xs
xsm
sm
md
lg

แผ่นดินไหวทางโน้น สะเทือนถึงคนทางนี้ จากใจชาวญี่ปุ่นในเมืองไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online



เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่นนับเป็นภัยพิบัติครั้งรุนแรงอีกครั้งที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นและกับโลก ซึ่งดูเหมือนจะแรงขึ้นและถี่ขึ้นทุกที

ขณะที่ทั่วโลกกำลังระดมความช่วยเหลือ คนญี่ปุ่นอีกหลายล้านคนที่กระจายอยู่ทั่วโลกก็คงกำลังวิตกกังวลกับเหตุการณ์ในบ้านเกิดตนเอง เช่นกันสำหรับชาวญี่ปุ่นในไทย พวกเขากำลังเป็นห่วงญาติพี่น้องเพื่อนฝูงไม่แพ้กัน

CLICK จึงขอเป็นตัวกลางถ่ายทอดความรู้สึกของพวกเขา ส่งผ่านไปยังบ้านเกิดเมืองนอนที่เขาจากมา รวมถึงความรู้สึกของคนไทยในญี่ปุ่นที่ต้องเผชิญเหตุร้ายในขณะนี้

โด นิชิกูจิ หรือ เคยาส ศิลปินชาวญี่ปุ่น
“ผมเดินทางโดยเครื่องบินมายังประเทศไทยในคืนวันศุกร์เพื่อมาเล่นคอนเสิร์ตที่กรุงเทพฯ ในวันเสาร์ คืนที่มาถึงผมยังไม่รู้ว่าเกิดสึนามิขึ้นที่ญี่ปุ่น ในตอนเช้าวันเสาร์ ผมอ่านหนังสือพิมพ์ในโรงแรม ผมรู้สึกตกใจมากที่มีเหตุการณ์นี้ขึ้น ผมจึงโทรศัพท์กลับไปหาคนที่บ้านเพื่อสอบถามว่าทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่ ก็ปรากฏว่าทุกคนไม่เป็นอะไร เพราะบ้านของผมอยู่ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น”
โด นิชิกูจิ หรือ เคยาส ศิลปินชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทย กล่าวถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อเหตุการณ์สินามิในประเทศบ้านเกิดของตน ซึ่งหลังจากเสร็จคอนเสิร์ตในวันที่ 12-13 มีนาคม นี้แล้ว เขาก็ต้องเดินทางกลับไปยังญี่ปุ่น
“ในคืนวันจันทร์ ผมต้องเดินทางกลับไปยังประเทศญี่ปุ่น แต่คาดว่าน่าจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว สถานการณ์น่าจะดีขึ้น”

ทาดะโทมิ ฮาชิโมโต ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทแปซิฟิค ซันไรส์ โฮลดิ้ง จำกัด
ชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานอยู่ในเมืองไทย 5 ปีแล้ว เช่นเดียวกับชาวญี่ปุ่นทั่วไป ในวัยเด็ก ทาดะโทมิได้รับการฝึกซ้อมเพื่อรับมือเหตุการณ์แผ่นดินไหว เขาแสดงความคิดเห็นสั้นๆ ต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นครั้งนี้แบบไม่กังวลนัก
“บ้านผมอยู่โอซากา ไกลจากที่เกิดแผ่นดินไหวมาก ก็เลยไม่กังวลอะไร โทรศัพท์คุยกัน ญาติพี่น้องทางบ้าน เพื่อนฝูงที่นั่น ทุกคนสบายดี”
เขาทิ้งท้ายว่า โชคดีที่เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดที่โอซากา

อายะ อิโต ชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในเมืองไทยมานานกว่า 5 ปี
เธอยอมรับว่า ช่วงที่ได้ยินข่าวเรื่องนี้ ตกใจมากๆ เพราะทั้งคนในครอบครัว และเพื่อนฝูงนั้นอยู่ที่นั่นกันหมดเลย
"มันน่ากลัวมาก แล้วครอบครัวฉันอยู่ที่เมืองโทโจ ซึ่งได้ข่าวว่าน้ำท่วมหมดเลย น้องชายฉันที่ต้องนั่งรถไฟฟ้า ก็ได้ยินว่ากลับไม่ได้ เพราะรถปิดหมดเลย ฉันก็พยายามส่งเฟซบุ๊กไปเตือน บอกให้ระวังดีๆ แล้วก็โทรศัพท์ไปหาด้วย แมสเสจด้วย อินเทอร์เน็ตด้วย ทุกช่องทางที่ติดต่อได้"
ซึ่งจากการติดต่ออย่างหนัก อายะก็พบว่าทุกคนยังปลอดภัยดีหมดเลย ซึ่งก็ทำให้โล่งใจได้เยอะมาก โดยตอนนี้ เธอกำลังวางแผนจะกลับญี่ปุ่นในสัปดาห์หน้า เพื่อไปดูแลครอบครัว
"ตอนนี้ฉันมาอยู่เมืองไทยคนเดียว พอเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็เลยอยากไปดูแลพ่อ แม่ และครอบครัวให้มากขึ้น ไปเยี่ยมพวกเขา ไปอยู่สักพักหนึ่งแล้วค่อยกลับมาเมืองไทยอีกรอบ"

