xs
xsm
sm
md
lg

'7 ขวบ' ตัวตนเด็กไทย ได้เวลาบัตรประชาชนรุ่นใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตั้งแต่ 10กรกฎาคม 2554 นี้ กระเป๋าสตางค์ของเด็ก 7 ขวบตัวน้อยจะไม่ได้มีแค่การ์ดเบ็นเท็นอีกต่อไป เพราะจะมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 ที่มีสาระสำคัญให้ผู้มีสัญชาติไทยอายุตั้งแต่ 7 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 70 ปี และมีชื่อในทะเบียนบ้าน ต้องมีบัตรประชาชน (แบบสมาร์ทการ์ด) โดยร่างพระราชบัญญัติประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา และมีผลบังคับใช้ภายใน 60 วัน ซึ่งนับจากวันประกาศก็ตรงกับ 10 กรกฎาคมนี้พอดิบพอดี


 
หากนับแต่ปี 2486 ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล บัตรประชาชนรุ่นแรกได้ถือกำเนิดขึ้น โดยกำหนดอายุผู้ที่ต้องมีบัตรตามกฎหมายว่าจะต้องมีอายุ 16 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ซึ่งครอบคลุมประชาชนเพียงในตัวพระนครและจังหวัดธนบุรี (กรุงเทพมหานคร) เท่านั้น
 
 
ไม่นานต่อจากนั้น ก็มีการพัฒนารูปแบบในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยได้ปรับอายุผู้ที่ต้องถือบัตรขึ้นเป็น 17 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ซึ่งยุคนี้ปรับปรุงให้สามารถครอบคลุมประชาชนทั้งประเทศ แต่บัตรประชาชนรุ่นสองนี้มีปัญหาในเรื่องอายุเนื่องจากไม่สัมพันธ์กับกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
 
ต่อมาจึงเกิดบัตรรุ่นที่สามในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งปรับลดอายุผู้ที่จะต้องมีบัตรจากเดิม 17 ปีบริบูรณ์ เป็น 15 ปีบริบูรณ์ เพื่อแก้ไขจุดอ่อนของบัตรรุ่นที่สองให้มีความสัมพันธ์กับกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และได้กำหนดช่วงอายุดังกล่าวบังคับใช้มาจวบจนปัจจุบัน 
 
กระทั่งในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ได้ไฟเขียวให้ร่างพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชนฉบับใหม่ ซึ่งกำหนดให้มีการทำบัตรประชาชนให้เด็ก 1 ขวบผ่านอย่างฉลุย แต่หลังถกไปเถียงมาในสภาฯก็มายุติตรงอายุ 7 ขวบ ซึ่งเป็นวัยเริ่มเข้าเรียน และแม้จะเกิดการถกถึงน้ำหนักข้อดีข้อเสียอยู่นานแต่ในที่สุดกฎหมายฉบับนี้ก็ฝ่าวงล้อม คลอดออกมาบังคับใช้ได้ในที่สุด


 บัตรเดียวเอาอยู่? 
 
ทว่านับตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2554 ที่ได้ประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน เรื่องบัตรประชาชนของเด็กอายุ 7 ขวบขึ้นไป ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมไปในทิศทางต่างๆ อย่างกว้างขวาง จากเหตุผลที่กรมการปกครองได้ให้ไว้ว่า เป็นการทำเพื่อประโยชน์ในการยืนยันตัวบุคคลให้เด็กสามารถใช้แสดงตัวได้ง่ายขึ้น และเพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ของต่างด้าว รวมทั้งเพื่อให้เด็กใช้บัตรประชาชนในการใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ จากบริการสาธารณะของรัฐ
 
ซึ่งหลายกระแสก็มีการวิจารณ์ถึงช่องโหว่ ความไม่เหมาะสม และผลเสียที่จะตามมาหลังใช้พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชนฉบับนี้ อาทิ ภาระที่พ่อแม่และรัฐต้องแบกรับเพิ่ม ความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริตการทำบัตร ความจำเป็นในการใช้งานบัตรประชาชนของเด็ก หรืออายุของเด็กที่หน้าตากำลังอยู่ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นต้น
 
