xs
xsm
sm
md
lg

ปฏิวัติความงาม ‘สวย’ ชั่วพริบตา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ยอมรับกันทั่วไปแล้วว่า การมีรูปร่างหน้าตาที่ดีกลายเป็นส่วนผสมสำคัญของการใช้ชีวิต โดยเฉพาะความสำเร็จในอาชีพการงาน ถ้าหน้าตาดีก็เรียกว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง

สำทับด้วยกระแสศัลยกรรมจากประเทศเกาหลีที่ดูจะมองเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาเสียยิ่งกว่าเมืองไทย นักธุรกิจหัวใสจึงนำเข้าเทคโนโลยีเข้ามาสนองความอยากสวย อยากหล่อของคนไทย เป็นที่เอิกเกริกและสร้างกำรี้กำไร

ธุรกิจความงามเบ่งบาน บรรดาคลินิกความงามรุ่นใหม่ๆ ก็ต้องปรับลุคให้ดูทันสมัย ไฟสว่าง สอดคล้องกับรูปแบบชีวิตคนเมืองที่เน้นความมีสไตล์ ขณะที่ ‘คลินิกรักษาโรคผิวหนัง’ ดั้งเดิมก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอด จาก ‘รักษาโรค’ ก็ต้องเปลี่ยนเป็น ‘ความงาม’ กับเขาด้วย

ราคาของความงาม

ปี 2553 มูลค่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมตกแต่งผิวพรรณและความงา,เติบโตขึ้น 17-18 เปอร์เซ็นต์ ตีเป็นตัวเงินประมาณ 11,000 ล้านบาท

ข่าวการเปิดตัวของธุรกิจความงามเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ระบุตัวเลขว่า

‘...คาดว่าปีนี้0tโต 17-18 เปอร์เซ็นต์ จากการที่มีกลุ่มคนอายุ 18-25 ปี ใช้จ่ายเกี่ยวกับศัลยกรรมตกแต่งและดูแลผิวพรรณขยายตัว 100 เปอร์เซ็นต์

‘...ในปีที่ผ่านมาตลาดกลุ่มนักศึกษาและวัยทำงานมีพฤติกรรมการใช้จ่ายการดูแลผิวพรรณและความงามมากถึง 70% ขณะที่การทำศัลยกรรมตกแต่งราว 30% เนื่องจากวัยรุ่นต้องการมีหน้าใส ขณะเดียวกัน ลูกค้าดังกล่าวก็เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพที่จะหันมาสนใจทำศัลยกรรมในอนาคต’ (ASTV ผู้จัดการรายวัน วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2554)

เมื่อตัวเลขเย้ายวน การแข่งขันในตลาดนี้จึงดุเดือด คลินิกหลายแห่งที่เปิดใหม่ต่างต้องพยายามหาจุดแข็งขึ้นมานำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี นวัตกรรม รวมถึงการใช้ดารา นักร้อง หรือบุคคลมีชื่อเสียงมาการันตี คลินิกบางแห่งประสบความสำเร็จถึงขั้นสามารถขยายสาขาไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้

ปัจจัยที่ก่อปรากฏการณ์นี้ขึ้น คงหนีไม่พ้นค่านิยมที่ถูกผลิตสร้างขึ้นจากนักการตลาด ละครทีวี และตัวอย่างจริงของดารา นักร้อง ที่สามารถรูปร่างหน้าตาไต่บันไดความดัง

จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมทุกวันนี้เป็นสิวเม็ดเดียวก็ต้องไปหาหมอถึงเกิดขึ้น เพราะทุกวันนี้นอกจากประชาชนมีโอกาสเข้าถึงการรักษาง่ายขึ้น การโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็ยังรุกหนักกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

ภาพลักษณ์ที่แปรเปลี่ยนไปจากอดีต อย่างน้อยคำว่า ‘คลินิกรักษาโรคผิวหนัง’ ก็เหมือนแทบจะตายจากไปแล้วจากสังคมไทย แต่สิ่งที่ดูขัดแย้งก็คือ ‘ความไม่สวย’ กลับจะเป็นโรคภัยที่ต้องเร่งรักษา

จาก ‘รักษาโรค’ สู่ ‘ทำให้สวย’

รศ.นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย มองธุรกิจการดูแลผิวพรรณในปัจจุบันว่า แตกต่างจากเดิมมาก

"การรักษาผิวหน้าสมัยก่อน จะมุ่งในประเด็นของความเป็นโรค เช่น อาการแพ้ ที่สำคัญคนไข้เองก็ไม่ได้มีความตื่นตัวในเรื่องนี้เท่าไหร่ ไม่ถือเป็นแฟชั่นที่ต้องทำตามกัน อย่างเรื่องผิวขาว ไม่มีหรอกว่าต้องผิวขาวใส แต่ปัจจุบันพอมีเรื่องค่านิยมมันก็เปลี่ยนไป ซึ่งผมไม่ได้มองว่าเป็นข้อเสีย เพราะการรักษาผิวหนังก็มีการรักษาที่เป็นโรคและมีการทำให้สภาพผิวมันดีขึ้น ซึ่งถือเป็นการป้องกันโรคแบบหนึ่งก็ว่าได้"

