หากบอกว่าทุกวันนี้สถาบันหลักของชาติ อย่าง 'พระพุทธศาสนา' กำลังตกอยู่ในช่วงวิกฤตอย่างรุนแรงก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะข่าวคราวเกี่ยวกับบุคคลในแวดวงศาสนาที่ออกมาในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นพระฉ้อโกงประชาชน พระรีดไถเงินจากญาติโยม พระข่มขืนเด็ก พระหนีเที่ยว พระติดยา พระเล่นเฟซบุ๊ก พระตุ๊ดเณรแต๋ว หรือแม้แต่พวกกลางวันเป็นพระ กลางคืนเป็นโจร นั้นกลายเป็นเครื่องบ่อนทำลายศรัทธาของพุทธศาสนิกชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ทว่า เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบุคคลที่ใส่ผ้าเหลืองเท่านั้น เพราะแม้แต่ผู้หญิงที่นุ่งขาวห่มขาว ที่ทุกคนรู้จักกันในนามของ 'แม่ชี' ก็เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่แพ้กัน
อย่างกรณีล่าสุดที่กำลังร้อนแรงอยู่ในตอนนี้ นั่นคือประเด็นของ แม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ แห่งวัดพิชัยญาติ ซึ่งอ้างตนว่าสามารถแก้กรรมได้ โดยกระบวนการแก้กรรมนั้นก็ไม่ธรรมดา เพราะมีตั้งแต่ให้หญิงสาววัยกลางคน ซึ่งประสบปัญหาค้าขายไม่ดี แก้กรรมด้วยการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มจำนวน 2 ครั้ง จนกระทั่งให้หญิงสาวที่แม่ชีคิดว่า เปรตเข้าเนื่องจากไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ แก้กรรมด้วยการจะนำไฟฟ้ามาช็อต และนำน้ำหยดเข้าจมูกเด็กตลอดเวลา จนกลายเป็นหัวข้อวิจารณ์ถึงความเหมาะสมถึงแนวการสอนว่า ถูกต้องตามคำสอนในพระพุทธศาสนาหรือไม่
และนอกจากกรณีของแม่ชีคนดังแล้ว แม่ชีอีกหลายคนก็ยังมีพฤติกรรมแปลกๆ เช่น แสดงอภินิหารลอยน้ำได้ ไม่ก็ตาทิพย์ หูทิพย์ เห็นอดีต เห็นอนาคตของผู้คน หรือบางคนก็ตั้งตัวเป็นหมอดูเรียกเก็บเงินบริจาคเลยก็ยังมี
จากพฤติกรรมอันน่าสงสัยของบุคคลเหล่านี้ ทำให้มีหลายคนเริ่มตั้งคำถามถึงบทบาทของแม่ชีในสังคมไทยว่าคืออะไรกันแน่ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ที่ผ่านมาแทบจะไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อยว่า แม่ชีนั้นอยู่ในสถานะใด เป็นนักบวชหรือเป็นเพียงแค่อุบาสิกากันแน่ เพราะอะไรเมืองไทยถึงแม่ชีมากมายขนาดนี้ และเหตุใดแม่ชีบางคนถึงกลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลไม่แพ้พระภิกษุซึ่งถือว่า ทายาทตัวจริงของพระพุทธศาสนาเสียอีก
สถานภาพแม่ชีไทย
“ดูในพื้นที่ของคนข้างนอก แม่ชีอาจจะไม่มีบทบาทอะไรมากมาย แต่ตามความเข้าใจของเราเอง ก็มองว่าการที่เราประพฤติแบบนี้ เพราะเป็นนักบวช เนื่องจากเรามีศรัทธาว่า เราใช้ชีวิตเป็นนักบวช ส่วนใครจะมีศรัทธาหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล”
นั่นคือ คำจำกัดความถึงบทบาทของสถานภาพแม่ชีในสังคมไทยของ แม่ชีประทิน ขวัญอ่อน ประธานบริหารสถาบันแม่ชีไทย
ปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้สังคมไทยจะเป็นสังคมที่เปิด แต่สำหรับในเรื่องศาสนานั้นถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะตามคติความเชื่อแบบไทยๆ ผู้หญิงนั้นไม่สามารถบวชเป็นพระได้ แม้ต่อให้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนามากแค่ไหนก็ตาม เนื่องจากด้วยทางจารีตประเพณี และวงศ์ของภิกษุณีแบบเถรวาทของไทยนั้นหมดไปนานแล้ว ดังนั้น หากไปบวชที่อื่นแล้วกลับมาจำพรรษาในประเทศไทย ก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากการปกครองคณะสงฆ์แบบไทยอยู่ดี
แต่ความจริงอีกด้าน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายต่างก็มีความต้องการจะเข้าถึงหลักธรรมของพระพุทธองค์ทั้งนั้น ดังนั้น ทางเลือกของการบวชแม่ชีจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสังคมเช่นนี้ และที่สำคัญยังได้รับการยอมรับในเรื่องของสถานะทางสังคมอีกด้วย เนื่องจากแม่ชีในปัจจุบันถือว่า นั่นแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ด้วยกัน
