xs
xsm
sm
md
lg

นัท AF4 “ดูดี” เพราะ “มีดี”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เรียบร้อยก็หาว่าตุ้งติ้ง พอหันมาโชว์กล้ามกลับถูกมองว่าพยายามปิดบังตัวตนที่แท้จริงเพื่อกลบกระแสอีก... ปกติแล้วเมื่อเห็นเหล่าดาราหุ่นสวยๆ กล้ามแน่นๆ M-Healthy จะไม่รอช้า รีบเข้าไปเสาะหาเคล็ดลับมาฝากผู้อ่านทันที แต่สำหรับนักร้องหนุ่มมากความสามารถคนนี้ เขามีคำตอบที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าคำเสนอแนะเรื่องการดูแลสุขภาพ เป็นคำบอกเล่าซึ่งนำไปสู่ตัวตนอีกด้านหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครรู้ ตัวตนของผู้ชายที่ชื่อ “ณัฐ ศักดาทร”
 

หลายคนค่อนข้างแปลกใจกับภาพลักษณ์ใหม่ๆ ของเขา จากหนุ่มนักล่าฝันมาดนิ่ม สุขุม เรียบร้อยกว่าผู้ชายทั่วๆ ไปจนถูกมองว่าตุ้งติ้ง กลับกลายเป็นสปอร์ตแมน ฟิตหุ่นแน่นเปรี๊ยะ เก๊กหน้าเข้ม ถอดเสื้อโชว์กล้ามโตๆ ตามหน้านิตยสารหลายต่อหลายฉบับ ทีมงานเองก็สนใจเช่นกัน จึงขอนัดพูดคุยกับ “นัท AF4” ในวันที่ทั้งสองฝ่ายว่างตรงกัน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งวันที่วุ่นวายที่สุดของเขา เพราะนอกจากจะต้องถ่ายภาพโปรโมตคอนเสิร์ตกับเพื่อนๆ เอเอฟรุ่นเดียวกันแล้ว นัทยังต้องตอบคำถามนักข่าวสำนักอื่นอีกหลายรายในฐานะที่ตกเป็นข่าวกับดาราชายด้วยกัน
 

รอจนกระทั่งจังหวะเวลาเป็นใจ นัทจึงปลีกตัวจากภาระที่อยู่ตรงหน้าแล้วเดินเข้ามาหาทีมงานด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร แน่นอน... ก่อนจะเข้าสู่คำถามวงแตก เจาะลึกเรื่องส่วนตัวที่ใครๆ ต่างอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเขา ขอเริ่มที่ประเด็นหลักซึ่งนำทางเรามาพบกันในวันนี้ คำถามเกี่ยวกับวิธีดูแลตัวเองที่เหล่าคนรักสุขภาพรอคอย
 

ครบสูตรสุขภาพดี
“นัทเล่นฟิตเนสมาตั้งแต่มหาวิทยาลัยแล้วครับ แรงบันดาลใจแรกสุดคงเป็นนิตยสาร เป็นคนชอบอ่านนิตยสารเกี่ยวกับสุขภาพอยู่แล้ว เห็นพวกนักกีฬา นักร้องได้ขึ้นปกโชว์หุ่นโชว์กล้ามกัน ก็รู้สึกว่าเขาเท่ดี อยากเท่อย่างเขาบ้าง เลยพยายามดูแลตัวเองมาตลอด เล่นเวตตั้งแต่ตอนเรียนที่อเมริกา กลับมาเมืองไทยก็ยังเล่นอยู่เรื่อยๆ แล้วก็มาจริงจังมากๆ ตอนถูกชวนขึ้นปก Men's Health เมื่อต้นปีนี่แหละครับ ตอนนั้นฟิตมาก เข้าฟิตเนสอาทิตย์ละ 3-4 ครั้งได้” คำบอกเล่าของนัททำให้ผู้สัมภาษณ์นึกเอะใจว่าเขาคงไม่ได้เพิ่งหันมาดูแลสุขภาพเพราะต้องทำงานในวงการ เมื่อถามออกไป เจ้าตัวจึงยิ้มรับก่อนช่วยเท้าความให้ฟัง
 