ในมุมหนึ่ง การทำบัตรประชาชนให้เด็กก็อาจมีข้อดีคือ สะดวกต่อตัวเด็กในการแสดงตัวตนโดยไม่ต้องพกพาทะเบียนบ้านหรือสูติบัตรซึ่งไม่มีรูปถ่าย ทำให้สามารถใช้สิทธิในรัฐสวัสดิการได้ง่ายขึ้น รวมทั้งบรรเทาปัญหาการสวมสิทธิ์จากต่างด้าวซึ่ง รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้ว่ามีทั้งข้อบวก-ข้อลบ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกมองในมุมไหน และสถานการณ์แวดล้อมเป็นเช่นไรด้วย
 
"จริงๆ บัตรประชาชนนั้นถือว่าเป็นการแสดงสิทธิของมนุษย์ เพราะมนุษย์อยู่ในทะเบียนราษฎร เพราะฉะนั้นมันก็ทำให้ข้อมูลของประชากรชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากในทะเบียนบ้านนั้นไม่มีหน้าตาคน แล้วยิ่งในยุคที่มีรัฐสวัสดิการมากขึ้น การที่เด็กจะไปแสดงสิทธิว่าเป็นคนสัญชาติไทยหรือเปล่า หน้าตาแบบนี้ใช่ไหม มันก็ง่ายขึ้น หรือเวลาไปโรงพยาบาล เดิมต้องใช้บัตร 30 บาท หากต่อไปบัตร 30 บาทกับบัตรประชาชนเป็นใบเดียวกัน ก็ไม่ต้องออก 2 ใบ เพราะฉะนั้นแนวคิดของบัตรสมาร์ทการ์ดที่ว่า บัตร 1 ใบแล้วเอื้อประโยชน์ต่อมนุษย์มันก็เป็นไปได้ สุดท้ายสิ่งที่ดีที่ตามมาในเรื่องการใช้สิทธิก็มี โดยเฉพาะในเรื่องทุจริตที่เกิดขึ้นในพื้นที่ยากจน เช่นการสวมสิทธิเด็กที่เกิดในต่างจังหวัด หรือเอาตัวตนของคนสัญชาติไทยไปขายจะทำได้ยากขึ้น”
 
แต่ถ้ามองในมุมว่าพ่อแม่วุ่นวายมากขึ้นไหม รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ ก็บอกว่า ยุ่งแน่นอน เพราะพ่อแม่มีหน้าที่ต้องพาเด็กไปทำบัตร เวลาเด็กทำบัตรหายก็ต้องรับผิดชอบ พูดง่ายๆ ก็คือ เรื่องนี้มีทั้งบวกและลบ ซึ่งอย่างไรก็ตาม การทำระบบข้อมูลประชากรถือเป็นเรื่องสำคัญ และไม่ใช่เพียงแค่กรมการปกครองจะต้องปรับตัว แต่ทุกกระทรวง ทบวง กรมจะต้องทำงานให้สัมพันธ์กันหมด เพื่อสุดท้ายความมั่นคงทางด้านประชากรของประเทศไทยจะได้เกิดขึ้นได้เสียที

 ความสิ้นเปลืองที่มีวาระซ่อนเร้น 
 
ในทางกลับกัน ทัศนะของนักสังคมศาสตร์อย่าง รศ.ดร.โกวิทย์ พวงงาม อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้น มองว่า บัตรประชาชนไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเด็กวัย 7 ขวบเลย เนื่องจากเมื่อทำแล้ว ผู้ดูแลบัตรและทำธุรกรรมต่างๆ ก็คือผู้ปกครองอยู่ดี เด็กไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆ หรือแม้แต่รับผิดชอบดูแลบัตรด้วยตนเองได้ด้วยวัยเพียง 7 ขวบ
 
“เด็ก 7 ขวบเขายังไม่รู้เรื่องอะไรหรอก เขายังเรียนไม่จบชั้นประถมฯ เลย เขายังไปทำนิติกรรมอะไรไม่ได้ แม้แต่ฝากเงินธนาคารก็ยังไม่ได้ กฎหมายก็ยังถือว่าเป็นวัยเด็ก เป็นเยาวชนอยู่ ในเรื่องที่สมาร์ทการ์ดจะอำนวยความสะดวกให้เด็กนั้น ในเมื่อเด็กอยู่ในความปกครองของผู้ปกครอง จึงไม่เห็นว่าจะอำนวยความสะดวกกับเด็กได้อย่างไร
 
นอกจาก 7 ขวบจะเป็นวัยที่เด็กเกินกว่าจะพกพาและใช้งานบัตรประชาชน รวมทั้งไม่เห็นประโยชน์ที่จะงอกเงยกับตัวเด็กแล้ว รศ.ดร.โกวิทยังมองว่า นโยบายในลักษณะนี้ดูจะมีวาระซ่อนเร้น และผลประโยชน์ในวงราชการแอบแฝง
 
“ผมว่ากฎหมายของเดิมดีอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าผู้แทนราษฎรเขาคิดอะไรอยู่ มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเปลี่ยนนอกจากผลประโยชน์บางเรื่อง ไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์อื่นหรือเปล่า เช่น การประมูลบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเด็ก 7 ขวบนี่มันมีเป็น 10 ล้านคน แล้วผลประโยชน์อาจจะมีเป็นร้อยๆ ล้านในเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือพวกนี้ ผมคิดว่ากระทรวงที่คิดขึ้นมาดูมีวาระซ่อนเร้นนะ”
 
นอกจากนี้ รศ.ดร.โกวิทย์ มองว่า ฝ่ายปกครองควรนำงบประมาณและเวลาที่จะใช้สานต่อนโยบายการทำบัตรประชาชนให้เด็ก หันไปดูแลสิทธิและคุณภาพชีวิตของเด็กให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า อีกทั้งการที่ให้เด็กถือบัตรประชาชนในขณะที่ยังขาดวุฒิภาวะ ก็ยิ่งส่งผลต่อการสวมสิทธิ์บัตรประชาชนในแง่ร้ายมากกว่าแง่ดี
 
“อย่าง 15 ปีนี่ เห็นด้วยนะ ให้มันสอดคล้องกับการบรรลุนิติภาวะ ให้สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองแรงงาน แต่ 7 ขวบ ยังเป็นวัยมีพ่อแม่ดูแลที่บ้าน มีครูคอยเอาใจใส่ที่โรงเรียน มีทะเบียนบ้าน มีบัตรนักเรียน เป็นวัยที่เพิ่งจะอ่านออกเขียนได้ วุฒิภาวะยังน้อย ในการให้เด็กถือครองและใช้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดนี้ไม่น่าจะเหมาะสม อย่างในเหตุผลเรื่องการสวมสิทธิ์ ยิ่งทำบัตรให้เด็กยิ่งอันตราย อาจจะถูกเอาบัตรไปสวมสิทธิ์ได้ง่ายๆ
 
“คิดว่าฝ่ายปกครองควรจะไปคำนึงถึงเรื่องของเด็กถูกทารุณกรรม เด็กถูกทอดทิ้งจากครอบครัว เด็กถูกลักพาตัว อะไรแบบนั้นยังจะดีกว่า นี่สำคัญมากกว่า บัตรประชาชนก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเด็กก็ยังอยู่ในความคุ้มครองของผู้ปกครอง ในทางสังคมศาสตร์มองอย่างนั้น”

 ถึงมีก็ไม่ได้ยืดอกพก ‘บัตร’ 
 
อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายฉบับนี้จะผ่านฉลุยในทางตัวอักษร แต่ในทางปฏิบัติ เมื่อเด็กน้อยต้องปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน นั่นคือการไปโรงเรียน บัตรประชาชนก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น และอาจไม่ได้พกพาไปโรงเรียนเสียด้วยซ้ำ ครูหน่อย-ชนัญชิดา จุลแสน ในฐานะคุณครูประถมฯ มองว่า ถ้าเด็กมีบัตรประชาชนจะให้เด็กเก็บคงเป็นไปไม่ได้ แต่คิดว่าสะดวกสำหรับผู้ปกครองมากกว่า
 
“เพราะว่าไม่ต้องพกใบเกิด ถ้ามีให้ผู้ปกครองพกก็คงสะดวก แต่ถ้าให้เด็กพก เด็กป.1 เด็กอายุ 7 ขวบก็ยังเล็กเกินไป แต่ถามว่าจำเป็นไหมก็คงไม่จำเป็นเพราะเด็กยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ และยังทำธุรกรรมอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องให้พ่อแม่ทำให้ เวลามาโรงเรียนก็มีบัตรนักเรียนอยู่แล้ว ส่วนบัตรประชาชนพ่อแม่ก็คงไม่ให้พกมาโรงเรียนด้วย”
 
เมื่อมามองในมุมว่าเป็นการอำนวยความสะดวกหรือเพิ่มภาระให้กับพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ส่วนใหญ่ก็เห็นไม่ต่างกันนักว่า มาตรการบัตรเด็กนี้เป็นความสิ้นเปลือง เป็นภาระ และเป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเอาเสียเลย
 
“ไม่ว่าจะมองทางไหน มันก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์เลยที่จะให้เด็ก 7 ขวบมีบัตรประชาชน สุดท้ายทำไว้พ่อกับแม่ก็ต้องเป็นคนถือไว้ให้อยู่ดี” มนัส โสมภีร์ พ่อของลูกสาววัย 7 ขวบ โอดครวญ
 
มนัส บอกถึงเรื่องนี้ว่า นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์แล้ว ยังส่อเค้าจะเป็นช่องทางทุจริตใหม่ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการออกบัตรประจำตัวประชาชนทั้งหลายด้วย เพราะหากต้องยืนยันตัวบุคคลจริงๆ เด็กก็มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอยู่แล้ว อีกทั้งปัจจุบันข้อมูลก็ออนไลน์หมด สามารถเรียกดูเพื่อยืนยันตัวบุคคลเมื่อไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีการทำบัตรเพิ่มขึ้นมา
 
“มองยังไงก็ไม่พ้นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนที่ผู้ออกบัตรจะได้จากการทำบัตร ตอนนี้ลูกผม 7 ขวบแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ไปทำ แล้วก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะรอไปก่อน รอจนกว่ามันจะต้องใช้จริงๆ รอจนอายุ 15 ปี ค่อยมีก็ยังไม่สาย ถ้าเกิดเป็นเด็กมัธยมฯ ไปแล้วค่อยน่าทำหน่อย เพราะเขาอาจจะต้องใช้ในการสมัครเรียนหรือเอาไปทำธุรกรรมเกี่ยวกับเรื่องการเรียนของเขาเพิ่มเติม”
 
ส่วนตัวเด็กๆ เลยยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนทำไม่ได้ใช้อย่างแน่นอน น้องสิงโต ด.ช.วีรวัฒน์ แซ่ล้อ เด็กประถมศึกษาตอนต้น วัย 7 ขวบ ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่กฎหมายฉบับนี้ มีผลบังคับใช้ให้มีบัตรประจำตัวประชาชน ได้กล่าวอย่างไร้เดียงสาว่า ตนไม่รู้จักว่าบัตรประชาชนคืออะไร มีไว้เพื่ออะไร แต่เมื่ออธิบายให้ฟัง สิงโตก็รุสึกอยากมีพกไว้ให้เหมือนกับพวกผู้ใหญ่เท่านั้น

 ฝ่ายทะเบียนบัตรประชาชนพร้อมรับมือ 
 
ความพร้อมของเจ้าหน้าที่ในการทำบัตรประชาชนรุ่นใหม่ให้กับเด็กอายุ 7 ปี สุพิณดา เพชรทองเรือง เจ้าพนักงานปกครอง 6 หัวหน้ากลุ่มงานทะเบียนบัตร สำนักงานเขตจตุจักร กล่าวว่า ความพร้อมตอนนี้มีเกือบเต็มที่ พร้อมรับมือพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะพาบุตรหลานอายุ 7 ปีขึ้นไป เข้ามาทำบัตรประจำตัวประชาชน
 
“เจ้าหน้าที่พร้อมแล้ว 100 เปอร์เซ็นต์ เหลือแต่อุปกรณ์ อย่างอื่นเราก็พร้อมแล้ว เพราะว่าใช้บัตรประชาชนใบเดิมเป็นบัตรสมาร์ทการ์ดเหมือนเดิม ก็คาดว่าผู้ปกครองจะพาลูกหลานมาทำบัตรกันเยอะแน่นอน ขนาดเดือนที่แล้วก็มากัน 3-4 ราย แต่ยังทำไม่ได้เพราะกฎหมายมีผลบังคับใช้ 10 กรกฏาคมนี้”
 
โดยทางสำนักงานเขตจตุจักรได้ประสานงานไปที่สำนักทะเบียนของกรมการปกครองแล้ว เพื่อที่จะเปลี่ยนฉากถ่ายรูป (ฉากความสูง) และเปลี่ยนอุปกรณ์กล้องใหม่ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ส่งให้ แต่จะมีการดำเนินการติดตั้งในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้
 
สำหรับสำนักงานเขตทั่วประเทศคงต้องปรับเปลี่ยนฉากถ่ายภาพและอุปกรณ์กล้องใหม่ทั้งหมดเช่นกัน เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการทำบัตรของประชากรตัวจิ๋ววัย 7 ขวบ
 
“เพราะว่าความสูงของเด็กนั้นไม่อำนวยกับการใช้กล้องตัวเดิมถ่ายรูป อย่างกล้องปัจจุบันสมมติว่าวางบนโต๊ะมันจะต้องก้มถ่ายรูปเด็ก ก็จะลำบาก และจะได้ความสูงไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งช่างของบริษัทผู้รับเหมาบอกมาว่า อุปกรณ์ใหม่จะเป็นกล้องและขาตั้งกล้องที่ตั้งกับพื้นปรับระดับได้มากขึ้น ส่วนฉากปัจจุบันเริ่มต้นที่ 100 เซนฯ แต่ของใหม่จะเริ่มต้นที่เท่าไหร่ยังไม่แน่ใจเหมือนกันแต่มันน่าจะต่ำกว่านั้น”
 
ส่วนขั้นตอนการทำบัตรประชาชนของเด็กอายุ 7 ขวบ สุพิณดากล่าวทิ้งท้ายว่า ก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเลย ซึ่งถ้ายื่นเอกสารครบถ้วน เฉลี่ยแล้วก็ใช้เวลาในการทำบัตรรูปแบบสมาทการ์ดประมาณ 3 นาที
..........

กฎหมายใหม่แกะกล่องเรื่องการทำบัตรประชาชนให้เด็กฉบับนี้ เป็นเสมือนเหรียญที่มีสองด้าน ต้องทบทวนถึงข้อดีข้อเสีย ความจำเป็น รวมทั้งช่องโหว่ให้ถี่ถ้วน เพราะการเพิ่มภาระความรับผิดชอบให้พ่อแม่เด็กและภาระทางการเงินให้รัฐ ย่อมเป็นแสดงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ดูสวนทางกับโลกแห่งการปฏิบัตที่เป็นจริงของคนในสังคม
 

>>>>>>>>>>
……….
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : พลภัทร วรรณดี

กำลังโหลดความคิดเห็น