xs
xsm
sm
md
lg

ปราบความกลัว ด้วยการ “สะกดจิต”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เคยคิดไหมว่าทำไมเราต้องกลัวสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แมลงต่างๆ หรือกลัวที่สูง ที่แคบ ซึ่งแต่ละคนจะมีความกลัวที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่เคยได้รับในวัยเด็ก อาจจะเคยโดนหลอก โดนแกล้ง จนทำให้เกิดเป็นความฝังใจมาจนถึงปัจจุบัน แต่เชื่อไหมว่าความกลัวสามารถแก้ไขได้ด้วยการสะกดจิตตัวเอง หรืออาศัยผู้เชี่ยวชาญช่วยเพียงแค่ครั้งเดียวความกลัวนั้นก็หายไปอย่างถาวร วันนี้ M-Healthy ได้มีโอกาสพูดคุยเกี่ยวกับเรื่อง “การสั่งจิตบำบัด” กับ อ. ดร. บุญเลิศ สายสนิท ผู้เชี่ยวชาญการสั่งจิตบำบัด ซึ่งสามารถแก้ปัญหาสุขภาพจิต และสุขภาพร่างกายอย่างได้ผล และน่าอัศจรรย์

การสั่งจิต (Hypnotism) เป็นศาสตร์ที่ช่วยแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตและกายอย่างได้ผลโดยไม่ต้องใช้ยา และยังช่วยพัฒนาศักยภาพชีวิต การสะกดจิตเป็นเทคนิคว่าด้วยการเข้าถึงของมูลในสมอง ในส่วนที่เรียกว่า "จิตใต้สำนึก" แล้วก็เข้าไปจัดการทำให้ข้อมูลในจิตใต้สำนึกเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น ช่วยแก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในเชิงลบให้เป็นบวก รวมทั้งความคิด และการกระทำ เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมีความสุข และความสำเร็จ

กลัวที่ไหน ใจเราแข็ง
"พลังจิตใต้สำนึก” สามารถสั่งจิตให้ความกลัวหายไปอย่างถาวรได้ โดยวิธีการหาสาเหตุของปัญหา แล้วบำบัดด้วยการใช้คำสั่งจิตเข้าไปล้างจิตใต้สำนึก เพื่อนำมาแก้ปัญหาในปัจจุบัน ซึ่งความกลัวนี้เป็นอาการที่รักษาได้ง่ายที่สุด โดยการใช้คำสั่งจิตเพียงแค่ครั้งเดียวก็ไม่กลับมาเป็นอีก จะเห็นว่าหลายคนมีความกลัวที่แตกต่างกัน ทั้งจากประสบการณ์ถูกแกล้ง ถูกหลอก หรือทำให้ตกใจในวัยเด็ก ตลอดจนความกลัวจากเหตุการณ์ในอดีตที่ส่งผลมาถึงปัจจุบันโดยที่เราไม่รู้ตัว
 

"สำหรับวิธีแก้ปัญหาความกลัวก็จะใช้วิธีสั่งจิต หรือสะกดจิต ให้เขามีสภาวะจิต และกายที่ผ่อนคลาย แล้วเราก็ใช้คำพูดสั่งจิต (ใช้เสียงทุ้ม กังวาล และมีพลัง) พูดล้างความกลัวนั้นให้หมดไปจากจิตใต้สำนึกที่เขาฝังใจจำ หลังจากนั้นเราก็ใส่ข้อมูลของความเข้าใจใหม่ลงไปว่าความกลัวนั้นเป็นความกลัวที่ไร้เหตุผล อย่างเช่น คนที่กลัวแมลงสาป เขาอาจจะเคยเจอแมลงสาปแล้วรู้สึกกลัวตั้งแต่ตอนนั้น แล้วความกลัว ความเกลียดมันก็จะฝังไว้ในจิตใต้สำนึก หรือบางรายโดนคนหลอก เช่นหยิบมาโยนใส่ แล้วตกใจ หลังจากนั้นก็กลัวเลย เราต้องสั่งข้อมูลที่มีความเชื่อมั่นเพื่อให้เขามั่นใจลงไปว่า แมลงสาปมันเป็นสัตว์เล็กที่กลัวเรา คิดให้ชนะ มันเห็นเรามันต้องหนี ไม่ใช่เราหนี เราสามารถใช้เท้าขยี้มันเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าเราต้องการ หรือแค่ไล่มันก็หนีหัวซุกหัวซุน เราไม่ต้องกลัวแมลงสาปเลย
  

