หลังเปิดตัวแคมเปญสารพัดสัตว์จนเรียกเสียงฮือฮาจากบรรดาผู้เสนอตัวเป็นผู้แทนราษฎรเป็นการใหญ่ ล่าสุดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ก็ขอสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้แก่วงการการเมือง ด้วยการดึงตัวการ์ตูนยอดมนุษย์ซึ่งเป็นผลงานระดับโลกอย่าง 'อุลตร้าแมน' มาเป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหว 'โหวตโน' ในการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554
แน่นอน ปรากฏการณ์ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องเกิดขึ้นไม่บ่อยมากนักสำหรับวงการการเมืองไทยที่จะมีการสร้างตัวมาสคอตมาเป็นเครื่องมือในการหาเสียง ยิ่งโดยเฉพาะตัวการ์ตูนที่มี ชื่อเสียงระดับเอเชียและระดับโลกเช่นนี้
เพราะฉะนั้น เรื่องนี้จึงถือเป็นนิมิตหมายที่มีความน่าสนใจไม่ใช่น้อย ทั้งในแง่ของการเมืองไทย การตลาด และแวดวงการ์ตูน
[1]
ก่อนที่จะไปสู่เรื่องอื่น คงต้องขอย้อนไปทำความเข้าใจกับความหมายของคำว่า 'มาสคอต' กันก่อนดีกว่า
แน่นอนว่า มาสคอตนั้นเกิดขึ้นมาในสากลโลกมานานกว่า 100 ปีแล้ว โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่ก็ตัวการ์ตูนต่างๆ ที่ถูกนำเสนอหรือเป็นตัวแทนสู่สาธารณชนของบริษัทห้างร้าน หรือผู้ประกอบกิจการต่างๆ ตลอดจนเทศกาลต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงและดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้ง่ายสุด
ตัวอย่างเช่น เวลาแข่งขันกีฬาระดับต่างๆ เช่นกีฬาโอลิมปิก หรือเอเชี่ยนเกมส์ก็จะมีสัตว์สัญลักษณ์มาเป็นขวัญใจคุณหนูๆ โดยเหตุผลที่นำมาใช้ก็มีอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทำให้คนสามารถจดจำงานได้มากขึ้น หรือแม้แต่การต่อยอดในเชิงธุรกิจเวลาที่มีการผลิตสินค้าออกจำหน่าย
นอกจากนี้ การใช้มาสคอตยังแพร่หลายเวลารณรงค์กิจกรรมเพื่อสังคมใดๆ อยู่เสมอ ตัวอย่างหนึ่งที่น่าจะเป็นกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จ ก็คือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งใช้ตัวการ์ตูนเด็กผู้ชายผูกหัวจุก ใส่ชุดสีขาว เป็นตัวนำเสนอ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการบุกกลุ่มเป้าหมายที่ตรง เพราะเด็กก็คือสัญลักษณ์ของความใสสะอาดที่ยังปลอดมลทินอย่างแอลกอฮอล์และบุหรี่ แถมยังมีอิทธิพลทางความคิดในการจูงใจให้ผู้ใหญ่ปฏิบัติตาม
และนี่ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถึงเลือกจะหยิบเอาตัวการ์ตูน 'อุลตร้าแมน' เข้ามาใช้ในกิจกรรมโหวตโนครั้งนี้
[2]
“ผมคิดว่าถ้าประเทศไทยมีฮีโร่ มีจิตใจดี ประเทศจะไม่ยุ่งยากแบบนี้ ผมจึงขอมาร่วมกับพันธมิตรฯ เพื่อต้องการให้เด็กๆ เยาวชนมาสนใจเรื่องของการเมือง ถ้าเราเป็นเด็กๆ เราไม่สนใจการเมือง บ้านเราจะเละตุ้มเป๊ะ เพราะผู้ใหญ่ไม้แก่มันดัดยาก แต่ถ้าเราให้เด็กเป็นแบบคนญี่ปุ่นที่มีการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กให้มีวินัย มีระเบียบ เคารพผู้ใหญ่ เคารพความคิดของคนที่โตกว่า ผมไปกลับญี่ปุ่นมา 50 ปีกว่า ผมได้นำสิ่งที่ดีมาถ่ายทอดเป็นอุลตร้าแมนของผม จนกระทั่งบัดนี้ทางอเมริกาจะมาขอสร้างอุลตร้าแมนเพื่อฉายไปทั่วโลก โดยมีงบประมาณกว่าหมื่นล้านบาท ตอนนี้ผมก็ยังเลือกตัดสินใจอยู่ว่าจะให้บริษัทไหนทำในนามประเทศไทย ซึ่งผมจะขอทำภารกิจโหวตโนให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะเดินหน้าเปิดตลาดที่อเมริกา”
นี่คือประโยคเปิดใจของ สมโพธิ แสงเดือนฉาย เจ้าของลิขสิทธิ์อุลตร้าแมนทั่วโลกยกเว้นญี่ปุ่น ในวันที่เขาตัดสินใจนำยอดมนุษย์สุดรักสุดหวงเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการประชาชนในครั้งนี้
แน่นอน การตัดสินใจครั้งนี้ย่อมมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเป็นธรรมดา เพราะต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาอุลตร้าแมนนั้นเป็นการ์ตูนขวัญใจของคนหลายยุคสมัย การถูกนำมาทำให้แปดเปื้อนทางการเมืองก็อาจจะสร้างความไม่สบายใจแก่คนรักอุลตร้าแมนได้ แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งและเพ่งพิจารณาในความหมายของอุลตร้าแมนแล้ว บางทีนี่็อาจจะสอดประสานกันพอดี เพราะอาจจะหมายความ ว่าบ้างครั้งประเทศไทยเองก็อาจจะต้องการให้มียอดมนุษย์เหล่านี้มาทำหน้าที่ขับไล่น้ำเสียให้พ้นวงการการเมืองไปเสียทีก็ได้
ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ เคน พิจักษ์ หนึ่งในคนที่คนที่คลุกคลีกับเรื่องราวของซูเปอร์ฮีโร่การ์ตูนมาตลอดนั้นมีความเห็นว่า มันอาจจะสร้างความสนใจให้แก่ผู้ใหญ่ที่อินกับตัวละครตัวนี้ได้บ้าง
"จริงๆ การเอาคาแรกเตอร์การ์ตูนมาใช้ในการรณรงค์เรื่องต่างๆ นั้น มันน่าจะสร้างแรงจูงใจให้กับเด็กได้มากกว่านะ แต่กับอุลตร้าแมนมันก็อาจจะส่งผลกับผู้ใหญ่ที่ผ่านช่วงเด็กมาแล้ว ก็น่าจะเกตอยู่ คือถ้าว่ากันในแง่ปรากฎการณ์ล้วนๆ การนำอุลตร้าแมนมาใช้มันก็สื่อถึงการปราบสัตว์ประหลาด และการผดุงความยุติธรรมนั่นเอง"
[3]
นอกจากความหมายเชิงสัญลักษณ์ การใช้อุลตร้าแมนเป็นตัวชูโรงในครั้งนี้ยังถือว่าปรากฏการณ์ที่สำคัญมากๆ ครั้งหนึ่งในเมืองไทย เพราะตั้งแต่พลิกแวดวงการเมืองมา ยังไม่เคยมีครั้งใดที่ตัวละครระดับโลกนี้ไปโผล่ในการรณรงค์ทางการเมืองเท่าใดนักเลย
อย่างมากที่เห็นทำกันบ่อยๆ ก็คือการสร้างตัวการ์ตูนขึ้นมาใหม่ โดยมีบรรทัดฐานมาจากตัวของนักการเมืองเอง เช่นสมัยที่ ปวีณา หงสกุล หรือคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ลงสมัครในตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็มีการผลิตตัวการ์ตูนปวีณากับตัวการ์ตูนสุดารัตน์ ออกมาทั้งแบบภาพวาดและชุดมาสคอต เพื่อดึงดูดผู้คนเวลาหาเสียง ซึ่งในเรื่องนี้ ผศ.พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล อาจารย์ประจำภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้ว่า นี่คือการผสมผสานหลักการตลาดกับการเมืองเข้าไปไว้ด้วยกัน โดยเป้าหมายนั้นก็ไม่ได้แตกต่างกับการใช้มาสคอตในกรณีอื่นๆ นั้นคือ การดึงดูดความสนใจ
"ถ้าพูดกันตรงๆ มาสคอตก็ถือเป็นตัวที่สร้างสีสันที่ดีเลย เพราะเวลาที่มันออกไปก็จะเรียกความสนใจจากคนได้มาก เนื่องจากมันไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ได้เป็นตัวบุคคล หรือผูกติดกับตัวนักการเมือง ก็เลยเข้าถึงคนง่ายกว่า อย่างกรณีที่พันธมิตรฯ หยิบเอาอุลตร้าแมนมาใช้ เวลาออกไปมันก็สะดุดตามากกว่า และการที่เขามีแนวคิดที่ไม่ได้ให้เลือกตัวบุคคล การใช้มาสคอตก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีในการชูประเด็น"
[4]
แต่ถึงแม้จะเป็นสีสัน สุดท้ายแล้วก็เชื่อว่าคำถามหนึ่งที่ตามมาแน่ๆ ก็คงหนีไม่พ้นว่า เอาเข้าจริงแล้ว ตัวอุลตร้าแมนนี้จะมีอิทธิพลทางความคิดของผู้คนสักแค่ไหน
โดยเฉพาะในแง่ของการเมืองซึ่งมีความรุนแรงเป็นทุนเดิม ซึ่งในเรื่องนี้ ดร.โมไนยพล รณเวช อาจารย์ประจำภาควิชาบริหารการสื่อสาร คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ได้ชี้ให้เห็นว่า อาจจะไม่มีผลต่อการตัดสินใจสักเท่าไหร่ เพราะหน้าที่ของตัวอุลตร้าแมน หลักๆ น่าจะอยู่ที่การดึงดูดคนมากกว่า ในขณะที่เรื่องการโหวตโนเป็นนวัตกรรมในสังคมไทย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะต้องให้ข้อมูลหรือเหตุผลมากกว่าว่าทำไมคนไทยควรโหวตโน
