอเค
ตอนนี้ยังตื่นเต้นไหม
เรื่องการออกสื่อทีวีครับ ตอนนี้ก็เป็นเรื่องอะไรที่ท้าทายสำหรับผมอยู่ เพราะต้องบอกตรงๆ ว่าผมไม่ใช่คนที่พูดเก่งมาก ก็พูดในเชิงหลักการแต่พอไปเจอหน้าจอทีวี เจอกล้องให้สัมภาษณ์ ก็มีอาการประหม่า (หันไปหาพีอาร์ถามว่าเป็นอยู่ไหมตอนนี้-เป็น) (หัวเราะ) แต่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ แต่ว่าถ้าสัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ธรรมดาแล้ว เพราะเจอมาเยอะ เรียกว่าตื่นกล้อง ด้วยความที่ขึ้นอยู่ว่า ถ้าไม่ต้องพูดไม่ต้องอะไรก็ไม่มีปัญหา คือเมื่อไหร่ที่ต้องพูด มันเหมือนเราไม่คุ้นไง พูดกับกล้อง เหมือนพูดกับคน เราส่งผ่านความรู้สึกได้ กล้องไม่ชีวิต เลยรู้สึกแปลกๆ ตอนนี้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ
ตั้งแต่เด็กๆ ซึมซาบอะไรของอาร์เอสไปบ้างไหม
ถ้ากรีดเลือออกมาก็จะเป็นสีฟ้าครับ (หัวเราะ) สมัยเด็กๆ ฟังแต่เพลงอาร์เอส ไม่ฟังค่ายอื่นเลย พอขึ้นรถคุณพ่อปุ๊บก็ร้องเพลงได้ทุกเพลงของทุกศิลปิน เต๋า, บอยสเกาท์, ต่อ-ต๋อง ร้องได้หมด ด้วยความที่ว่าเราโตมาจากตรงนี้
มีศิลปินในดวงใจไหมตอนนั้น
ตอบแกรมมี่ไม่ได้ใช่ไหม (หัวเราะ) ชอบที่สุดก็ ต้อม-เรนโบว์ครับ แต่นานมากแล้วนะ
ตอนเด็กๆ ฝันอยากเป็นศิลปินไหม
ไม่เคยคิดเลยครับเพราะหน้าตาไม่ให้ ก็เลยไม่อยาก มีครั้งหนึ่งตอนนั้นอยากรู้ว่าอัดเสียงเป็นไง เราก็ไปร้องเพลง ร้องๆๆๆ แล้วก็อัดเสียงไว้ และเอาเทปเปิดให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง เขาก็ส่ายหัว และบอกว่า อย่าเลย...
เรียกเฮียทั้งสองของอาร์เอสว่าอะไร
เฮียจั๊วะ (เกรียงไกร) ถ้าเรียกเป็นบุคคลที่สามก็จะเรียก เฮียจั๊ว ถ้าคุยกันสองคนก็เรียกปะป๊า เฮียฮ้อ (สุรชัย) ถ้าเรียกเป็นบุคคลที่สามก็เรียก เฮียฮ้อ แต่ถ้าคุยกันตรงๆ แม้แต่ในห้องประชุม ผมเรียกเขาว่า ซาเจก คือ เจกคนที่สาม คือเป็นอาคนที่สามครับ
แล้วตอนนี้พอใจกับชีวิตและหน้าที่การงานของตัวเองหรือยัง
ชีวิตอยู่ในช่วงที่เต็มแล้ว เป็นที่เราต้องการแล้ว พอใจแล้ว พูดตรงๆ ผมโอเคมาก ไม่ว่าการงาน ในส่วนของลูกผมเอง เราก็ไม่ได้วางอนาคตให้เขา เหมือนคุณพ่อที่ไม่ได้มองว่า ผมต้องมาทำธุรกิจตรงนี้ ขึ้นอยู่กับเราว่า เราชอบไหม คุณพ่อให้โอกาส...ที่เหลือก็เป็นตัวเราว่า จะทำให้ดีไหมเท่านั้นเอง
>>>>>>>>>>
……….
เรื่อง : มาลิลี พรภัทรเมธา
ภาพ : พลภัทร วรรณดี