“เมื่อก่อนตอนเด็กๆ เป็นนักกีฬาปิงปองของโรงเรียน สมัยประถมฯ เลยนะ (หัวเราะ) คงเป็นเพราะตอนนั้นมีแก๊งค์เพื่อนๆ เล่นด้วยกัน คุณพ่อนัทเองก็เคยเป็นนักกีฬาปิงปอง ส่วนพี่สาวก็ชอบเล่นด้วยกัน ก็เลยเก่งเลยช่วงหนึ่ง (ยิ้ม) แต่วิชาพละอย่างอื่นไม่ได้เก่งมากนะ พอเข้ามหาวิทยาลัยก็จะเน้นเรื่องเรียนมากกว่า แต่นัทจะพยายามหาเวลาออกกำลังกาย คือที่มหาวิทยาลัยจะติดแม่น้ำครับ (มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด) ติดแม่น้ำชาร์ล นัทจะชอบวิ่งริมแม่น้ำตอนเย็นๆ แทบทุกวันเลย อากาศดีมาก (ลากเสียง) ฟังเพลงไปด้วยวิ่งไปด้วย ได้บรรยากาศมากเลย เด็กที่นู่นเขาก็ออกกำลังกายกันเยอะนะ มีวิ่งเหมือนกับนัท บางคนก็พายเรือริมแม่น้ำ ขว้างฟริสบี (จานหมุน) เล่นกันก็มี”
 

“ส่วนตัวแล้วนัทรู้สึกว่าการออกกำลังกายมันดีมากเลย มันมีส่วนช่วยให้ร่างกายเราตื่นตัวตลอดเวลา ก่อนที่นัทจะไปอัดเพลงใหม่ทุกครั้ง นัทจะต้องเข้าฟิตเนสก่อน ต้องหาเวลาไปให้ได้ รู้สึกว่าพอร่างกายแข็งแรง เสียงของเราจะส่งพลังออกไปได้มากขึ้น เรื่องการพักผ่อนก็สำคัญมากครับ ยิ่งเป็นนักร้องด้วย พักผ่อนน้อยก็ส่งผลต่อเสียง ควรจะนอนอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง ซึ่งนัทก็ไม่ได้ทำได้ทุกวัน แต่ถ้าวันไหนมีเวลาก็จะพัก แล้วก็จะพยายามไม่กินอาหารก่อนนอน เพราะอาจจะทำให้เป็นโรคกรดไหลย้อน ซึ่งกรดที่ขึ้นมาที่ลำคอนี่แหละครับมันจะทำให้แสบคอแล้วก็ทำลายเส้นเสียงของเรา เพราะฉะนั้นควรปล่อยท้องให้ว่าง 2-3 ชั่วโมงก่อนนอน ไม่ควรกินอะไรเลย” นัทแนะนำในฐานะคนรักสุขภาพ ก่อนเริ่มเข้าสู่เรื่องอาหารการกินโดยอัตโนมัติ
 

“ส่วนเรื่องอาหาร นัทว่านัทไม่ได้ควบคุมนะ เรียกว่ามันคือการปรับพฤติกรรมเกี่ยวกับการกินดีกว่า คนไทยส่วนใหญ่จะเน้นหนักมื้อเย็นซึ่งเป็นมื้อที่ไม่จำเป็นมากที่สุด จริงๆ แล้วเราควรจะให้น้ำหนักมื้อเช้ากับมื้อเที่ยงมากกว่า จะได้ดึงพลังงานมาใช้ระหว่างวันได้ แต่ก็เข้าใจนะครับว่าบางคนทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน พอมื้อเย็นก็อยากกินเยอะๆ อยากกินอะไรอร่อยๆ นัทก็เป็นเหมือนกัน ก็จะแก้ด้วยวิธีกินทั้งวัน แต่ไม่ใช่กินเยอะๆ นะ จะพยายามกินทุก 2-3 ชั่วโมง ทำให้ร่างกายเราได้เผาผลาญอยู่ตลอดเวลา นัทว่าดีกว่าครับ บางคนหิวมากๆ แล้วไปกินทีเดียวเอาตอนเย็น มันจะทำให้อ้วนเพราะกินเยอะเกินไป”
 

แล้วกินอย่างไรถึงจะไม่อ้วน? นัทกลอกตาและใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงกลั่นกรองออกมาเป็นวิธีปฏิบัติของตัวเองแบบไม่สงวนลิขสิทธิ์
 

“เวลากินเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างวัน นัทจะกินขนมปังครับ จะไม่หนักถึงขั้นกินข้าวแล้วก็ไม่กินขนมที่ไม่มีประโยชน์ หรือถ้ากินขนม จะกินถั่วลันเตาอบกรอบ หรือขนมที่ไม่ทำให้อ้วนมาก ส่วนตอนเช้าจะกินซีเรียลกับนมรองท้องเอาไว้ ทำให้เราไม่หิวเกินไปในมื้อถัดไป หรือถ้าเป็นมื้อปกติ จะชอบกินราเมนหรือไม่ก็อาหารร้อนๆ อุ่นๆ ครับ มันดีกับเส้นเสียง แต่ก็ต้องระวังเรื่องแป้งนิดหนึ่ง ถ้าอยากเฮลตี้จริงๆ คงเป็นเมนูปลาแซลมอนกับสลัด จะได้ไม่อ้วน แล้วนัทเป็นคนชอบของหวานมาก ชอบกินไอศกรีมชาเขียวมาก (ยิ้มหวาน) ก็เลยต้องพยายามห้ามใจ คือไม่ถึงขั้นงดนะแต่จะพยายามไม่กินทุกวัน จะบอกกับตัวเองเลยว่าอาทิตย์หนึ่งกินได้ครั้งเดียวพอ ผลไม้ก็เหมือนกันครับ ต้องดูดีๆ ว่าชนิดไหนมีส่วนประกอบของน้ำตาลเยอะ แบบไหนกินแล้วจะกลายสภาพเป็นแป้งก็จะพยายามลด อย่างมะม่วงเนี่ยอ้วนแน่ๆ”
 

ในเมื่อต้องขายรูปร่าง-หน้าตา
ดูแลตัวเองดีขนาดนี้ นัทไม่กลัวถูกมองว่าเป็นผู้ชายสำอางเพราะถือเป็นเรื่องปกติของคนในวงการ แต่ถ้าจะให้อธิบายเหตุผลออกมาเป็นข้อๆ เขาก็พร้อมจะร่ายยาวให้อีกหลายๆ คนได้เข้าใจ
 

“ทำงานแบบนี้ เราต้องดูแลเรื่องรูปร่างหน้าตามากกว่าคนทั่วไปนิดหนึ่งครับ ถึงเรื่องพวกนี้จะไม่ใช่จุดขายหลักของเรา แต่มันก็เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในการทำงาน เรื่องผิวก็ต้องดูแล นัทเองก็ไปหาหมออยู่บ้างเป็นปกติ ส่วนตัวแล้วคิดว่านอกจากเรื่องอาหารการกินที่สำคัญ การเข้าคลินิกรักษาหน้าบ้างก็เป็นเรื่องจำเป็นนะ เข้าเดือนละครั้ง เข้าไปเช็กหน้า ทำทรีตเมนต์ ผลัดวิตามินเข้าผิวหน้าบ้าง เพราะครีมที่เราทาทุกวันมันลงไปได้ไม่ลึกถึงผิวหน้าชั้นล่างๆ บางครั้งก็ต้องใช้เลเซอร์ช่วยกระตุ้นถึงจะได้ผล นัทมองว่าการเข้าสถาบันเสริมความงามเป็นเรื่องปกติครับ หรืออย่างเรื่องศัลยกรรมก็เป็นเรื่องธรรมดามากเลย” เขาเปิดประเด็นใหม่ที่น่าสนใจ ก่อนแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมเมื่อเห็นว่ามีคนรอฟังอยู่
 

“บางทีจะมีคนพูดว่าดาราคนนี้ทำจมูก คนนั้นทำคางมา แต่นัทแอบสงสัยอย่างหนึ่งว่า ทำไมทีคนที่ไปจัดฟันมา ไม่เห็นมีใครด่าเขาเลย ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็คือการศัลยกรรม มันทำให้หน้าเปลี่ยนได้เหมือนกัน นัทว่าตอนนี้เรามีสองมาตรฐานครับ คนจัดฟันไม่มีใครว่าอะไร แต่พอทำส่วนอื่นบนหน้า กลับถูกว่าเสียอย่างนั้น จริงๆ แล้วนัทว่าตราบใดที่เขาไม่ได้ไปทำร้ายใครด้วยการศัลยกรรมหน้าของเขาเอง เขาไม่ได้ทำให้ใครเสียหายก็ไม่น่าจะถูกใครว่า คือถ้าคุณไม่ชอบเขา คุณก็ไม่ต้องไปชอบเขา แต่ถ้าใครจะชอบเขาด้วยหน้าใหม่ ก็เป็นเรื่องของเขา มันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้นะในความคิดนัท เรื่องศัลยกรรมมันไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้าย หรือผิดกฎหมายอะไรเลย”
 