นั่นคืออยู่ภายใต้การดูแลของสถาบันแม่ชีไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานของมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย กับแม่ชีที่อยู่ภายใต้การดูแลของวัดต่างๆ ดังนั้น จึงสามารถกล่าวได้ว่า แม่ชีนั้นอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของมหาเถรสมาคมนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้บุคคลหลายๆ กลุ่มจะมองว่า แม่ชีมีสถานภาพคล้ายคลึงกับนักบวช แต่หากพิจารณาในของพุทธบริษัท 4 อันประกอบไปด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา หลายคนอาจจะรู้สึกงงได้ว่า สรุปแล้วแม่ชีนั้น จัดอยู่ตรงกลุ่มไหนกันแน่ ซึ่งในเรื่องนี้ สยาม ราชวัตร อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็กล่าวว่า จริงๆ แล้วแม่ชีก็คืออุบาสิกาประเภทหนึ่งนั้นเอง แต่เป็นกลุ่มที่เคร่งครัดมากกว่าปกติ จึงมีการกำหนดสถานภาพใหม่ขึ้นมารองรับให้ชัดเจนมากขึ้น
“การบวชชีทำให้ผู้หญิงมองเห็นโอกาสในการมีตัวตนด้านศาสนามากขึ้น จากเดิมที่ไม่มีเลย แต่การเป็นชีนั้น จะเด่นชัดมากขึ้น คือสนใจธรรมมะจนไม่อยากอยู่บ้านแล้ว อยากมาอยู่วัดการเป็นชีก็จะทำให้มีสถานะที่ชัดเจน”
จากเหตุผลดังกล่าว จึงเปรียบเสมือนประตูสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงไทยที่มีความศรัทธาและเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาต่างเข้ามารับศีล 8 หรือศีล 10 เพื่อเป็นแม่ชี จนปัจจุบันมีแม่ชีในประเทศมากกว่า 10,000 ชีวิตแล้ว
แม่ชีกับไสยศาสตร์
การเข้ามาบวชของผู้หญิงจำนวนมาก อาจจะดูไม่ใช่เรื่องแปลกนักเมื่อเทียบกับผู้ชายที่นิยมบวชพระ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า กรณีของผู้ชายนั้นถือเป็นภาคบังคับเหมือนกัน ด้วยคตินิยมความเชื่อแบบโบราณ
ซึ่งเหตุผลก็มีหลากหลาย ตั้งแต่บวชเพราะศรัทธา บวชเพราะเป็นทุกข์ บวชเพราะอกหัก บวชเพราะแก้บน รวมไปถึงบวชเพราะแฟชั่น แถมพฤติกรรมการบวชก็มีหลากหลาย ตั้งแต่การบวชเป็นชีจริงๆ โกนคิ้ว โกนผม หรือแม้แต่การบวชเป็นชีพราหมณ์ ซึ่งในมุมมองของแม่ชีประทินแล้ว นี่ไม่ใช่ชี แต่ถือเป็นผู้รักษาศีลเท่านั้น
แต่ในมุมกลับกัน ก็ต้องไม่ลืมว่า ด้วยสถานภาพที่คล้ายคลึงระหว่างพระภิกษุกับแม่ชี ก็ย่อมส่งผลต่ออิทธิพลความเชื่อของประชาชนที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเช่นกัน โดยเฉพาะความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องไสยศาสตร์ ซึ่งต้องถือว่า มีปลอมปนอยู่ในมากในพระพุทธศาสนา เช่น การที่พระผู้ใหญ่หลายๆ รูปก็มีชื่อเสียงในการดูดวงให้โชคให้ลาภ
เมื่อสภาพสังคมแวดล้อมเป็นเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ลุกลามไปถึง บุคคลอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างเช่นแม่ชี ดังนั้น หากวันใดเกิดมีแม่ชีคนหนึ่งต้องการเปิดประเด็นนี้ขึ้นมาว่า ตัวเองมีความสามารถพิเศษหรือมีอภินิหารก็สามารถทำได้ โดยมีประชาชนที่พร้อมจะเชื่อและศรัทธา
“ชีที่ปลงผมนั้น มั่นใจแล้วว่าจะอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา มีความชัดเจนและสถานะที่แตกต่างไป ซึ่งคนก็จะเชื่อและศรัทธา แต่การแม่ชีจะมีอิทธิพลต่อคนแค่ไหน ผมว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ถ้าเขาดัง เขามีชื่อเสียงมันก็มีผลแน่ แต่กับคนระดับไหนล่ะ ถ้าเป็นระดับปัญญาชนก็อาจจะไม่มีผล ส่วนเรื่องที่ชีเข้าไปเกี่ยวข้องกับทางไสยศาสตร์นั้น ผมว่าเป็นเพราะคนทั่วไปที่ต้องการที่พึ่งทางใจก็จะมีผลอย่างมาก แต่ทั้งนี้เราต้องดูกันที่เจตนาว่าเป็นอย่างไร