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้คลินิกรุ่นเก่าต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดไม่ว่าจะเป็น ดร.สมชาย, ดร.มนตรี, พรเกษมคลินิก เป็นต้น ดร.สมชาย เรืองวัฒนสุข ผู้ก่อตั้งคลินิก ดร.สมชาย และเจ้าของผลิตภัณฑ์รักษาผิวแบรนด์ 'ดร.สมชาย' มานานเกือบ 50 ปี เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงของคลินิกรักษาผิวว่า

“คลินิกเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปเยอะ ดูจากสาวๆ ว่าวันนี้แต่งตัวยังไง เมื่อก่อนแต่งยังไง มันก็ต้องเปลี่ยนไปตามสมัยค่านิยม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับปัจจัย เมื่อปัจจัยมีมากขึ้น ใครๆ ก็อยากหล่ออยากสวยเป็นธรรมดา ยกตัวอย่างเช่น รอยเหี่ยวย่น เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องไปผ่าตัดนะ เราก็จะมีสารเคมีตัวหนึ่ง ฉีดปุ๊บสวยขึ้นทันที และอยู่ได้หนึ่งปีเลย

“โลกมันเจริญมากขึ้น ความรู้เปิดกว้างมากขึ้น ขยายการพัฒนาให้มันสะดวกขึ้น เมื่อก่อนเมื่อเป็นสิวก็มียากิน ยาทาเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้มีเครื่องมือ ทำไอออนโต ฉายแสงบ้างอะไรบ้าง”

แต่ความสวยไม่ใช่สิ่งเดียวที่ลูกค้ายุคนี้ต้องการ แต่ต้องสวยอย่าง ‘รวดเร็ว’ ด้วย

การรักษา 2 เจเนอเรชัน

“เริ่มไปหาหมอรักษาสิวตอนเรียน ม.3 ก็สัก 15-16 ปีมาแล้ว ตอนนั้นไปตามคลินิกแถวๆ บ้าน (จังหวัดแพร่) ไปหาทีหนึ่งก็มีค่าใช้จ่ายครั้งแรกประมาณสองร้อยถึงร้อยบาท ครั้งต่อไปก็ไม่แพงเท่านี้แต่ก็ไม่ได้เจอหมอสักเท่าไร ก็ได้ยาปฏิชีวนะกับยาทาที่เป็นน้ำคล้ายๆ กับยาฆ่าเชื้อ”

ปิยตา เผ่าเต๊ะใจ สาวผู้มีประสบการณ์การหาหมอสิวมาอย่างโชกโชน เล่าจุดเริ่มต้นบนเส้นทางสายนี้ให้เราฟัง

“ต่อมาพอย้ายมาเรียนมหาวิทยาลัย ก็เปลี่ยนมาหาหมอมวลชน ก็ใช้บริการหลายปีเหมือนกัน ค่าใช้จ่ายก็แพงขึ้นมาหน่อย ครั้งแรกก็พันนิดๆ แล้วต่อมาก็ถูกลงเหมือนที่อื่นๆ ที่นี่จะมีบริการกดสิว ดูดสิวให้ด้วย เราไปหาประมาณเดือนละครั้ง บางทีก็มีการลบรอยให้ด้วย จากนั้นเราก็เปลี่ยนมาที่แพน เพราะว่าเพื่อนๆ บอกว่าดี ที่แพนนี่จะแพงขึ้นมาอีกนิดสตาร์ทเกือบ 2 พัน หลังจากนั้นก็ห้าร้อยถึงหกร้อยบาท แต่ตอนหลังก็รู้ว่าจะที่ไหนก็รักษาได้ไม่หายขาดเหมือนกัน มันอยู่ที่การดูแลตัวเองของเราด้วย ตอนหลังเราหาหมอมาจนรู้แล้วว่าใช้ยาอะไรบ้าง เราก็หาซื้อมาใช้เองโดยไม่ต้องมาหาหมอ”

นั่นคือยุคก่อน ส่วนนี้เป็นยังไง ไปฟังปากคำของ เคที (นามสมมติ) ที่เป็นสิวจากอาการแพ้ เธอเล่ากระบวนการรักษาครั้งแรกว่า เริ่มจากคุณหมอวิเคราะห์สภาพผิวหน้า แล้วแต้มยาในบริเวณที่เป็นสิว จากนั้นจะส่งตัวเข้าห้องพยาบาลไปทำการกดสิว จ่ายยาทั้งยากิน ยาทา และนัดมาพบอีกประมาณ 1 สัปดาห์ถัดไป

“สัปดาห์ที่สอง คุณหมอจะตรวจดูสภาพผิว แล้วแนะนำให้ใช้วิธีการรักษาด้วยการยิงเลเซอร์ เพื่อลดการอักเสบของสิวและเร่งให้หายเร็วยิ่งขึ้น กระบวนการนี้จะเริ่มจากทำความสะอาดใบหน้า ถ่ายรูปหน้าตอนนั้นไว้เพื่อเปรียบเทียบในครั้งถัดไป จากนั้นทายาชาบนใบหน้าและให้ทานยาแก้ปวดสองเม็ด และเข้าห้องพยาบาลเพื่อยิงเลเซอร์บนใบหน้า ซึ่งจะรู้สึกอักเสบ และจะบวมแดงไประยะหนึ่ง”

จากนั้นคุณหมอก็ให้ยาเช่นเดิม และนัดมายิงเลเซอร์ครั้งถัดไปอีกเดือนหนึ่ง พอใบหน้าเริ่มดีขึ้นก็จะทำ AHA เพื่อให้หน้าใส เนียน นุ่ม และก็ให้ครีมทาบำรุงอย่างต่อเนื่อง

จากdkiไปหาเดือนละครั้ง ลดเหลือ 1 สัปดาห์ บวกด้วยเทคโนโลยีอีกมหาศาลที่จะทำให้คุณสวยเร็วขึ้นและแพงขึ้นมาก แต่ก็สามารถดึงดูดลูกค้าได้มากกว่า โดยเฉพาะวัยรุ่นใจร้อน ที่ ดร.สมชาย ก็ยอมรับว่า มีลูกค้าที่เป็นวัยรุ่นมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความต้องการสวยอย่างรวดเร็วก็มีเรื่องให้ต้องระวังอยู่เหมือนกัน

เร็วไม่ว่า แต่ต้องรอบคอบ

สิ่งที่น่าห่วงคือการเติบโตของธุรกิจความงามทำให้เกิดการมุ่งเน้นที่การทำธุรกิจมากกว่าการรักษาหรือความปลอดภัย และเมื่อการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น ผู้ประกอบจำนวนมากจึงเร่งการเติบโตจนลืมใส่ใจคุณภาพและมาตรฐานไปในที่สุด รศ.นพ.นภดล กล่าวว่า

"ปัญหาหนึ่งที่เราพบในหลายๆ ร้าน โดยเฉพาะพวกแฟรนไชส์คือไม่ได้รับการอบรม ที่สำคัญ การรักษาบางอย่างจากต่างประเทศยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าดีจริงหรือไม่ หรือผ่านการตรวจสอบจากองค์การอาหารและยา (อย.) หรือยัง แต่ก็เอามาใช้ก่อนเพื่อดึงลูกค้า เพราะต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้ แต่ละคนมองแต่เรื่องการค้า มากกว่าการรักษาพยาบาลที่ถูกต้องจริงๆ มองแต่ในแง่ผลประโยชน์ จำนวนคนไข้ เรื่องวิธีการที่จะได้มาซึ่งรายรับ โดยไม่คำนึงถึงจริยธรรม หรือการทำงานที่ปลอดภัย ซึ่งเราก็พยายามจะเน้นเรื่องนี้ เนื่องจากมันเป็นผลระยะยาว"

และที่น่าหนักใจมากกว่านั้น คือธุรกิจพวกนี้พยายามลงไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กวัยรุ่นมากขึ้น ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วถือเป็นกลุ่มที่แทบไม่มีความจำเป็นต้องทำเลยด้วยซ้ำ เพราะถือเป็นความเสี่ยง เนื่องจากไม่มีใครรับประกันเรื่องความปลอดภัยได้อย่างเต็มที่

"บางคนพอมีวิธีการใหม่ๆ มาก็จะรีบไปทำเลย ที่ผ่านมาเราก็พยายามบอกตลอดเวลาว่า อย่าเพิ่งรีบร้อน ปรึกษากับคุณหมอก่อน เพราะตามหลักการเราต้องศึกษาข้อมูลก่อน แต่กลับมีการเน้นเรื่องนี้น้อยมาก คือมีข่าวฮือฮามาสักช่วงแล้วก็หายไป สำหรับผมมองว่าการรักษาผิวจริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่เราดูแลเองได้ เป็นเรื่องธรรมชาติของวัยรุ่น ไม่จำเป็นต้องไปใช้ของแพงๆ"

ความอยากสวย อยากงาม คงเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ แต่จะสวยเร็วหรือสวยช้าก็ควรปลอดภัยไว้ก่อน

>>>>>>>>>>>

เรื่อง: ทีมข่าว CLICK
ภาพ: วรวิทย์ พานิชนันท์



กำลังโหลดความคิดเห็น