กล้าแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้ จึงขอให้นัทพูดถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในวงการ ซึ่งก็คือการซ้ำเติมเหล่าดาราหน้าพังจากการศัลยกรรมที่ผิดพลาดในสังคมไทย เขาพยักหน้ารับอย่างยินดี จากนั้นจึงเริ่มเปิดใจอีกครั้ง
 

มันเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้อยู่แล้วครับเวลาไปทำศัลยกรรม แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าสมน้ำหน้าหรือควรจะซ้ำเติมใครด้วย คนที่ทำเขาคงต้องเตรียมใจไว้ประมาณหนึ่งแล้วว่าจะออกมาดีขึ้นหรือแย่ลง ทั้งนี้ทั้งนั้นคำว่าดีขึ้นหรือแย่ลงมันก็เป็นรสนิยมส่วนตัวของแต่ละคนอีกแหละ บางคนอาจจะว่าดีขึ้น บางคนอาจจะว่าแบบเดิมดีกว่า แต่ท้ายที่สุดนัทว่ามันต้องเริ่มจากตัวเราเองก่อนครับ อยู่ที่เราว่าชอบอะไร จะทำหรือไม่ทำ ถ้าเรารู้สึกไม่ดีกับหน้าของตัวเอง มันก็ยากจะใช้ชีวิตอย่างมั่นใจได้ แต่ไม่ได้ส่งเสริมให้ใครไปทำศัลยกรรมนะ มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นครับ คนเราสามารถเสริมความมั่นใจให้ตัวเองได้จากหลายๆ อย่างในชีวิต อาจจะเริ่มจากให้คุณค่ากับความสามารถที่เรามีอยู่ก่อนก็ได้
 

นอกจากช่วยเป็นปากเป็นเสียงแทนคนในวงการแล้ว นักร้องหนุ่มยังถือโอกาสเตือนคนนอกวงการที่รักสวยรักงามด้วย นัทบอกว่าการดูแลตัวเองเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าพึ่งสถาบันเสริมความงามเกินพอดี ก็อาจนำไปสู่ค่านิยมที่ผิดๆ ได้เช่นกัน
 

“อย่างคนทั่วไปที่ไม่ต้องแต่งหน้าหนาๆ ทุกวี่ทุกวันหรือเจอแสงไฟจัดๆ เหมือนคนในวงการ เขาก็ไม่น่าจะเจอผลกระทบบนผิวหน้ามากเท่าพวกเราอยู่แล้วนะ เพราะฉะนั้นก็ไม่น่าจะสิ้นเปลืองไปกับเรื่องนี้มาก ถามว่านัทสนับสนุนให้คนพึ่งหมอไหม นัทว่ามันแล้วแต่ฐานะของแต่ละคน อยากให้ใช้มันในระดับที่พอเพียง ไม่ใช่ว่าทุ่มเงินไปกับส่วนนี้หมด ส่วนที่จำเป็นในชีวิตเรื่องอื่นก็ไม่ได้ใช้เลย อันนี้ก็ไม่ใช่ คนเรามันก็ต้องจัดลำดับความสำคัญในชีวิตให้ได้ครับ ถ้าอยากดูดี น่าจะเริ่มจากดูแลตัวเองจากภายในก่อน อย่างผู้ชาย อาจจะไม่ต้องถึงขั้นมีกล้ามเป๊ะทุกส่วน แต่แค่ออกกำลังกายบ้างก็พอ
 

“นัทรู้สึกว่าการที่เราดูแลตัวเองดี มันทำให้คนอื่นรู้สึกได้ว่าคนนี้ดูแลตัวเองดี เขาก็น่าจะดูแลเราได้ดีด้วย (ยิ้ม) อันนี้ถ้าพูดถึงประเด็นเรื่องความรักนะ เวลานัทมองใคร ส่วนหนึ่งนัทก็จะคิดอย่างนี้เหมือนกัน บางคนที่ไม่ค่อยดูแลตัวเอง เราอาจจะคิดไปว่าขนาดตัวเขาเอง เขายังดูแลได้ไม่ดีเลย แล้วจะเอาอะไรมาดูแลเรา (หัวเราะ)
 

ล่ำเพื่อกลบเกลื่อน?
แล้วก็มาถึงคำถามที่หลายๆ คนอยากรู้... การฟิตกล้ามสำหรับดาราชายคนอื่นๆ อาจมีความหมายเพียงแค่แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ชายสุขภาพดี แต่สำหรับหนุ่มหน้าตี๋ที่มีข่าวพัวพันเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับเพื่อนชายมาตั้งแต่สมัยอยู่ในบ้านเอเอฟ นัทกลับถูกมองว่าเขากำลังสร้างภาพแข็งแกร่งเพื่อลบคำว่า “ไม่แมน” ที่ถูกครหาไว้ เมื่อถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไป ผู้ถูกกล่าวหากลับไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจ แต่นัทยิ้มเย็นๆ และหัวเราะเบาๆ ก่อนอธิบายด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ให้ฟัง
 

“ไม่ได้ต้องการฟิตกล้ามเพื่อสร้างกระแสหรือกลบกระแสอะไรเลย เพราะตัวนัทเองก็เล่นเวตมาตลอดอยู่แล้ว แต่อาจจะเป็นมุมของเราที่คนอื่นไม่ค่อยได้เห็นเสียมากกว่า แต่ถึงจะอยากกลบกระแสจริงๆ นัทว่าถึงนัทจะฟิตกล้ามหรือถ่ายแบบโชว์หุ่นยังไง ถ้าคนยังคิดแบบเดิม ก็ยังมีคนว่าเราเรื่องเดิมๆ อยู่ดีแหละครับ
 

“บางคนเขาจะชินกับด้านที่เขาเห็นบ่อยๆ มากกว่า แต่มันก็ยังมีมุมที่เขายังไม่เคยเห็น ถ้าใครตามทวิตเตอร์นัทจะรู้เลยว่านัทไม่ใช่คนเรียบร้อย ติงต๊องด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องที่บอกว่านัทนุ่มนิ่ม ไม่เป็นผู้ชาย นัทไม่คิดจะให้ข้อมูลอะไรครับ นัทว่าคนที่เขาตัดสินเราไปในทางใดทางหนึ่ง มันเหมือนกับว่าเขามีคำตอบในใจอยู่แล้ว ซึ่งเราคงไปบังคับอะไรเขาไม่ได้ และไม่ได้มองว่ามันเสียหายอะไร แต่คนเราไม่ควรจะตัดสินว่าคนบุคลิกแบบหนึ่งดีกว่าคนอีกบุคลิกหนึ่ง โลกเรามันมีความหลากหลายทางบุคลิกภาพครับและทุกคนล้วนทำสิ่งดีๆ ให้แก่สังคมได้ สำหรับตัวนัทเอง นัทก็ไม่ใช่คนที่เรียบร้อยตลอดเวลา เราก็มีมุมบ้าๆ มีมุมดาร์กๆ ของเราบ้างเหมือนกัน”
 

แล้วมีมุมไหนบ้างที่คนอื่นยังไม่ค่อยรู้และอยากให้เขารู้? นัทนิ่งคิดสักพักก่อนพาไปพบกับอีกแง่มุมหนึ่งของเขาที่แปลกใหม่สำหรับหลายๆ คน
 

“หลายคนคงยังไม่เคยอ่านหนังสือของนัท นัทเขียนหนังสือด้วยครับชื่อ “มองทุกอย่างจากทุกมุม” ซึ่งล่าสุดก็ได้รับรางวัลจากกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นหนังสือบันเทิงคดีสำหรับวัยรุ่นด้วย ได้เข้ารับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเทพฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่นัทภูมิใจมาก มันเป็นนัทในฐานะนักคิดนักเขียนนักถ่ายทอดเรื่องราว ซึ่งหลายๆ เรื่องราวเราไม่มีโอกาสได้เล่าในฐานะของนักร้อง เพราะเวลาถูกสัมภาษณ์นัทก็จะถูกถามเรื่องเดิมๆ เรื่องความรักบ้าง เรื่องผลงานบ้าง แต่อาจจะไม่ได้ลงลึกไปถึงเรื่องประสบการณ์ที่เราผ่านมา เลยอยากจะลองแชร์ให้ทุกคนได้ลองอ่านดู
 