ถ้าเจตนาดีแต่วิธีการไม่เหมาะสมก็ต้องแก้ไขวิธีการ อย่างเรื่องการแก้กรรม ในทางพุทธถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ ซึ่งเราก็คงต้องดูลึกไปในเจตนาว่าเป็นอุบายหรือไม่” อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กล่าว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ภาพที่ไม่เหมาะสมอของแม่ชีบางคน ก็ย่อมมีอิทธิพลต่อการฉุดรั้งความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อสถาบันหลักแห่งนี้เช่นกัน อย่างเช่น วัชรพงษ์ ชัยอาชาวงษ์ พนักงานเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ยอมรับหมดศรัทธากับศาสนาไปมากพอสมควรหลังจากที่เห็นคลิปของแม่ชีที่เป็นข่าวอยู่ในตอนนี้
“แต่เท่าที่ดูคลิปที่เป็นข่าวมันทำให้คำว่าแม่ชีหมดความศรัทธาไปเลย ผมว่าถ้าผู้อ้างตนมีบุญญาธิการทั้งหลายแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อสาธารณะ ก็สมควรโดนรุมประณาม หรือลงโทษให้เด็ดขาด”
‘ชั่วถี่ดีห่าง’ บทลงโทษแม่ชีนอกลู่นอกทาง
เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นมา คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วอย่างนี้ไม่มีกระบวนการควบคุมหรืออย่างไร แน่นอน หากเป็นประเด็นทางด้านกฎหมาย สยามบอกว่า เรื่องนี้ถือเป็นช่องโหว่สำคัญ เพราะสถานภาพของแม่ชีนั้น แม้สังคมจะยอมรับ แต่ไม่กฎหมายระบุไว้ ดังนั้น ถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็อาจจะไม่สามารถใช้วินัยของนักบวชเอาผิดได้โดยตรง
เช่นเดียวกับเรื่องการบริหารจัดการ ซึ่งต้องยอมรับว่าไม่เป็นเอกภาพมากๆ
เนื่องจากถึงจะมีองค์กรกลางอย่างสถาบันแม่ชีไทยก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติก็ไม่สามารถควบคุมได้หมด เพราะข้อกฎหมายไม่สามารถทำได้ จะทำได้เฉพาะแม่ชีที่อยู่ในสังกัด ซึ่งจะต้องปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน เช่นห้ามดูดวง หรือห้ามเรี่ยไรทรัพย์สินของญาติโยมเป็นอันขาด
ในขณะที่แม่ชีซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของวัดในพระพุทธศาสนา ก็จะมีเจ้าอาวาสทำหน้าที่ปกครองและดูแลอยู่ ทางสถาบันฯ ไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวล่วงอำนาจและหน้าที่ได้
“เราไม่มีกฎหมายรับรองที่จะไปทำอะไรได้ คือที่ทำอยู่ก็เพราะสำนึกของความเป็นนักบวชที่ต้องการจะสงเคราะห์แม่ชี ดังนั้นในกรณีที่เป็นข่าว มันก็เลยไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ที่เราจะไปตักเตือนได้ ต้องอยู่ภายในการดูแลของท่านเจ้าอาวาสในวัดนั้น แต่ถ้าเราเห็นก็จะพยายามเตือนหรือบอกเช่นกัน” แม่ชีประทินกล่าว
เพราะฉะนั้น ทางออกที่เป็นรูปธรรม จึงอยู่กับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองว่าจะเข้ามาสร้างความชัดเจนให้เรื่องตรงนี้สักเท่าไหร่ ซึ่งในมุมมองของประธานสถาบันฯ นั้นก็บอกว่า ตอนนี้ไม่ได้คาดหวังเท่าใดนัก
………
แม้แม่ชีจะอยู่คู่กับสังคมไทยมานาน หลายร้อยปี แต่ดูเหมือนว่า ทุกวันนี้หลายคนก็ยังงงๆ อยู่กับบทบาทและสถานภาพของแม่ชีอยู่ดี แต่นั่นคงจะไม่สำคัญเท่ากับวัตถุประสงค์ของการเลือกแนวทางมากกว่า เพราะหากตัดสินใจเลือกจะดำเนินตามแนวทางของพระพุทธศาสนา คือปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว ต่อให้สถานภาพเป็นแบบไหน ก็น่าสรรเสริญ น่ายกย่องอยู่ดี
แต่หากเป็นคนที่นำเรื่องศาสนามาหาประโยชน์ส่วนตนแล้ว ต่อให้มีสถานภาพสูงส่งสักแค่ไหน ก็สมควรประณามและกำจัดให้พ้นไปจากศาสนา เพื่อไม่ให้สถาบันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ต้องมัวหมองอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
>>>>>>>>>>
………
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : วรวิทย์ พานิชนันท์