วัยรุ่นพี่-น้อง นักร้องขวัญใจวัยทีน ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักของใครหลายๆ คน
หน้าตาสไตล์เกาหลีที่กำลังเป็นที่นิยมของสาวๆ ในสมัยนี้ และเป็นเอกลักษณ์ของสองพี่น้องคู่นี้
หากเอ่ยชื่อพี่ ชื่อน้องก็มักจะตามมา กอล์ฟ (พิชญะ นิธิไพศาลกุล) - ไมค์ (พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล) คู่พี่น้องนักร้องดูโอ้แห่งวงการเพลงวัยรุ่นบ้านเราที่มีผลงานคู่กันมากว่า 6 ปี
หลังจากแยกตัวจากกันมาทำอัลบั้มของใครมัน พี่น้องคู่นี้ก็ต้องฉายเดี่ยวในการทำทุกอย่างเอง ไม่ต้องมาเป็นแพ็กคู่อีกต่อไป
วันนี้ 'ไมค์' ผู้เป็นน้องได้มาพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตส่วนตัว ของการเป็นนักร้องไอดอลให้แก่วัยรุ่นไทยในขณะนี้ ความกดดัน การเป็นวัยรุ่นที่สูญเสียชีวิตส่วนตัวไป แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมาสำหรับเขาแล้วก็นับว่าคุ้มค่า?
แยกตัวออกมาทำอัลบั้มเดี่ยวเป็นอย่างไรบ้าง
บริหารงานเองทุกอย่าง คุมทีม ดูเรื่องการเงิน เลือกมือเปียโน แรพเปอร์ คอรัส นั่งทำโปรดิวเซอร์ นั่งอัดเพลงเอง ดูเรื่องมาร์เก็ตติ้ง ดูว่าเราวางแผนอย่างไร คอนเซ็ปท์มิวสิควีดีโอ แทบจะทุกอย่างที่ทำเอง แต่บางเรื่องก็ต้องปล่อยเขาทำไป แต่มีส่วนร่วมทุกเรื่อง เข้าใจเลยว่าการเป็นผู้บริหารมันเหนื่อยแค่ไหน และคิดว่าเรายังไม่ถึงเวลาในการเป็นผู้บริหาร
แตกต่างจากเมื่อก่อนไหม
ค่อนข้างเยอะ เพราะตอนเป็นดูโอ้ เราจะเป็นเด็กมาก คือ พอมีคนหนึ่งคอยทำโน้นทำนี่ ดีลโน้นดีลนี้เราก็จะแบบว่า โอเคนั่งเฉยๆ ดีกว่า เรื่อยเปื่อย ชิลไป
แล้วเมื่อก่อนเป็นอย่างไร
ออกไอเดียแล้วแพ้ตลอด ไม่มีใครมาสนใจ ไม่มาถามว่าอะไรยังไง ก็เลยกลายเป็นปมด้อย งั้นเราก็ไม่ต้องออกไอเดีย เรายืนนิ่งๆ เงียบ ไม่ต้องพูด จะได้ไม่มีปัญหา เพราะพูดแล้วเดี๋ยวก็โดนขัดไม่โฟลว์ เลยไม่ต้องพูด เงียบไว้จะได้ไม่มีปัญหา เลยทำให้ตอนทำงานในวงการแรก ๆ กลายเป็นว่าเราออกทีวีแล้วไม่พูด ก็เลยเจอใครๆ ก็เป็นไม่ค่อยพูด งั้นเราไม่พูดดีกว่า
จริงๆ แล้วเป็นคนยังไงล่ะ ไม่ค่อยพูดหรือเปล่า
อืม...จริงๆ เป็นคนพูดน้อย แต่ตลกนะครับ เป็นคนสองบุคลิกครับ เหมือนจะพูดน้อยแต่อยู่ๆ จะไม่พูดก็ไม่พูด เวลาตลกก็ตลกมาก
เป็นคนทำให้คนอื่นตลกหรือเป็นคนเห็นอะไรก็ตลก
ถ้าให้ผมเล่นกับพี่โน้ส อุดม ก็น่าจะเข้ากันดีบนเวที คงจะไปกันได้รอด (หัวเราะ)
จริงเหรอ
ใช่ จริงๆ เราเป็นคนตลกมาก
ไหนลองเล่นให้ดูหน่อยสิ
ต้องเล่นมุกสดน่ะครับ ปกติมุกของเราจะออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว อย่างประชุมกันอย่างซีเรียสนั่งกันอยู่ เครียดมากเลย ทุกคนหน้าเครียด เราก็จะพูดขึ้นว่า เฮ้ย...อย่างนี้ไม่ได้นะ อย่านั่งเงียบแบบนี้ ถ้าทำแบบนี้เรารู้สึกว่ามันเป็นหนูจนมุมว่ะ ทุกคนก็หันมามอง แล้วก็พูดขึ้นว่า หนูจนมุมแปลว่าอะไรว่ะ แล้วทุกคนก็ออกเสียงเป็นเสียงเดียวกันว่า หมาจนตรอก แล้วเราก็แบบมั่นใจว่าสุภาษิตนี้เราพูดถูกนะ เพราะเราเคยได้ยินมา และเป็นบ่อยมากเรื่องสุภาษิต พอพูดผิดทีไรก็เอ๋อทุกที ดูโง่ตลอด
ตั้งใจเล่นมุกหรือเข้าใจผิดจริงๆ
ไม่ได้เล่นมุกครับ คือเข้าใจว่าแบบที่เราเข้าใจนั้นถูกแล้ว งงเป็นไก่ตาตื่นอะไรแบบนี้
แสดงว่าเราจำอะไรผิดๆ มาหรือเปล่า
ใช่ๆ เรามักจะจำอะไรสลับกัน แล้วก็เอามาปนกัน
พอมาเป็นนักร้อง ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปไหม
จำไม่ได้อ่ะ คือสมองเราค่อนข้างจะมีเมมโมรี่ที่เต็ม เราก็เลยลบอะไรบางส่วนออกไป ความจริงแล้วเราไม่มีความทรงจำตอนเด็ก ให้นึกยังไงก็นึกไม่ออก เราเป็นคนแบบนั้นถ้าไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องจำหรือไม่มีประโยชน์กับสมองเราก็ลบได้เลย แล้วพยายามนึกก็นึกไม่ออก เอ๊ะ...ตอนเด็กๆ เป็นยังไง เรานึกออกแต่ภาพที่เราเข้าวงการมาเท่านั้นตอนอายุสิบเอ็ด ซึ่งตอนเด็กมันเลือนลางมาก
ที่เลือนลางนั่นคืออะไร เล่าได้ไหม
อาจจะเป็นครั้งแรกที่เรียนรู้เรื่องการวาดรูป และตอนไปออสเตรเลียครั้งแรกตอนเด็กๆ จำได้พอไปถึงห้องพักก็มีผู้หญิงสามคนแบบว่า ยืนล้อมและพยายามสอนภาษาอังกฤษให้ อย่างอื่นก็นึกไม่ออก
เข้าวงการตอนอายุสิบเอ็ด ชีวิตวัยรุ่นหายไปไหม
ชีวิตวัยรุ่นไม่เคยมีเลย ทิ้งไปนานมาก เข้าวงการตั้งแต่ตอนป.หก ทัศนศึกษาก็ไม่เคยไปกับเพื่อนเขา กลับมาก็ต้องมานั่งร้องไห้ เพราะเห็นรูปทัศนศึกษาของเพื่อนที่ไม่มีรูปเราอยู่ ก็เวลาเพื่อนชวนไปเที่ยวก็บอกว่าไม่ว่างเพราะว่าติดงาน
เราก็เคยมานั่งคิดเหมือนกันนะว่า เสียตรงนั้นไปแล้วมาได้ตรงนี้คุ้มไหม เราทิ้งชีวิตช่วงหนึ่งเราไป และเลือกมาทางนี้ และก็ไม่รู้ว่าเราชอบมันหรือเปล่าตอนแรก แต่ตอนนี้เราก็คิดว่าเราโอเคกับมันรักมัน มันเป็นอะไรที่เปิดกว้างมากและหลากหลาย ซึ่งเราก็ยินดีกับมันมากกับอดีตที่ผ่านมา ได้เจอผู้คนหลากหลาย เพราะถ้าไม่มีเราในวันนี้ก็จะเป็นคนทั่วไปไม่มีอะไร กินข้าว เที่ยว ดูหนังไปวันๆ ไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต
ตอนนี้มีจุดมุ่งหมายในชีวิตอะไรบ้าง
ทำธุรกิจคุณพ่อ ธุรกิจส่วนตัว การเรียน งานเพลง การโกอินเตอร์ ทำมาร์เก็ตติ้งยังไงให้โกอินเตอร์ได้ ทำยังไงให้เป็นที่ยอมรับของเทรนด์เอเชีย แต่บางทีคิดไปก็ เฮ้ย...เด็กอย่างเราจำเป็นต้องมานั่งคิดอะไรเยอะขนาดนี้เหรอ เราอายุยี่สิบเอ็ดปี คนที่โตกว่าเรายังไม่มานั่งคิดแบบนี้เลย แล้วเราก็มานั่งคิดอีกว่า ทำไมเราต้องเหมือนคนอื่น ไม่ใช่แค่ว่าเราเด็กไม่ใช่ว่าเด็กกว่า ต้องโง่กว่า แต่เราเด็กเราก็อาจจะทำงานได้ดีกว่า เก่งกว่าผู้ใหญ่บางคนด้วยซ้ำ
แรกๆ เราไม่ได้ชอบร้องเพลงเหรอ
ใช่ เราก็ตามๆ เขามา แม่บอกให้มาออดิชัน เราก็มา พอผ่านก็สนุกดี บลาๆ ก็ว่าไป พอได้ทำเพลงออกอัลบั้มก็ดีไป ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แต่เมื่อก่อนเรายังเด็กมากและยังไม่ได้ค้นพบตัวเองว่าชอบอะไร เหมือนยังหาเป้าหมายไม่ได้ว่าจะไปไหน จนผ่านไปนานๆ เริ่มมีแรงกดดัน เปรียบเทียบ แรกๆ ก็ยอมแพ้ว่าเราทำไม่ได้เท่าเขา อย่ามากดดันเราเลย
แล้วเราทำอย่างไรต่อตอนนั้น
ตอนนั้นเป็นคนที่ทำอะไรคนเดียว ดูหนังคนเดียว หัวเราะคนเดียว ร้องไห้คนเดียว ไม่ปรึกษาใครทั้งนั้น กลับมาก็นั่งอยู่ในห้องคนเดียวเหมือนกับจะเก็บกด (หัวเราะ) แต่ว่าตอนนี้ต่างกันลิบลับเลย เหมือนกับว่าเราคนนั้นได้ตายไปแล้ว ตอนนี้เป็นคนที่เกิดใหม่ สดใสร่าเริงคุยกับคนได้มากขึ้น แสดงออกความรู้สึก แม้คนแปลกหน้าก็คุยได้หมดเลย คิดบวกมากขึ้น
อยู่คนเดียวแบบนั้นมานานไหม
น่าจะสักหกถึงเจ็ดปี
ค้นพบอะไร
ระหว่างการเดินทางของเราเดินไปเรื่อยๆ ข้างถนนก็มีคนที่ยืนอยู่ อยู่ที่เราจะเลือกว่าจะเข้าหาใคร ที่ผ่านมาเราเลยผ่าน ไม่เลือกไปดูเขา เราเดินไปเรื่อยๆ แต่มาตอนนี้เราเดินผ่านผู้คน และเข้าไปถนนสายอื่นไปดูคนอื่น มันเปลี่ยนให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคนใหม่ เราได้อะไรจากเขา และกลับมาในทางของเรา ก็ได้อะไรจากตรงนั้นเยอะ
เราเปิดตัวเองมากขึ้นหรือเปล่า
ใช่ เป็นผลพลอยได้จากตอนที่เราไป แอลเอ (ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา) ตอนนั้นเราไม่คุยกับใครเท่าไหร่ แต่ไปแอลเอ เราเอาตัวรอดเอง ซักผ้า รีดผ้า ล้างจานทำกับข้าวตื่นเอง ทำอะไรเองทุกอย่าง เลือกซื้อของเอง หนึ่งเดือนกลับมาก็หน้ามือเป็นหลังมือ ทุกคนก็ตกใจกับการเปลี่ยนแปลงของเรา มีคนถามว่าทำไมเราไม่พูด เราก็ไม่ตอบใครเลย เพราะเราไม่รู้จะตอบยังไง เพราะบางครั้งก็มีเรื่องบางเรื่องที่พูดออกสื่อไม่ได้ คนก็เดาไปต่างๆ นาๆ แต่ตอนนี้เราก็พูดแล้วทุกคนก็คงหมดคำถามนี้แล้ว พูดรัวเลย
มีคติในการใช้ชีวิตอะไรบ้าง
หลายอย่าง คิดดีทำดี เวลาเป็นเงินเป็นทอง อย่างถ้าเราจะไปนั่งเล่นที่พารากอนเฉยๆ แบบไม่ทำอะไรผมก็ไม่เอา แต่ถ้าให้ไปเที่ยวแล้วไปฟังเพลง ฝึกเต้นก็เอา ซึ่งเวลาไปเที่ยวเราก็จะต่างกับคนอื่นอย่างหนึ่งก็คือ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เราจะไปซ้อมเต้น รู้สึกว่าเป็นอะไรที่เป็นโอกาสมากในการไปเที่ยว เมื่อเราซ้อมในห้องก็ตามสเต็ป แต่เมื่อไปเที่ยวก็เป็นแบบสไตล์เราตามใจชอบ
ซ้อมเต้นที่ผับยังไง
ก็เต้นเรื่อยๆ มันทำให้เราเต้นแข็งแรงขึ้นนานขึ้น อยู่ไปเถอะตั้งแต่ห้าทุ่มถึงตีสาม เราจะเต้นได้นานขึ้นแค่ไหน เราเอาไปใช้ได้จริงบนเวที อย่างที่ทุกคนเห็น บนเวที เพลงจะดัง มันจะได้ฟิว และถ้าดีเจเปิดเพลงดี เพลงที่เราชอบก็จะดีเต้นได้ดีกว่าเดิม
ไปเที่ยวกับใครบ้าง
บางทีก็ไปคนเดียว เต้นอยู่คนเดียว บางทีเราก็เอาทีมแดนซ์เซอร์ไปด้วย ไปแบตเทิลเต้นกันเลย ไม่จำเป็นว่าต้องไปกินเหล้ากันเพราะว่าเราอยู่กับใครที่เราสนุก แล้วเราก็มีความสุขกับมัน เท่านั้นพอแล้ว
บางครั้งเราไปคนเดียวก็มีนะ อยู่ๆ อยากเต้นขึ้นมา ไม่ได้เต้นนานแล้ว ก็จะอยากเต้น เราเป็นคนฟังเพลงแล้วเมาได้เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลย แต่สนุกมาก เหงื่อออก สติเริ่มควบคุมไม่อยู่เราเต้นได้แบบมีเรื่องราวมีสไตล์ และได้ฟิลลิง
จัดการเวทีสำหรับตัวเองยังไง
เวลาเราไป เราก็พยายามกันคนออกให้ห่างมากที่สุด ยิ่งคนเมาเนี่ยะ เราจะมีโซนของเรา ห้ามนะ อย่านะ ถ้าเมาอย่ามานะ คือจะมีที่ที่เราไปบ่อยๆ เขาก็จะกันให้ เพราะว่าชอบมีปัญหาคนเมามาเจี๊ยวจ๊าวกับเรา
ไปซ้อมเต้นแบบนี้บ่อยไหม
ไม่บ่อย ส่วนใหญไปกับเพื่อนและแดนเซอร์ แต่มีที่ที่ไปประจำอยู่เหมือนกัน เข้าได้เฉพาะดาราหรือโมเดลหรือเปล่าไม่แน่ใจ ถ้าไปเที่ยวแล้วเราจะนอยด์ถ้าเราไม่ได้เต้น หรือว่าถ้าไปในที่ที่คนรู้จักเราเยอะๆ เราจะไม่มีความสุขเลย น่าจะไปไหนมาสักแห่งที่เราไม่ได้เต้น พอไปถึงเราก็นั่งเฉย ไม่ทำอะไรทั้งสิ้นเพราะคนรู้จักเยอะ นั่งสี่ชั่วโมง เราก็นอยด์แล้ว เพราะถ้าหยิบแก้วโค้กหรือน้ำเปล่าขึ้นมา มีคนถ่ายรูปแล้วกลายเป็นว่าเรากินเหล้า ไม่ได้นะ ไอดอลทำไม่ได้ต้องไม่ได้ โอเค...ถ้ามีผู้หญิงมานัวเนียว มาใกล้อาจจะกลายเป็นข่าวได้ เพราะฉะนั้นนั่งเฉยๆ
ใช้ชีวิตลำบากไหม
ลำบาก ยิ่งเป็นทีนไอดอลก็ยิ่งวางตัวลำบาก เพราะสมมติมีคนมีคนขอถ่ายรูปก็ปฏิเสธไม่ได้ เราจะบอกเขาว่าอย่างไรละ ถ้าเขาเอาไปพูดต่อว่าเราเหวี่ยง วีน ยังไงอีกล่ะ ซึ่งเราก็ไม่ได้รังเกียจ เพราะว่าเราหยิ่งนะ แต่เราต้องวางตัวนิดนึง เพราะมันเป็นสถานที่อโคจร โอเคอาจจะไมกินเหล้า แต่พวกที่ตีความไปล่ะจะยังไง พอเจอแบบนี้กลับมาก็นั่งนอยด์ว่าเต้นไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ ไปเที่ยวแบบนี้ไม่เอาแล้วนะ ไม่ไหว ขอไปแบบที่ฝรั่งเที่ยวดีกว่า
ต้องวางตัวหรือระวังตัวอะไรบ้าง
ระวังทุกเรื่องในการใช้ชีวิต ส่วนใหญ่ระวังในผับอาจจะดูเหมือนเมานะ ใครทำอะไรที่สงสัย เราก็จะนิ่งทันที อย่า...คุณอยู่ตรงนั้น อย่ามา มีพวกที่เปรี้ยว อยากโชว์เหนือเพื่อนมาถ่ายรูปกับเรา หลังๆ มาเราต้องมีบอดี้การ์ดนอกเครื่องแบบไปด้วย อย่างล่าสุดเราไปพัทยามา ไปร้านเพื่อน เราก็มีบอดี้การ์ดฝรั่งตัวใหญ่กันให้สองคน เพราะเราบอกเขาว่าไม่สบายใจที่ถูกถ่ายรูปบางมุม เราใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข คือต้องระวังนั่นนี่ ก็จะกลายเป็นว่าเราเป็นคนโรคจิตขี้ระแวง และเราก็ไม่ได้อยากเป็น อีกหน่อยก็กลายเป็นโรคจิตตายไปเลย เพราะจะเดินไปไหนก็ระแวงๆ เราคิดว่าดาราก็คือคน เราก็อยากทำอะไรที่เราต้องการบ้าง
อยากทำอะไรแล้วไม่ได้ทำ
บางครั้งเราอยากไปเที่ยวสวนสนุกเรายังทำไม่ได้เลย เราต้องบินไปต่างประเทศเพื่อเที่ยวสวนสนุก มันก็เหนื่อยในการใช้ชีวิต ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีฟรีในการใช้ชีวิต ดูหนังก็ต้องแอบๆ ถึงแม้ไปเป็นกลุ่มก็ต้องแอบ เพราะจะกลายเป็นข่าวโน้นนี่ ก็เลือกที่จะดูหนังอยู่ที่บ้าน
จะจัดการยังไงกับชีวิตตรงจุดนี้
ในอนาคตเราคิดว่าจะสร้างบ้านแบบสามร้อยล้าน มีลานโบว์ลิ่ง คาราโอเกะ โฮมเธียเตอร์ สระว่ายน้ำใหญ่
ฟิตเนส สปา ผับ ทุกอย่างไม่ว่าอะไรก็ตาม เราไปเห็นบ้านของเพื่อนมา เป็นสิ่งที่เราอยากได้
เราจะทำในตอนนี้ และเก็บเงินให้ได้มากที่สุด อาจจะตายกันไปข้างเพื่อที่จะได้เงินก้อนนี้มาเพื่อสร้างวันเดอร์แลนด์ของเราเอง ชีวิตที่ผมขาดหายไป ผมก็จะเอามาชดเชยตรงนี้แทน ให้เต็มที่ สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุขในโลกของผมเอง
ต้องการพื้นที่ส่วนตัวในการใช้ชีวิตหรือเปล่า
ใช่ แล้วผมก็จะสร้างให้เพื่อนของผมด้วย ในบ้านของผม คงไม่อยู่คนเดียวหรอก น่าเบื่อตายเลย ผมก็จะสร้างเป็นห้องๆ เหมือนเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวในนั้น แล้วก็บอกเพื่อนว่ายกห้องให้ใช้ได้ตามสบาย เพื่อนคนไหนที่ช่วยผมผมก็จะทำแบบนนั้นให้ ซื้อทุกอย่างอำนวยความสะดวกให้เขา ซึ่งในอนาคตผมคิดว่าอยากที่จะรวยระดับนั้น แล้วก็มอบสิ่งที่เขาอยากได้
ตอนนี้ตั้งธงในชีวิตไว้อย่างไร
ในฐานะนักร้อง เราก็อยากเป็นไอดอลที่มีอิทธิพลที่สุดสำหรับวัยรุ่นที่มีความคิด เป็นคนมีความคิดไม่ใช่เป็นคนไม่เอาไหน ไม่ใช่ดาราที่อยู่ในวงการแบบโง่ๆ แต่เป็นคนที่อยู่เป็นและต้องเก่งกว่าคนอื่น เราเสียตรงจุดที่เป็นวัยรุ่นไปแล้ว เราทำยังไงให้อนาคตไปไกลกว่านี้ เราอยากเป็นวัยรุ่นที่รวยที่สุดแบบที่ไม่ต้องพึ่งใคร เริ่มต้นจากศูนย์ มีเงินที่เยอะที่สุด อาจต้องใช้เวลาหน่อย
>>>>>>>>>>
……..
เรื่อง : มาลิลี พรภทัรเมธา
ภาพ : วรวิทย์ พานิชนันท์