อายูมิ โอคุมะ เป็นชาวญี่ปุ่นซึ่งมาอาศัยอยู่ในเมืองไทยกว่า 13 ปี
ญาติพี่น้องของเธอทั้งหมดยังอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อเธอได้ทราบข่าวการเกิดขึ้นของสินามิ เธอก็ได้รีบติดต่อกลับไปยังครอบครัวของเธอที่นั่นทันที
“ตอนนี้เรารู้ว่าครอบครัวของเราปลอดภัยแล้ว แต่อายูมิมีเพื่อนที่อยู่ในจังหวัดเซนไดหลายคน ตอนนี้เรายังติดต่อเขาไม่ได้เลย เพราะถนนและการสื่อสารถูกตัดขาดไปหมด แต่เราก็หวังว่าเพื่อนเราและคนอื่นๆ จะปลอดภัย”
ตัวอายูมิเองนั้นเล่าให้เราฟังต่อว่า คนญี่ปุ่นส่วนมากถูกฝึกให้รับมือกับแผ่นดินไหวมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แต่กับเรื่องของสึนามินั้น จะมีแต่คนแถบริมทะเลที่รู้
“พวกเราถูกสอนเรื่องแผ่นดินไหวมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่กับสึนามินี่มันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย คือเรารู้จัก แต่ว่าไม่ค่อยได้เจอสักเท่าไร ตอนรู้ข่าวเราก็ตกใจมากเพราะครั้งนี้เป็นครั้งใหญ่จริงๆ”

มาซา โนบุ ชาวญี่ปุ่นซึ่งมาพำนักอยู่ในเมืองไทยกว่า 20 ปี
ความรู้สึกเป็นห่วงบ้านเกิด ย่อมต้องเกิดขึ้นในใจของทุกคน แม้จะจากบ้านมานานสักแค่ไหน มาซาเล่าว่าตอนแรกไม่ทราบเพราะช่วงที่มีภาพออกมาก็ยังนึกไม่ถึงว่าเกิดเรื่องอะไร กระทั่งมีตัวหนังสือญี่ปุ่นถึงจะเข้าใจเหตุการณ์ว่า มีเหตุแผ่นดินไหวร้ายแรงเกิดขึ้น
"เราไม่เคยประสบเหตุที่ร้ายแรงมากขนาดนี้ พอเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ตกใจเหมือนกัน ยังดีที่ญาติพี่น้องผมเขาไม่อยู่ตรงนั้น เพราะเขาอยู่ที่จังหวัดฟูยามะ เป็นคนละฝั่งกับทะเลแปซิฟิก อาจจะมีสะเทือนเฉยๆ ไม่รุนแรงอะไร ตอนนั้นผมก็โทร.กลับไปหาแม่ที่บ้านเลยนะ ท่านก็บอกไม่เป็นไร แต่เห็นภาพในโทรทัศน์ ก็รู้สึกสยดสยองมาก เพราะแม่เองก็ไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ที่สำคัญบ้านผมก็อยู่ริมทะเลด้วย แม่ก็เพิ่งรู้ว่า สึนามิจะเป็นภัยมหาศาลขนาดไหน ก็เริ่มกลัวเหมือนกัน"
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ มาซาเป็นห่วงมากเป็นพิเศษคือเหตุการณ์ที่เป็นผลพ่วงนอกเหนือไปจากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งหากระเบิดก็จะหนักแน่นอน
"ถ้าไม่มีโรงไฟฟ้าก็จะรู้สึกแค่ภัยธรรมชาติ แต่พอมีโรงไฟฟ้าก็จะมีเรื่องความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งผมว่าที่ผ่านมารัฐบาลญี่ปุ่นก็ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลอย่างจริงจัง เพราะถ้าพวกเขารู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น จะได้หนีไป ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าที่ทำแบบนี้เพื่อปิดบังประชาชนหรืออยากจะควบคุมพฤติกรรมหรืออารมณ์ของประชาชน เพราะรัฐบาลให้ประชาชนหนีแค่ 20 กิโลเมตรเอง คือเขาไม่ให้คำแนะนำแก่ประชาชน ซึ่งตรงนี้ผมว่าไม่ใช่เฉพาะญี่ปุ่นหรอก บางทีอาจจะลุกลามถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นบทเรียนสำคัญของประเทศไทยที่ยังไม่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์"