อีกอย่างที่หลายคนกลัวคือกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น กลัวผี กลัวความมืด นี่ก็เกิดจากโดนหลอกเหมือนกัน อย่าไปตรงนั้นมันมืด เดี๋ยวผีหลอก หรือดูหนังผี ก็ได้รับประสบการณ์ว่าผีมันน่ากลัว เด็กก็จะฝังใจ และมีความกลัวตั้งแต่ตอนนั้น อย่างการกลัวผี ก็จะสั่งจิตเขาว่า เวลาอยู่คนเดียว หรืออยู่ในที่มืดก็อาจจะมีความกลัวว่าเหมือนจะมีอะไร เวลาจะสั่งจิตก็จะใช้คำพูดให้เขามีความมั่นใจว่า ไม่ว่าจะอยู่คนเดียว หรือความมืดที่ไม่มีใคร ให้คิดว่าในความมืดนั้นมันมีแสงไฟ พอไฟสว่างมันก็ไม่มีอะไร เราอยู่ในความมืดก็เหมือนอยู่ในที่สว่าง มันก็ไม่ต่างกัน เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องกลัวอะไร เราไม่ควรกลัวผีเลย เพราะเราก็มีผีอยู่ในตัว ตอนนี้เรามีทั้งผีและคนอยู่ในกายเรา วันหนึ่งเราตายไปเราก็เป็นผี เราจะไปกลัวทำไม ทุกคนก็มีมันเป็นธรรมชาติ ลองคิดสิ สมมติถ้าเราไปนั่งอยู่บนโลงศพ ผีมันก็ไม่เคยออกมาเลย ป่าช้าเนี่ยถ้าเราเดินผ่านด้วยความกล้า มันก็ไม่มีอะไรเลย แต่ถ้าเรากลัว บางทีแค่ลมพัด เราก็กลัว มันรู้สึกวังเวง อาจจะมีเสียงสัตว์ เสียงกรอกแกรก แต่ไม่มีผีสักตัวออกมารับรองได้"
  

บางคนก็กลัวอะไรแปลกๆ โดยไม่ได้เกิดจากประสบการณ์วัยเด็ก อย่างกลัวที่สูง ที่แคบ อยู่ในลิฟท์ หรือเครื่องบนยังรู้สึกว่าแคบ
  

"เรื่องกลัวความสูง ที่แคบ บางทีเกิดขึ้นได้โดยไม่มีคนหลอก บางทีขึ้นไปมองลงมามันรู้สึกหวิว จะเริ่มรู้สึกกลัวตั้งแต่ตอนนั้น ทำให้ร่างกายอ่อนเปลี้ย เหมือนจะไร้กำลังเลยนะ ต้องมีคนจับ แต่เวลาลงไม่กลัว มันเหมือนมันง่าย วิธีล้างก็คือ ถ้าเป็นบันไดเลื่อน เพียงแต่คุณคิดว่ายืนอยู่บนบันไดเท่านั้น ไม่ต้องก้าวเลย ตัวเครื่องมันก็จะพาให้คุณขึ้นไปสบาย ไม่ควรกลัวอะไรเลย เพราะมันปลอดภัย คนก็ขึ้นมาก ทุกวัน ไม่เคยมีใครตกลงมาจากบันไดเลื่อนเลย เพราะฉะนั้นไม่ควรกลัว และไม่ควรกลัวตลอดไป
 