“อย่างเรื่องเฟซบุ๊ก นัทเป็นคนรุ่นแรกที่ได้ใช้เพราะมันเกิดขึ้นที่ฮาร์เวิร์ด เราก็สังเกตอย่างหนึ่งว่าในเฟซบุ๊กมันจะมีการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว กำหนดได้ว่าเราจะให้คนอื่นๆ เห็นข้อมูลของเราได้แค่ไหน เราขีดเส้นได้ว่าโลกส่วนตัวของเราคืออะไร ส่วนไหนอยากจะแชร์ให้คนอื่นได้รู้ ส่วนไหนอยากจะเก็บไว้ให้คนไม่กี่คนได้รู้ นัทก็เลยมามองเปรียบเทียบกับในชีวิตจริง สังเกตไหมครับว่าพอดาราบางคนไม่ตอบคำถามสักคำถามหนึ่งอย่างตรงไปตรงมา เช่น เวลาไปเที่ยวกับเพื่อน เขาไม่ได้บอกว่าไปกับใครที่ไหน แต่พอถูกขุดคุ้ยแล้วบังคับให้ตอบ ก็ถูกด่าว่าไม่บอกความจริง ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของชีวิตเขา ซึ่งเขาเป็นเจ้าของชีวิต เจ้าของ account นี้ เขาหรือเปล่าที่ควรเป็นคนกำหนดว่าอยากจะบอกอะไรกับคนอื่นบ้าง ไม่อยากจะบอกอะไรบ้าง แต่บางคนก็พยายามจะไปแฮ็กข้อมูลของเขา แล้วคนที่แฮกข้อมูลก็มาอ้างว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
 

ชีวิตของเราทุกคน เจ้าของชีวิตหรือผู้ใช้ account นั้นควรจะเป็นผู้กำหนดชีวิตตัวเอง ไม่ใช่คนอื่นซึ่งเป็นผู้ใช้อีก account เป็นผู้กำหนด เพราะแม้แต่ตัวเราเอง เราก็มีเรื่องบางเรื่องที่ไม่อยากจะเล่าให้พ่อแม่ของเราฟัง เราจะไปบังคับให้คนหนึ่งคนมาเล่าเรื่องทุกเรื่องให้เราฟังได้ยังไง จริงไหมครับ
ผู้สัมภาษณ์พยักหน้า... มองเผินๆ แล้วอาจเหมือนเป็นการ “พยักหน้ารับ” ประโยคคำถามที่นัทถามมา แต่แท้จริงแล้วเรากำลัง “พยักหน้ายอมรับ” ให้แก่ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าคนนี้ต่างหาก ภายในไม่กี่ชั่วโมงที่ได้พูดคุยกัน เขาทำให้ทีมงานยอมรับได้อย่างไม่มีข้อสงสัยว่าเขา “มีดี” ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และความคิดอย่างแท้จริง



เทรนเนอร์เฉพาะกิจ
เพื่อเอื้อเฟื้อเคล็ดลับแก่ผู้ชายที่อยากฟิต นัทขอแต่งตั้งตัวเองเป็นเทรนเนอร์เฉพาะกิจ แนะนำวิธีเพาะกล้ามด้วยตัวเองให้แบ่งๆ กันไปใช้ โดยเฉพาะคนที่มีงบประมาณอยู่จำกัดและไม่ต้องการสมัครฟิตเนสหรือจ้างเทรนเนอร์มาดูแล นัทบอกว่าสามารถเริ่มจากการหาความรู้ใส่ตัวได้ด้วยวิธีง่ายๆ อย่างการอ่านหนังสือ ซึ่งเป็นวิธีที่เขาใช้และได้ผลสำเร็จมาแล้ว
 