ศิริเพ็ญ สวนเกิด อดีตนักศึกษาไทยในญี่ปุ่น
“เรามีเพื่อนอยู่ที่ญี่ปุ่นเยอะเหมือนกัน ส่วนมากอยู่ในโตเกียว ซึ่งตอนนี้ก็ยังเกิดแผ่นดินไหวอยู่ เราก็อัปเดตทางอินเทอร์เน็ตกับเพื่อนของเราตลอดเวลา อย่างเมื่อกี้ก็เพิ่งมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นถึง 9 ริกเตอร์ในโตเกียว”
เธอคือคนไทยที่ไปใช้ชีวิตนักศึกษาที่ญี่ปุ่นอยู่นานพอสมควร และเพิ่งกลับมายังประเทศไทยได้ไม่นานนัก กล่าวถึงสถานการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ที่เพื่อนๆ ของเธอที่นั่นอัปเดตข่าวให้เธอทราบนาทีต่อนาที
“ตอนนี้ในโตเกียวทุกคนอยู่บ้านเพื่อระวังเหตุการณ์ มีเพื่อนถ่ายรูปในซูเปอร์มาร์เกตส่งมาให้ดูว่า ตอนนี้ของหมดเกลี้ยงทุกอย่าง เพราะคนญี่ปุ่นต้องตุนอาหารไว้เป็นเสบียงยามฉุกเฉิน
“จริงๆ เหตุการณ์แบบนี้คนญี่ปุ่นค่อนข้างจะเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้วเพราะเขาเจอบ่อย คือเขารู้อยู่แล้วว่าจะมีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ตอนที่เราอยู่ที่โน่นเขาก็มีการคำนวณกันแล้วว่ามันจะเกิดขึ้น ซึ่งเขาคาดว่าจะเป็นปีที่แล้ว แต่มันก็ไม่เกิด มันเลื่อนมาเป็นปีนี้ ซึ่งเป็นตอนที่เรากลับมาแล้ว”
และเมื่อถามเธอว่า ถ้าให้เธอกลับไปอยู่ที่ญี่ปุ่นอีกครั้งเธอจะไปไหม ศิริเพ็ญก็ยืนยันว่าเธอยังอยากไปเจอเพื่อนๆ ของเธออีกครั้ง

กิตติคุณ ล้วนปรีดา นักศึกษาไทยในญี่ปุ่น
เขาเล่าให้ฟังว่า ตอนเกิดเหตุเขากำลังนั่งเครื่องบินกลับมาที่ญี่ปุ่น ระหว่างทางไม่มีประกาศอะไรเลยจากสายการบิน คาดว่าคงกลัวคนจะแตกตื่น แต่ที่น่าแปลกใจคือ เมื่อมาถึงสนามบินคันไซแล้วก็ยังไม่มีการประกาศอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
"ผมมารู้เรื่องตอนที่เปิดมือถือแล้วโทร.หาแฟน แฟนผมก็น้ำเสียงตกใจมาก เขารีบเล่าเรื่องให้ฟัง ผมก็นั่งนึกอยู่ในใจว่า เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ทำไมไม่มีประกาศเลย เพราะตอนนั้นแถบสนามบินคันไซก็อยู่ในที่จุดเสี่ยงสึนามิยักษ์ด้วย แต่ผมก็นั่งรถออกมาได้อย่างปลอดภัยจนถึงบ้าน
"ที่บ้านก็โทร.มาคุยแทบจะตลอดเวลา ส่วนคนที่อาศัยอยู่ในโซนที่ประสบภัยน่าสงสารมาก ผมยืนยันได้เลยว่าไม่เคยเห็นญี่ปุ่นเป็นหนักขนาดนี้ ขนาดอาหารในโตเกียวซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุไกลพอสมควรยังจะหมดเอา ผู้คนซื้อกักตุนกันพอสมควร แต่โซนที่ไม่โดนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ระวังตัวกันไปเรื่อยๆ"
แน่นอนว่า สำหรับตัวเขาเองก็ต้องจัดกระเป๋าเอาไว้ใบหนึ่งเผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน พร้อมกับเงิน พาสปอร์ต เอกสาร ยา ไฟล์งานต่างๆ เสื้อผ้า และอาหารแห้งเอาไว้ ขณะเดียวก็จองตั๋วเครื่องบินเพื่อกลับประเทศไปแล้ว โดยตอนนี้คอยเลื่อนตั๋วไปทีละวัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็รีบไปสนามบินแล้วกลับได้เลย
"ถ้าไม่เกิดเหตุอะไรก็ยกเลิกตั๋วได้ ช่วงนี้ผมต้องดูข่าวตลอด ตอนนอนก็เปิดทิ้งไว้ เพราะถ้าเกิดแผ่นดินไหวทีวีมันจะมีเสียงเตือน อย่างเมื่อคืนนอนเปิดทิ้งเอาไว้ พอมีสัญญาณเตือนทีก็สะดุ้งตื่นมาดูทีว่าเกิดที่ไหน ใกล้บ้านหรือเปล่า แล้วมีอะไรก็คอยส่งข่าวหาเพื่อนๆ คนไทยที่อยู่ที่นี่ด้วยกันตลอดเวลา"

.........

‘สินามิ 2011’

การเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น 8.9 ริกเตอร์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ถูกปรับขนาดเป็น 9.0 ริกเตอร์แล้ว สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้แก่ประเทศญี่ปุ่น สถานที่เกิดเหตุคือในมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากจังหวัดมิยากิ หมู่เกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น 130 กิโลเมตร และห่างจากกรุงโตเกียวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 380 กิโลเมตร แรงสั่นสะเทือนส่งผลกระทบทำให้เกิดคลื่นยักษ์หรือสึนามิสูงกว่า 10 เมตร พัดถล่มบริเวณพื้นที่ชายฝั่งจังหวัดมิยากิได้รับความเสียหายรุนแรงในรอบ 140 ปี ถึงขนาดทำให้เกาะฮอนชูเขยื้อน 8 ฟุต และแกนโลกเคลื่อน 25 เซนติเมตร

หลังจากนั้นเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาไม่ต่ำกว่า 100 ครั้ง ส่งผลให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง

พอถึงวันที่ 12 มีนาคม 2554 อาฟเตอร์ช็อกก็ทำให้เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่โรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ไดอิจิหรือโรงงานหมายเลข 1 อายุเก่าแก่ 40 ปี ของบริษัท โตเกียวอิเล็คทริคเพาเวอร์ (เทปโก้) ในเมืองฟุคุชิมา อยู่ห่างจากกรุงโตเกียวมาทางเหนือ 240 กิโลเมตร ทางการญี่ปุ่นได้อพยพชาวบ้านหนีไกลกว่า 10 กิโลเมตร

เวลาผ่านไป 3 วัน ทางประเทศญี่ปุ่นสรุปยอดผู้เสียชีวิตไว้ที่ 1,000 กว่าคน คาดว่ายอดอาจจะพุ่งสูงกว่านี้ และมีผู้สูญหายอีกกว่า 10,000 คน

ดร.จอห์น เอลเลียต จากศูนย์สังเกตการณ์และจำลองแบบแผ่นดินไหว มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ประเมินคร่าวๆ จากความรุนแรงของแผ่นดินไหวครั้งนี้ไว้ว่า แนวแตกหรือฉีกขาดดังกล่าวนั้นน่าจะมีความยาวประมาณ 500 กิโลเมตร การแตกหรือถล่มของแผ่นเปลือกโลกในเขต 'ซับดักชัน โซน' ทำให้แผ่นเปลือกโลกยูเรเชียถูกหนุนสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน

พลังมหาศาลของมันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญในมวลที่ประกอบขึ้นเป็นโลกใบนี้ ที่ส่งผลให้แกนสมมติของโลกเคลื่อนที่ไปจากเดิมถึง 6 นิ้ว

และเมื่อมันเกิดขึ้นในทะเล พื้นที่ส่วนที่ถูกหนุนสูง จึงหนุนเอาน้ำทะเลที่มวลนับล้านๆ ตันสูงพรวดขึ้นตามไปด้วย เมื่อมวลของน้ำดังกล่าวขึ้นสู่จุดสูงสุดมันจึงเทพรวดลงมาทั้งสองด้าน เพราะฉะนั้นปรากฏการณ์สึนามิที่เกาะฮอนชู เกาะใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดของญี่ปุ่น จึงเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้

>>>>>>>>>>

เรื่อง: ทีมข่าว CLICK









กำลังโหลดความคิดเห็น