คนที่กลัวที่สูง ที่แคบ ถ้าจะคิดว่าเป็นเรื่องอดีตชาติหรือ Past Lives มันก็มีทางเป็นไปได้ บางคนลงไปดำน้ำ เหมือนเราลงไปแหวกน้ำ มันรู้สึกแคบมาก หายใจไม่ออก รู้สึกอึดอัด พอมาอยู่ในลิฟท์ที่แคบเหมือนกัน มันก็ทำให้รู้สึกอึดอัด พอเก็บความรู้สึกอึดอัด จิตใต้สำนึกทำหน้าที่ของมันทันที เมื่อรู้สึกตกใจ อึดอัด เกิดเป็นความกลัว เพราะฉะนั้น มันก็เลยฝัง ยิ่งคิดกลัวซ้ำๆ เท่าไหร่ มันก็ยิ่งฝังมาก พอฝังมากมันก็จะคุมไม่ได้เลย"
  

ความกลัวสามารถเปลี่ยนด้วยตนเองได้ ทุกคนมีความกลัวแต่ละเรื่องต่างกัน แต่สามารถล้างความกลัวด้วยตนเองได้โดยไม่รู้ตัว บางคนสามารถเปลี่ยนตัวเองจากประสบการณ์ที่ได้เผชิญ ความกลัวก็หายไป เช่นคนที่ไปปฏิบัติธรรม แล้วไม่เจออะไรอย่างที่คิด จิตใจสงบ มีความเชื่อมั่น พอกลับมาความกลัวก็อาจจะหายไปด้วยตนเอง

จินตภาพ สร้างความสุข
จิตใต้สำนึกทำหน้าที่เป็นเหมือน “ฮาร์ดดิสก์” ที่เก็บข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ตั้งแต่อดีตชาติ คำพูด ความคิด การกระทำ บันทึกไว้ทั้งหมด และชีวิตของเราก็ดำเนินไปตามที่จิตคิด ดังเช่นคำพูดที่ว่า “บุคคลใดคิดเช่นใด ก็จะได้และเป็นเช่นนั้น” ชีวิตของเรามักจะเป็นไปตามจิตที่สร้างภาพขึ้นให้เห็นวิธีดำเนินชีวิต การเรียน การทำงานหรือการทำธุรกิจ ซึ่งจะเป็นไปตามความคิดหรือจินตนาการของเราทั้งสิ้น
  

"คนที่มีความคิดด้านลบเสมอๆ และคิดซ้ำๆ แต่เป็นไปในเชิงลบ เช่นคิดว่า “ฉันเป็นคนมีรูปร่างไม่สวยไม่หล่อเหมือนคนอื่น มีความรู้น้อย ยากจน ไม่มีใครรัก ฉันเป็นคนเลว ฉันเบื่อหน้าคน เบื่อการงาน เบื่อชีวิต….” เมื่อคิดถึงปมด้อยของตนเองอยู่เสมอ ความคิดเหล่านี้ก็จะเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก ความคิดของคุณนั้น ก่อให้เกิดความเป็นจริงกับชีวิตของตนเองได้ โดยที่คุณก็สามารถควบคุมกำกับความคิดได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นควรสร้างจินตนาการและเก็บภาพแห่งจินตนาการของคุณไว้ในลักษณะสร้างสรรค์หรือเป็นเชิงบวกเท่านั้น
  

"จิตสำนึก" ควบคุมทำหน้าที่ของระบบประสาททั้ง 5 คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย "จิตใต้สำนึก" ก็คือรับจากจิตสำนึกที่ได้พบ เห็นจากประสาททั้ง 5 เข้ามาเก็บไว้ เหมือนกับฮาร์ดดิสก์ของคอมพิวเตอร์ คือเก็บหมดเลยทั้งดีและเลว ถูก ผิด จะเก็บปะปนกันไปโดยไม่เลือก สิ่งใดที่เจ้าตัวคิดก็เก็บ ได้ยินคนอื่นพูดก็เก็บ ตนเองพูด กระทำก็เก็บ คนอื่นทำให้เห็น ก็เก็บทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ถ้าเก็บสิ่งที่ไม่ดีมาก เช่นคิดในลบมาก มันก็ดันมาเป็นการกระทำ ทำบ่อยๆ มันก็กลายมาเป็นนิสัย สังเกตว่าพอมันมากลายเป็นนิสัยแล้ว มันขึ้นมาเอง แทบคุมไม่ได้เลย
 

เด็กก็เหมือนกัน ถ้าได้ดู เห็นอะไรร้ายๆ รุน แรง เขาเก็บมากขึ้นๆ วันหนึ่งเขาจะคุมไม่ได้เลย มันเก็บไว้แน่นในจิตใต้สำนึก แต่ถ้าเก็บด้านบวก ในครอบครัวพูดดี สิ่งที่ดีก็จะเก็บไว้ภายในจิตใต้สำนึกของคนในครอบครัว ลูกก็ได้เก็บสิ่งที่ดี ก็จะไม่มีความคิดเลวร้ายอยู่ ถือว่าจิตใต้สำนึกเป็นตัวสำคัญมาก

การสร้าง “จินตภาพ” มีผลต่อร่างกาย จิตใจ และมีผลต่อความสุข ความสำเร็จในชีวิตด้วย จิตเราสามารถพัฒนาไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้มีพลัง ความคิดบวก คิดสร้างสรรค์ คิดพัฒนา รักสุขภาพ รักครอบครัว รักความเจริญ เราใช้ 3 พลังที่สำคัญ หนึ่งคือพลังความคิดที่เป็นบวกว่าต้องสำเร็จ สองคือพลังของจินตนาการว่าสิ่งที่เราคิดต้องไปถึงจุดที่เราต้องการจะได้ แล้วสุดท้ายก็ต้องเชื่อว่าต้องได้ การสร้างศักยภาพของจิตภายใน ให้มีความสำเร็จ ถึงเป้าหมาย ใช้พลังของจิตให้เราตั้งใจ"

พลังจิต บำบัดโรค
การสั่งจิตบำบัด เป็นทางเลือกหนึ่งในการบำบัดรักษาแก้ปัญหาสุขภาพจิตและกาย รวมถึงโรคร้ายอย่างมะเร็งด้วยเช่นกัน ในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน มีวิธีการบำบัดหลายวิธีด้วยกัน เช่น การผ่าตัด การฉายแสง การให้ คีโมบำบัด และการให้ฮอร์โมนเพิ่มภูมิต้านทาน ทางด้านการบำบัดด้วยจิต เราสามารถสั่งให้จิตเราคิด และสั่งให้อวัยวะภายในร่างกายของเราแข็งแรงขึ้นได้
 

"ใช้วิธีการสั่งจิตบำบัด เข้าไปช่วยลดผลกระทบจากการบำบัดรักษาด้วยวิธีอื่นๆ โดยสามารถที่จะช่วยบรรเทา ความเครียด ความวิตกกังวล จิตใจที่เศร้าสลดหดหู่ สิ้นหวัง ตลอดจนความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอันเป็นผลข้างเคียงจากการบำบัดด้วยวิธีฉายแสง หรือให้คีโม โดยอาศัยการสั่งจิตด้วยคำพูด คำพูดที่มีพลังของคลื่นเสียงเข้าไปสู่จิตใต้สำนึกของผู้เป็นมะเร็ง พลังอำนาจของคลื่นคำพูดและพลังของเสียงก็จะเข้าไปช่วยจิตใต้สำนึกเกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาวะของจิตสำนึก ร่างกายและอวัยวะภายใน ให้ปฏิบัติตามได้อย่างมหัศจรรย์
 

แต่สิ่งสำคัญที่ควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนก็คือ การสั่งจิตมิได้บำบัดรักษาโรคมะเร็งโดยตรง แต่การสั่งจิตทำหน้าที่เป็นเพียงเครื่องมือช่วยให้จิตใต้สำนึกของผู้รับคำสั่งจิตด้วยความเชื่อศรัทธาเก็บข้อมูล แล้วนำไปกระทำการต่อจิต ให้ปฏิบัติตามได้โดยปราศจากการบังคับด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเรารู้จักวิธีการหายใจและวิธีผ่อนคลายอย่างถูกต้อง เครื่องมือทั้งสองนี้ สามารถช่วยในการบำบัดโรคร้ายต่างๆ ได้มาก รวมถึงโรคมะเร็ง เพราะการหายใจและการผ่อนคลายจะเข้าไปลดความเครียดของกล้ามเนื้อ ควบคุมความดันโลหิตระบบการย่อยอาหาร จิตและกายที่สงบจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อความคิดในเชิงบวก สามารถควบคุมความคิด ความรู้สึกและอารมณ์ด้านลบ ความวิตกกังวล ความกลัว ความเครียดให้บรรเทาและหายไปได้
 

ความคิดเราสามารถบำบัดตนเองได้ และทำให้เราเป็นโรคได้ พอเราคิดไม่ดี โกรธ เกลียด แค้น ความคิดของเรามันเหมือนบูมเมอแรงมันจะกลับมาหาเรา ดังเช่นคำที่ว่า "ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว" ตัวเราจะสะสมความคิดร้ายเอาไว้ แล้วมันส่งผลต่อร่างกายอย่างไม่รู้ตัว ถ้ารู้ตัวก็สามารถจะควบคุมได้ ถ้าเราอยากให้สุขภาพกายและใจดี อยากให้ชีวิตประสบความสุข ความสำเร็จ ต้องระวังความคิดเป็นอย่างแรก เมื่อเราคิดดี คิดถูก คิดสร้างสรรค์ คิดรักตน รักผู้อื่น พลังของความคิดดีก็จะเข้ามาสู่ตัวเรา ในขณะเดียวกันก็ต้องระวังคำพูดและการกระทำของเรา มันจะเป็นบูมเมอแรงกลับมาหาเรา คิด พูด ทำ ให้เป็นบวก ให้สร้างสรรค์ ชีวิตเราก็จะดี" อาจารย์กล่าวสรุป

ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์

ภาพโดย พลภัทร วรรณดี
 

การสำรวจตรวจสอบการดำเนินชีวิตส่วนตัว
โดย อ. ดร. บุญเลิศ สายสนิท A.M.D., M.H.A., P.M.T., C.Ht

ในการดำเนินชีวิตของเราแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ แต่ละเดือนและแต่ละปี ควรที่จะมีการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองไว้ เพื่อจะช่วยเตือนความจำให้เราได้ทราบว่า วัน เดือนปีที่ผ่านไปนั้นมีอะไรบ้างที่ได้เกิดขึ้นกับเรา โดยจดบันทึกเหตุการณ์ไว้ตลอด จะทำให้เราสามารถปรับปรุงแก้ไข หรือปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิต เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ผิดพลาดได้

สิ่งที่ควรสำรวจตรวจสอบมีดังนี้
1. ประเมินสถานการเงินในปัจจุบันของท่านว่าเป็นอย่างไร
2. สุขภาพทั้งจิตใจและร่างกายของท่านในปัจจุบันเป็นอย่างไร
3. สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัว ภรรยาหรือสามี ลูก และญาติ ๆ ของท่านในปัจจุบันมีความสัมพันธ์กันเป็นอย่างไร
4. ความสัมพันระหว่างท่านกับเพื่อนร่วมงานและคนอื่น ๆ ในปัจจุบันเป็นอย่างไร
5. ท่านมีความคิดและความรู้สึกกับงานที่ทำอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร
6. ท่านมีความรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับสถานการณ์โดยทั่วไปในปัจจุบันของท่าน
7. ท่านใช้ชีวิตอย่างไรกับ การพักผ่อนหย่อนใจ
8. ท่านฝึกปฏิบัติอะไรเกี่ยวกับการออกกำลังกาย
9. ท่านทำกิจกรรมอะไรไปบ้างที่ทำให้ท่านได้รับเกียรติ รางวัล แก่ชีวิตของท่าน
10. จงเขียนเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับ ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ และพฤติกรรมของท่านที่มีอยู่ในปัจจุบันโดยทั่ว ๆ ไปออกมาให้มากได้เท่าที่จะมากได้
11. ท่านมีเป้าหมายของชีวิตว่าท่านต้องการอะไร
12. ท่านต้องการให้ชีวิตของท่านประสบความสำเร็จในเรื่องใดบ้าง ตามลำดับ...
"ผมขอแนะนำว่า จงใช้เวลาเขียนออกมา จากความรู้จักตนเองว่า ตนอยู่ในสถานภาพของชีวิตปัจจุบันอย่างไร และต้องการที่จะมีสถานภาพของชีวิตอย่างไรในอนาคต"






กำลังโหลดความคิดเห็น