xs
xsm
sm
md
lg

ทฤษฎีการเรียนรู้ ออกแบบ และภัยพิบัติ 'วี’ วิภาวี คุณาวิชยานนท์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ความฝัน... วลีเล็กๆ ที่แฝงความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ ครั้งหนึ่งเมฆดำก้อนโตเข้าปกคลุมทะเลฝันของ วี-วิภาวี คุณาวิชยานนท์ ลางร้ายของภัยพิบัติทำให้เกิดการตระหนักว่า ถึงเวลาแล้วที่มนุษย์ต้องเตรียมตัวรับมือกับมหัตภัยร้ายที่อาจพรากสิ่งมีชีวิตไปอย่างไม่หวนกลับ

ราวต้นปี 2553 เธอก่อตั้งโครงการ Design for Disasters หรือกลุ่ม D4D ชักชวนเพื่อนพ้องน้องพี่สร้างกลุ่มคนเล็กๆ จากหลายสาขาอาชีพทั้ง นักออกแบบแขนงต่าง, นักวิชาการ ฯลฯ ที่พร้อมทุ่มแรงใจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาร่วมรังสรรค์ไอเดียออกแบบเพื่อป้องกันและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติแบบระยะยาว โดยเฉพาะการรับมือกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากความแปรเปลี่ยนของสภาพภูมิอากาศที่เริ่มก่อตัวทวีความรุนแรงไปทั่วโลก

จากก้าวแรกที่เป็นเพียงความฝันของเด็กหญิงผู้รักศิลปะที่ถูกปูทางเดินตั้งแต่ครั้งอนุบาล พอเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก็เริ่มหลงใหลในสถาปัตยกรรม เธอเริ่มบ้านหลังเล็กๆ จากดินน้ำมัน จากกระดาษ จากปูนปลาสเตอร์ ในที่สุดเมื่อเข้ามาระดับมัธยมฯ ก็เข้าติวเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เพื่อมุ่งมั่นที่จะศึกษาทางด้านสถาปัตย์

...แต่สุดท้ายก็พบกับความผิดหวังที่สร้างภูมิคุ้มกัน ขณะเดียวกันก็จุดประกายความฝันครั้งใหม่ด้วย...

เสียใจไหมที่ไม่ได้เริ่มต้นเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์ตั้งแต่แรก

ไม่เสียใจเลย คือต้องเท้าความก่อน ตอนนั้นก็เลือกสถาปัตย์ หมดเลยสี่อันดับนะ แต่อันดับสุดท้ายเป็นคณะครุศาสตร์ เอกศิลปะ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วีว่ามันมันทำให้เรามองโลกอีกมุมหนึ่ง ก็ทำให้เรารู้ด้วยว่าจริงแล้วเราชอบอะไร เพราะถ้าเกิดตอนแรกวีได้เรียนสถาปัตย์ตั้งแต่ต้นตอนนี้อาจจะไม่ได้รักสถาปัตย์แบบเดิมก็ได้ ครุฯ ทำให้เห็นถึงชีวิตมากขึ้น เห็นความสำคัญของการแบ่งปั่นความรู้

พอเรียนจบปริญญาตรีแล้วไปทำอะไรต่อ

ตอนแรกวีก็ไปเรียนที่เมืองชิคาโกก่อน เรียนเกี่ยวกับศิลปะไปปีหนึ่ง แล้วก็ไปเรียนที่ Rhode Island School of Design ปริญญาโทด้านอินทีเรีย (Interior-ออกแบบภายใน) เรียนไปเรียนมาเกือบสามปีแล้วก็ค้นพบว่าแบบภายในกับภายนอกมันแยกออกจากกันไมได้มันสัมพันธ์กัน ก็เลยตัดสินใจไปเรียนสถาปัตยกรรมต่อไปเรียนที่ฮาร์วาร์ด อีกสามปีครึ่ง

ตอนนี้ก็กำลังทำปริญญาเอก เกี่ยวกับเตรียมตัวรับมือภัยพิบัติที่ Asian Institute of Technology (AIT) และก็ทำ Design for Disasters

เป็นคนที่เรียนมาเยอะมาก

ค่ะ(ยิ้ม)

แล้วการเรียนที่เมืองไทยกับต่างประเทศต่างกันไหม

เมืองไทยจะเป็นขั้นตอน ก็ค่อนข้างจะมีกรอบอยู่เหมือนกัน แต่ในเมืองนอกนี่เขาจะเปิดกว้างให้เราได้ค้นพบตัวเองมากขึ้น

ที่มาทำDesign for Disasters เพราะว่าเรียนทั้งการออกแบบทั้งเรื่องภัยพิบัติหรือเปล่า

ตอนแรกวีเรียนออกแบบวีก็อยากเป็นนักออกแบบทั่วๆ ไปที่สร้างอะไรสวยๆ แต่ก็อยากทำอะไรเพื่อช่วยชุมชนช่วยคนมีรายได้น้อยด้วย แต่ก็เห็นว่ามีคนทำเยอะแล้ว ส่วนหนึ่งก็มองเห็นด้วยว่าภัยพิบัติต่างๆ มันก็เริ่มต้นมากขึ้น มีแนวโน้มมากขึ้น ก็เลยมาทำการออกแบบเพื่อรับมือภัยพิบัติ ใช้แบ็กกราวนด์ความถนัดของตัวเองมาช่วย

เหมือนนำเอาสิ่งที่ร่ำเรียนมาต่อยอดกัน

จริงๆ จุดเริ่มต้นของ Design for Disasters คือวีฝันถึงเรื่องคลื่นยักษ์สึนามิ เมื่อราวๆ ปีสองห้าสี่แปด ช่วงที่เกิดสึนามิที่ประเทศไทยคะ เพราะตอนนั้นเหมือนกับว่าภัยพิบัติมันรุนแรงมาก ก็ฝันมาเรื่อยๆ เลยนะ บางครั้งก็ฝันว่าตัวเองตายในน้ำ บางครั้งก็ถามตัวเองว่านี่ฝันหรือจริงเพราะว่ารู้ตัวว่าฝัน แล้วกลับมาที่เมืองไทยปีสองห้าห้าหนึ่ง คือตอนนั้นเป็นหน้าฝนพอดีมีเมฆดำก้อนใหญ่ฝนตกหนักมาก บอกตรงๆ ว่ากลัวภัยพิบัติคะ(หัวเราะ)

ซึ่งตรงกับมีข่าวลือว่า กรุงเทพฯ จะน้ำท่วมภายใน 8 ปี ตอนนั้นกลัวมากและก็คิดว่าไม่อยู่แล้วกรุงเทพฯ ก็เลยไปเมืองจีนไปบ้านเกิดอากง และบ้านเกิดอากงคืออยู่บนภูเขา ก็เริ่มจินตนาการว่าห้าสิบกว่าปี อากงเผชิญความลำบากขนาดไหน ต้องเดินขึ้น-ลงเขา มาจนถึงเมืองไทยผ่านอุปสรรคมากมากมายแค่ไหน ทีนี้วีก็ได้เปลี่ยนความคิดใหม่ว่า เราจะกลัวอะไรกับเรื่องแค่นี้ ก็เลยกลับมาประเทศไทยแล้วศึกษาเรื่องภัยพิบัติเลย เพราะว่าในเมื่อกลัวมันนักก็เรียนมันซะเลย

แล้วสิ่งที่ทำมามันเป็นรูปธรรมขึ้นมาหรือยัง

ในปีที่ผ่านมาก็จะมีโปรเจกต์เกิดขึ้นเรื่อยๆ รูปธรรมมันก็มีแต่ว่าถ้าจะให้พูดว่าเอาไปทำได้จริงเอาไปช่วยคนได้เลยมันก็ยัง มันยังต้องพัฒนาต่ออีกหลายเรื่องที่มีความเกี่ยวโยงกัน

Design For Disasters จะมีอะไรเพิ่มเติมอีกไหม

ตอนนี้ก็จะทำเว็บไซต์ ทำบล็อก แต่ละคนที่เข้ามาเจอกันก็เหมือนกลับไปคิดมาว่า หัวข้อที่เราสนใจมีอะไร อย่างท่านหนึ่งสนใจเรื่องการ์ตูนก็ทำสตอรี่บอร์ดการ์ตูนเรื่องภัยพิบัติออกมา ก็แต่ละคนก็จะมีความหลากหลาย ซึ่งเราคิดว่าตรงนี้น่าจะนำมาเผยแพร่ในบล๊อกเพื่อเป็นแบ่งปันข้อมูล มันเหมือนกับว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาเรากำลังสร้างเครือข่ายทำให้มันเป็นกลุ่มก้อน

พอเข้ามาทางสถาปัตย์เต็มตัว อย่างนี้ก็เรียกว่าสลัดคราบครุศาสตร์ออกไปเลย

เปล่าคะ ก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนด้านสถาปัตย์ มีม.รังสิต, ม.ธุรกิจบัณฑิตย์, ม.ธรรมศาสตร์ ไม่ได้มีความตั้งใจในชีวิตว่าอยากเป็นอาจารย์ประจำที่ไหน เพราะว่ามันทำให้ยากที่จะทำ Design For Disasters เหมือนกับเราต้องการความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่าย แต่ถ้าเราไปยึดติดว่าเราเป็นใครประจำที่ไหนมันก็ไม่คล่องตัว อย่างคนที่เข้ามาร่วมกับ Design For Disasters แทบทุกคนก็มีงานประจำ มันก็จะเป็นรูปแบบที่ว่าเข้ามาร่วมกันเป็นครั้งคราว มาตอนที่ว่างใครมีไอเดียอะไรก็มาแชร์กัน

แต่ในเรื่องงานสอนบางทีมีสอนทั้งวันเหนื่อยนะคะ แต่ข้างในมันอิ่ม(ยิ้ม) ครุฯ สอนให้เรารู้จักแบ่งปัน

แล้วมองว่างานสถาปัตยกรรมบ้านเรายังขาดอะไร

มันต้องแล้วแต่มุมมองของคน และโปรเจกต์ด้วย ในความคิดวีคิดว่ามันเป็นเรื่องระบบของสังคมเรื่องความต้องการของลูกค้า เหมือนกับว่าสถาปนิกบ้านเรายังต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้า แต่ก็ต้องเข้าใจเพราะเขาเป็นคนให้เงิน มันก็ลำบากแต่แน่นอนว่ายังมีสถาปนิกที่เปิดมุมมองให้แก่ลูกค้า

อย่างนี้บ้านคุณออกแบบเองเลยหรือเปล่า

ไม่คะ ธรรมดามากๆ เป็นทาวเฮาน์ ถ้ามองย้อนกลับไปสิบกว่าปีภาพของห้องนอนวีแทบไม่มีอะไรเปลี่ยน วีมองว่า มันเป็นบางอย่างที่บอกความเป็นอดีต

แล้วบ้านในฝันละ

อยากมีต้นไม้ใหญ่ๆ สักต้นอยู่ตรงกลางบ้าน แต่บ้านเนี่ยไม่จำเป็นต้องใหญ่ วีจินตนาการว่าขอแค่ห้องเล็กๆห้องหนึ่งสีขาว มีหน้าต่างบานใหญ่มองออกไปเห็นท้องฟ้า เห็นต้นไม้ แค่นี้ก็พอแล้วชีวิตไม่ต้องการอะไรมากมาย (ยิ้ม)
>>>>>>>>>>

……….
เรื่อง : ณ
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ






กำลังโหลดความคิดเห็น