“นัทเล่นแรกๆ ก็ไม่มีเทรนเนอร์เหมือนกันครับ อาศัยถามเพื่อนที่เล่นบ่อยๆ แล้วก็อ่านหนังสือ อ่านนิตยสารสุขภาพทั้งหลาย ในนั้นเขาจะแนะนำว่าแต่ละท่าควรจะเล่นยังไง อย่างเล่นกล้ามไหล่ บางคนนั่งแล้วตัวงอก็กลายเป็นว่าไปออกแรงที่หลังมากเกินไป แทนที่จะได้ออกแรงที่ไหล่ หรืออย่างกล้ามแขน ตอนช่วงแรกๆ ที่เล่นก็เป็นเหมือนกันครับ เล่นผิดไปนิดเดียวกล้ามก็ไม่ขึ้น คือเวลายกดรัมเบล นัทขยับข้อศอกมากเกินไป แทนที่จะให้ข้อศอกอยู่กับที่ กล้ามเนื้อแขนจะได้ออกแรงได้เต็มที่ มันมีรายละเอียดเยอะ มีข้อควรระวังของแต่ละท่าอยู่ครับ หนังสือพวกนี้ก็จะบอกเคล็ดลับแต่ละท่าว่าเวลาเล่นต้องให้รู้สึกส่วนไหนบ้าง”
 

“ถ้าไม่อยากจ้างเทรนเนอร์ เราสามารถเล่นด้วยตัวเองได้อยู่แล้วครับ แต่ต้องมีความอดทน ไม่ใช่ว่าเล่นอยู่แค่ 2-3 อาทิตย์ พอไม่เห็นผลก็เลิก แรกๆ เราต้องโปรแกรมความเชื่อของเราให้ได้ว่ากว่ามันจะมา มันต้องใช้เวลานะ อยากให้ใจเย็นๆ กันหน่อยแล้วก็ค่อยๆ เล่นไป อีกอย่างทุกๆ ฟิตเนสเขามีคนเทรนอยู่แล้วครับ เราไม่จำเป็นต้องจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวก็ได้สำหรับคนที่ไม่สะดวก แต่ท่าไหนที่เราไม่แน่ใจ เราสามารถเรียกเทรนเนอร์มาช่วยดูได้ ลองปรึกษาเขาดูว่าที่เราทำอยู่ถูกหรือยัง นัทเชื่อว่าคนที่เขาอยู่ในนั้น เขาพร้อมจะให้คำแนะนำดีๆ เสมออยู่แล้วครับ

ทิ้งท้ายด้วยการสร้างกำลังใจเล็กๆ น้อยๆ สำหรับผู้ชายไซส์เล็กเช่นเดียวกับนัท “คนที่ไม่ได้สูงมากบางคนเขาจะกลัวว่าเล่นแล้วจะกล้ามปูเตี้ยตัน เพราะฉะนั้นมันก็มีข้อควรระวังอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไปเล่นเน้นน้ำหนักมากๆ แล้วก็กินโปรตีนเกินขนาดที่จำเป็นจนตัวบวมไปหมด ทำให้รูปร่างที่ออกมามันเกินคำว่าดูดีไป แต่ถ้าเล่นพอดีมันจะทำให้เรารู้สึกมั่นใจมากขึ้นนะ อย่างแต่ก่อนใส่เสื้อผ้าบางยี่ห้อแล้วเรารู้สึกว่ามันดูหลวมๆ โคร่งๆ เดี๋ยวนี้ใส่แล้วพอดีตัวมากขึ้น บุคลิกก็สง่าขึ้นด้วยบอดี้ของเราเอง ผิดกับเมื่อก่อนที่จะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าเราตัวเล็กกว่าคนอื่น คือเล่นฟิตเนสมันก็ไม่ได้ทำให้เราสูงขึ้นหรอกครับ แต่ทำให้เรามั่นใจมากขึ้น รู้สึกว่าตัวใหญ่ขึ้นนิดหนึ่ง เหมือนพื้นที่ของเราบนโลกนี้มันมีมากขึ้น” นัทยิ้มขี้เล่นปิดประโยค

ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี








นักร้องมาดนิ่ม ขวัญใจสาวกเอเอฟ

เทรนเนอร์เฉพาะกิจให้คำแนะนำ
ถ่ายปกนิตยสารสุขภาพ ความฝันตั้งแต่วัยรุ่น
ลุคใหม่ ไม่เหลือมาดผู้ชายนุ่มนิ่มเหมือนเคย
ขอบคุณภาพจากนิตยสาร Mens Health



MV อัลบั้มใหม่ก็เน้นโชว์ซิกแพก


กำลังโหลดความคิดเห็น