“การที่คนจะโหวตโน เพราะเชื่อตามที่อุลตร้าแมนบอกคงไม่ใช่ เพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ใช่เด็ก มีวุฒิภาวะแล้ว แยกออกระหว่างโลกแห่งความจริงกับโลกแห่งจินตนาการ แม้ว่าอาจเคยชอบ คลั่งไคล้อุลตร้าแมนมาในวัยเด็ก แต่เมื่อโตขึ้นมาความรู้สึกนั้น มันคงไม่เหมือนเดิมแล้ว ถ้าจะยังรักอุลตร้าแมนอยู่ ก็คงรักแบบที่โหยหาอดีต ไม่ใช่รักแบบหลงใหล และผู้ใหญ่ย่อมรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินไม่ใช่อุลตร้าแมนบอก แต่เป็นสิ่งที่คนสวมใส่หน้ากากหรือคนที่ใส่ชุดอุลตร้าแมน หรือเจ้าของลิขสิทธิ์อุลตร้าแมนบอกต่างหาก เพราะอุลตร้าแมนไม่มีอยู่จริง แต่การเมืองเป็นเรื่องจริง ผมว่าคนแยกแยะส่วนนี้ได้”
ขณะเดียวกัน ผศ.พิจิตราก็ยังเสริมให้เห็นภาพอีกด้วยว่า ส่วนใหญ่การชูสัญลักษณ์อะไรขึ้นมาก็แต่ มักจะทำเป็นเพียงแคมเปญระยะสั้นเท่านั้น คือพอเป็นกระแสเรียกความสนใจ หรือตอกย้ำทางอารมณ์ได้ในช่วงนั้น แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่จะต้องนำมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนให้มากขึ้น ก็คือ ตัวละครหรือตัวสัญลักษณ์ที่ถูกหยิบขึ้นมานั้น จะสามารถตอบโจทย์หรือสื่อความหมายตามที่พรรคหรือกลุ่มการเมืองนั้นใช้ได้มากแค่ไหน อย่างกรณีของอุตร้าแมน ก็อาจจะไม่ได้เห็นภาพชัดนัก เมื่อมาหากเทียบกับแคมเปญรูปสัตว์ของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่นำออกก่อนหน้านี้
เพราะถึงแม้ตัวการ์ตูนดังกล่าวจะมีความหมายซ่อนอยู่ภายในก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าสุดท้ายแล้วคนจะเข้าใจ ที่สำคัญเรื่องแบบนี้ ยังแทบไม่มีตัวอย่างในต่างประเทศให้เห็นได้ชัดมาก เพราะส่วนใหญ่คนที่นั่นจะให้น้ำหนักกับมิติของเรื่องนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
"เท่าที่เห็นยังไม่พบเท่าไหร่ อาจจะมีใกล้เคียงบ้างก็ที่ญี่ปุ่น ซึ่งจะมีพรีเซ็นเตอร์คล้ายๆ พริตตี้ออกมาแนะนำนักการเมืองเพื่อทำให้คนสนใจ ขณะที่ด้านตะวันตกก็ยิ่งแล้วใหญ่ เนื่องจากเขามองว่าการเมืองเป็นเรื่องซีเรียส เพราะฉะนั้นเขาก็จะระมัดระวังพอสมควรในการหยิบเรื่องแบบนี้เข้ามา ซึ่งแตกต่างกับของไทยที่นิยมความตื่นเต้นตระการตาไว้ก่อน ต้องมีการเรียกร้องให้มีความตื่นตัว สนใจหรือสนุกสนานไปกับมันก่อน"
……….
แม้สุดท้ายงานนี้อุลตร้าแมนรณรงค์โหวตโนจะสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ประชาชนชาวไทยได้เห็นหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ต้องถือว่านี่คือบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกหน้าหนึ่งของการเมืองไทยก็ว่าได้ เพราะคง มีไม่บ่อยนักที่ขวัญใจเด็กๆ จะขอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการภาคประชาชน
และไม่แน่ ถึงตอนนี้หลายๆ คนอาจจะกำลังภาวนาอยู่ก็ได้ เผื่อว่าประเทศไทยจะมีอุลตร้าแมนตัวเป็นๆ เกิดขึ้นมาจริงๆ สักที เพื่อที่มาปราบสัตว์ประหลาดนักการเมืองชั่วที่กินบ้านทำร้ายทำลายเมืองให้หมดไปจากเมืองไทยเสียที และตอนสุดท้าย พวกเขาจะได้มีโอกาสเลือกคนดีๆ ไม่ใช่คนที่ไม่ดีน้อยที่สุดเข้าไปทำหน้าที่อันทรงเกียรติ ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นี้ซะเลย
>>>>>>>>>>
……….
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK