จู่ๆ ก็กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อมีข่าวว่า พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย รองคณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ออกมาเปิดเผยเรื่องลึกแต่ไม่ลับว่า วัดพระธรรมกายกำลังมีแผนการใหญ่ด้วยการระดมนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญภาษาบาลีจากประเทศต่างๆ อาทิ ศรีลังกา พม่า ฯลฯ จำนวน 12 คนมาร่วมชำระพระไตรปิฎก หรือเรียกง่ายๆ 'สังคายนา' โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่จะแก้ไขเรื่องไตรลักษณ์ จาก ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ เป็น ‘อนิจจัง ทุกขัง อัตตา’ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางคำสอนของวัด
แม้งานนี้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของวัดพระธรรมกาย จะออกมายอมรับแต่โดยดีว่า มีโครงการเกี่ยวกับพระไตรปิฎกจริง แต่ก็เป็นเพียงการถ่ายภาพดิจิตอลของคัมภีร์ใบลานตามสายจารีตต่างๆ ทั้งไทย ล้านนา ศรีลังกา พม่า ขอม ซึ่งนับวันก็จะผุกร่อนบ้างตามกาลเวลาเพียงเท่านั้น ส่วนเรื่องการแก้ไขคำสอนเรื่องไตรลักษณ์นั้นขอปฏิเสธ เพราะหากไปแก้ไขโดยพลการ ก็จะขัดแย้งกับหลักฐานของพระไตรปิฎกฉบับอื่นๆ ซึ่งรังแต่จะสร้างผลเสียให้เกิดแก่ตัวผู้ทำนั่นเอง
จากกระแสข่าวที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดข้อโต้เถียงเกี่ยวกับสังคายนาพระไตรปิฎกเกิดขึ้นเป็นทิวแถว ไม่ว่าจะเป็นชำระไปทำไม แล้วใครๆ ก็สามารถรับเจ้าภาพได้จริงๆ หรือไม่ รวมไปถึงในยุคที่พระพุทธศาสนาถูกสั่นคลอนด้วยศรัทธารุนแรงเช่นนี้ เวลาเหมาะสมหรือยังที่จะต้องมีการชำระพระไตรปิฎกกันอีกสักรอบ
[1]
หากย้อนกลับไปดูหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จะพบว่าจริงๆ แล้วการสังคายนาพระไตรปิฎก ก็คือการจัดระเบียบและหลักคำสอนของพระพุทธองค์ให้ไว้เป็นหมวดหมู่ สะดวกแก่การจดจำนำไปอ้างอิงนั่นเอง แต่ที่ต้องทำการหลายๆ รอบ ก็เพราะเมื่อระยะเวลาผ่านไป ก็เกิดความขัดแย้งทางความคิดระหว่างสงฆ์ 2 ฝ่าย ซึ่งบางครั้งก็รุนแรงถึงขั้นแตกแยกทะเลาะวิวาท หรือโจมตีกันเองก็มี ดังนั้นเป็นการแก้ไขปัญหา ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็ลงมาเป็นตัวกลาง และนำข้อถกเถียงมาปรึกษาหารือเพื่อได้ข้อสรุปร่วมกัน
โดยการสังคายนาแต่ละครั้ง ก็มักจะส่งผลและบรรทัดฐานตามมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การสังคายนาครั้งแรก ซึ่งทำหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็ก่อให้เกิดการแบ่งพระธรรมวินัยเป็น 3 หมวดใหญ่ คือพระวินัยปิฎก พระสุตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก หรือการสังคายนาใน พ.ศ.100 ก็นำไปสู่การแยกเป็นนิกายหินยานและมหายาน
สำหรับในเมืองไทยเองก็เกิดการสังคายนาขึ้นมาแล้วหลายครั้งด้วยกัน โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2020 ในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกนาถ แห่งเมืองเชียงใหม่ เพราะในช่วงนั้นพระธรรมทินมหาเถระ ซึ่งเปรื่องปราดแตกฉานในพระไตรปิฎก ได้เล็งเห็นพระไตรปิฎกมีอยู่ในเวลานั้น มีข้อคลาดเคลื่อนอยู่มาก เนื่องจากได้ผ่านการคัดลอกมานานแสนนาน จึงคัดเลือกพระสงฆ์ผู้เชี่ยวชาญมาประชุมทำสังคายนา ใช้เวลานาน 1 ปีจึงแล้วเสร็จ
ครั้งพอถึงกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี คณะสงฆ์ก็มีความวุ่นวายอย่างหนัก สืบเนื่องจากเหตุการณ์ในแผ่นดินก่อน รัชกาลที่ 1 จึงมีพระบรมราชโองการให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกอีกครั้ง จารึกข้อความลงบนใบลานด้วยอักษรขอม แต่ครั้งที่สำคัญที่สุด ก็คือในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งโปรดให้มีการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทยเป็นครั้งแรก ในวโรกาสที่ทรงครองราชย์ครบ 25 ปี โดยมีการระดมพระเถระชั้นผู้ใหญ่มาเข้าร่วมมากถึง 110 รูป หมดเงินมากถึง 160,000 บาท และใช้เวลาถึง 6 ปีจึงแล้วเสร็จและให้เรียกว่า 'ฉบับบาลีสยามรัฐ' ซึ่งพระไตรปิฎกฉบับนี้ถือเป็นต้นแบบสำคัญที่ถูกนำมาอ้างเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมพระไตรปิฎกในยุคต่อมา
อย่างไรก็ดี การแก้ไขพระไตรปิฎกครั้งหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ ต้องใช้เวลานานอยู่หลาย และต้องทรัพยากรสูงมาก อย่างคนที่เข้ามาร่วมสังคายนาในเรื่องนี้ได้ต้องเป็นนักปราชญ์ หรือพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งได้รับการยอมรับทางด้านวุฒิภาวะ และสติปัญญาจากคนในแผ่นดินนั้น และยังมีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองรับหน้าที่เป็นผู้อุปถัมภ์ เพื่อที่เวลาแก้ไขมาแล้วจะได้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เช่นแต่ก่อนก็คือ พระเจ้าแผ่นดิน
“การสังคายนาเป็นเรื่องใหญ่ และไม่ทำกันบ่อย หลายร้อยปีถึงทำครั้งหนึ่ง เพราะเนื้อหาในพระไตรปิฎกเยอะมาก บางครั้งใช้เวลานาน 3 เดือน หรือหากเป็นประเด็นใหญ่จริงๆ ก็อาจต้องใช้ถึง 6 เดือน แต่จุดหนึ่งที่สังเกตได้ก็คือ พระพุทธศาสนาสายเถรวาทมีลักษณะเป็นอนุรักษ์นิยม เพราะฉะนั้นเวลาเกิดความคิดที่แตกต่างขึ้นก็มักจะสืบสวนและตีความกลับไปในอดีตว่า ถ้าเป็นยุคพุทธกาล พระพุทธเจ้าจะอธิบายว่าอย่างไร ซึ่งแตกต่างกับมหายานที่จะตีความไปข้างหน้าว่า ถ้าในยุคสมัยอย่างนี้จะสื่อสารกับปรัชญาตะวันตกอย่างไร คำสอนควรจะออกมาในรูปแบบไหน” ดร.ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลกแสดงทัศนะ
[2]
แต่ทว่า เมื่อมองหันไปดูสถานการณ์ในปัจจุบัน ก็จะพบว่า ที่ผ่านมามีความขัดแย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องข้อความในพระไตรปิฎกขึ้นบ่อยครั้ง เช่น กรณีของวัดพระธรรมกายที่มีแนวคิดเรื่องนิพพานที่ผิดแปลกไปจากข้อความดั้งเดิมและกลายเป็นข้อถกเถียงอยู่ในสังคมอยู่พักใหญ่
“ตอนนั้นมีการเถียงกันเยอะมาก ว่านิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา โดยทางฝ่ายวัดพระธรรมกายก็ยกประเด็นว่านิพพานเป็นอัตตาแล้วก็เผยแผ่คำสอนในหมู่สาวก ซึ่งเขาก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่พอเผยแผ่ออกไปแบบนี้ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เช่นพระพรหมคุณาภรณ์ก็ออกมาโต้ด้วยการเขียนหนังสือว่า ‘นิพพานต้องเป็นอนัตตา’ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักไตรลักษณ์ในพระพุทธศาสนา”
แน่นอนว่า หากประเด็นแบบนี้ถูกนำขยายวงกว้างมากๆ ก็อาจจะต้องนำไปตีความกันอีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้ ที่สำคัญในยุคที่ศาสนาเป็นเช่นนี้ ประชาชนจำนวนไม่น้อยก็มองว่า ถึงเวลาที่ต้องชำระพระไตรปิฎกกันอีกสักที เช่น ศรายุทธ ชูพันธุ์ พนักงานฝ่ายไอที โรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่ง
“ผมมองว่าการเปลี่ยนแปลงแก้ไข คือเรื่องที่ดี แต่ติดอยู่แค่คนไทย ชอบยึดติดกับความเชื่อเดิม แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะมันคือพื้นฐานที่อยู่ในตัวมนุษย์มาตั้งแต่โบราณซึ่งเราก็ต้องมองตรงจุดนี้ด้วย แต่ถ้ามีการแก้ไขกันจริงๆ ผมก็อยากให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดในองค์กรพุทธศาสนา ให้มีการคุย หรือตกลงอะไรกันเลย เสร็จแล้วก็ประกาศใช้ ถ้าหากให้มานั่งทำประชาพิจารณ์หรือขอความเห็นจากคนทุกคน จะมีกี่คนที่มีความรู้ หรือสักกี่คนที่เข้าใจจริงๆ”
แต่ก็มีพุทธศาสนิกชนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วย เช่น รัดดาวรรณ จำปาพันธ์ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่มองว่า คำสอนของพระพุทธองค์เป็นจริงแท้ทุกยุคทุกสมัย หากใครปฏิบัติได้ก็เป็นสุข
“คนเราทำไม่ได้ ก็เที่ยวจะไปเปลี่ยนโน้นนี่ตามใจตนเอง เดี๋ยวคนเราจะสูญพันธุ์เหมือนไดโนเสาร์หรอก เพราะชอบปรับอะไรให้เข้าหาตัวเอง แต่ไม่ยอมปรับตัวเองเพื่อสิ่งอื่น”
หรืออย่างนักศึกษาพระ อย่าง พระวินัย สิงคำคา (พระครูอาทรโพธิสาร) แห่งวัดหนองกุงใหญ่ จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งเห็นว่าเรื่องนี้ยังมองไม่เห็นความจำเป็น
“การจะทำการสังคายนาพระไตรปิฎกนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะพระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์ชั้นสูงที่มีความซับซ้อน เหมือนกับกฎหมายในทางโลกจะมาแก้คนเดียวหรือด้วยคนกลุ่มเดียวนี่ไม่ได้หรอก เพราะถ้าแก้โดยคนกลุ่มเดียวก็อาจจะมีความผิดพลาดและทำตามความชอบของตนเอง หลักธรรมคำสั่งสอนก็อาจจะถูกตีความผิดพลาดไปได้”
เพราะฉะนั้นการจะแก้ไขหรือชำระพระไตรปิฎกให้ออกมาสมบูรณ์ จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาในเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งเท่านั้น
[3]
ไม่เพียงแค่ประเด็นในเรื่องความเวลาและคน อีกประเด็นที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก ซึ่งมักจะเกิดทุกครั้ง เวลามีการสังคายนา ก็คือความผิดเพี้ยน ซึ่ง ดร.ทวีวัฒน์ ก็บอกว่าเรื่องนี้ก็เหมือนกับการเขียนพงศาวดารที่ยิ่งเขียนใหม่มากเท่าใด ความน่าเชื่อถือก็ยิ่งลดลงไปเท่านั้น
“ยิ่งตีความไปเท่าใด ความเดิมก็ยิ่งแปลงเปลี่ยนไปเท่านั้น และเราต้องไม่ลืมว่าคนทำส่วนใหญ่ก็เป็นผู้มีอำนาจทางแผ่นดิน ถ้าสมัยนี้ก็น่าจะเป็นรัฐมนตรี ซึ่งลองคิดดูก็ได้ว่าพอฝ่ายการเมืองเป็นเจ้าภาพ เขาก็เชิญแต่นักปราชญ์ในกลุ่มที่สอดคล้องหรือเขายอมรับเข้ามา สุดท้ายก็มันจะเป็นไปตามที่ผู้มีอำนาจต้องการ”
สอดคล้องกับความเห็นของ พระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง ที่มองว่า การสังคายนายุคหลังๆ ผู้ที่เข้าร่วมมักแต่งเติมคำอธิบายของตัวเองหรือที่เรียกว่า อรรถกถาลงไปเพิ่มเติม ทำให้เกิดความผิดเพี้ยนขึ้นมาได้ เพราะแม้แต่พระไตรปิฎกที่ถูกยึดถือในปัจจุบันว่ามีความถูกต้องมากที่สุดอย่าง บาลีสยามรัฐ ก็ยังมีการแทรกอรรถกถาด้วยเช่นกัน
“ในการสังคายนาพระไตรปิฎกแต่ละครั้ง ผู้ที่มีอำนาจในการสังคายนาก็มักแทรกอรรถาธิบายของตนเองลงไป ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจหากใครคิดจะสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นเพื่อจุดมุ่งหมายใดก็ตาม เนื่องจากหากไม่ได้รับการยอมรับก็ย่อมไม่ได้รับการอ้างอิง และหากกลับไปหาคำสอนของศาสดา ปัญหาความคลาดเคลื่อนในพระไตรปิฎกก็จะหมดไป
“อย่างคำว่า ’84,000 พระธรรมขันธ์’ เราไปสแกนในบาลีสยามรัฐทั้งภาษาบาลีและไทยในยุครัชกาลที่ 5 จะไม่เจอคำนี้ แต่ถ้าไปสแกนในฉบับของมหามงกุฏฯ และมหาจุฬาฯ จะเจอ ในฉบับาลีสยามรัฐจะเจอแต่ประเภท ช้าง 84,000 ตัว ม้า 84,000 ตัว จึงเห็นว่าในทุกยุคใครที่มีอำนาจในการสังคายนาพระไตรปิฎก ผู้นั้นก็จะมีการเติมความเห็นลงไปเรื่อยๆ การเติมเกิดขึ้นเพราะไม่ชัดเจนในคำศาสดา จึงอธิบายเพิ่มเติมด้วยความหวังดีทั้งนั้น จนสุดท้ายหาตัวไม่ได้ว่าใครเป็นผู้อรรถกถา”
เพราะฉะนั้นเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ทางออกที่ ดร.ทวีวัฒน์มองว่าน่าจะแก้ไขปัญหาได้เวลาที่เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีก ก็คือปล่อยให้เป็นไป โดยไม่จำเป็นต้องไปสังคายนาพระไตรปิฎก
“ผมว่าเราควรปล่อยให้สำนักต่างๆ ตีความไปนั้นดีแล้ว จะได้เกิดความหลากหลายทางความขึ้น ไม่จำเป็นต้องมาสรุปหรือลงมติว่าคิดอย่างนี้ถึงจะถูก สู้ปล่อยสังคมเป็นผู้ที่ตัดสินน่าจะดีกว่า เพราะสุดท้ายเวลาจะเป็นตัวบอกเองว่า สิ่งไหนที่ถูกต้อง”
>>>>>>>>>>
……..
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK