xs
xsm
sm
md
lg

ได้เวลาขจัดภาพ...'ส้วมของเขา เราไม่เกี่ยว'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เรื่อง 'ส้วม' ใครว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะหากวันใดเกิดจะต้องไปเผชิญหน้ากับห้องส้วมอันแสนจะสกปรก รับรองได้เลยว่า ดัชนีความสุขที่ควรจะขีดสุด เนื่องจากมีโอกาสระบายความอัดอั้นในท้องไส้ คงถึงคราวต้องตกลงฮวบๆ เป็นแน่แท้ เพราะมีอย่างที่ไหน กะจะนั่งให้สบายอารมณ์กับต้องเจอกับบรรยากาศอันไม่พึงประสงค์ แถมบางทียังน่าสยดสยอง

ไม่เชื่อก็ลองดูข้อมูลจากการประเมินส้วมสาธารณะในประเทศไทย จำนวนเกือบ 7,000 แห่ง เมื่อปี 2552 พบว่ามีส้วมผ่านเกณฑ์เพียง 40.37 เปอร์เซ็นต์ โดยส้วมที่สะอาดสุดคือ ในห้างสรรพสินค้า 88.52 เปอร์เซ็นต์ และสกปรกสุด คือส้วมวัด 11.75 เปอร์เซ็นต์ ส่วนปั๊มน้ำมันก็ถือว่าสอบตกเหมือนกัน เพราะอยู่ที่ 44.07 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

เห็นสถิติอันในใจหายแล้ว กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้ดูแลความสุขขั้นพื้นฐานตัวจริง เลยตัดสินใจงัดมาตรการเด็ด... ด้วยการขายไอเดียสุดหรู มอบป้าย 'ส้วมสะอาด...ชาติเจริญ' แก่ส้วมที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน HAS (Health Accessibility and Safety - สะอาด เพียงพอ ปลอดภัย)

แต่ทว่า แม้มาตรการนี้จะเด็ดขาดสักแค่ไหน แต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันง่ายๆ สักหน่อย ไม่อย่างนั้นประเทศไทยคงไม่มีปัญหาเรื่องส้วมๆ มาให้หนักหัวเช่นนี้
งานนี้ก็เลยขอพิสูจน์กลิ่นของส้วมสาธารณะไทยกันดีกว่าว่า รอบนี้จะมีโอกาสติดดาวพาชาติจะเจริญสมกับความตั้งใจว่าหรือเปล่า

เรื่องของส้วมๆ ในเมืองไทย

หากจะว่าไปแล้ว จริงๆ เรื่องส้วมสาธารณะกับชาวบ้านในเมืองไทยนั้นเป็นของคู่กันมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว

ได้ยินอย่างนี้อย่าเพิ่งแปลกใจไป หรือคิดว่าไปไกลว่า หลวงเขาจะลงทุนสร้างส้วมให้ชาวบ้าน เพราะที่กล่าวถึงนี้ ก็คือ 'ทุ่งนา' และ 'หนองน้ำ' อันแสนกว้างขวางของแผ่นดินสยามนี่แหละ

โดยคำอธิบายที่สะท้อนภาพได้ชัดสุดๆ ก็คือบทสัมภาษณ์ของ มนฤทัย ไชยวิเศษ อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เจ้าของวิทยานิพนธ์เรื่อง 'ส้วม และเครื่องสุขภัณฑ์ในประเทศไทย' ที่ปรากฏในนิตยสารสารคดี ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2549 ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า

“...เมื่อใดที่ชาวชุมชนบ้านป่าปวดท้องถ่าย พวกเขาก็เดินไปหาที่เหมาะๆ ในป่าเพื่อปลดทุกข์ (ต้องระวังสัตว์ป่าทำร้าย) ขณะชาวบ้านทุ่งก็ต้องเลือกป่าละเมาะหรือพุ่มไม้ในบริเวณเรือกสวนไร่นาของหมู่บ้าน (ถือไม้ไปคอยไล่หมูไม่ให้เข้ามากวน) ส่วนชาวชุมชนที่อยู่ใกล้น้ำก็อาศัยขับถ่ายบริเวณท่าน้ำหรือริมน้ำโดยสะดวก เพราะสามารถใช้น้ำชำระได้เลย...

“...คนสมัยก่อนซึ่งอยู่ในสังคมเกษตรกรรม เวลาจะไปขับถ่าย เขาบอกว่า ไปทุ่ง ไปท่า คนที่ไปทุ่ง ขับถ่ายของเสียแล้วจะมีหมูหมามาจัดการให้ หรือปล่อยให้ย่อยสลายไปเอง ส่วนคนที่ไปท่า ของเสียก็จะมีปลามาตอดกิน สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านในสังคมเดิมที่เรียบง่ายและกลมกลืนไปกับวงจรธรรมชาติ แล้วขณะเขาไปทุ่ง ไปท่า ก็อาจมองหาผัก ผลไม้ หรือของกินอื่นกลับมาทำเป็นอาหารได้อีกด้วย แต่ว่าพอสภาพสังคมเปลี่ยน เริ่มกลายเป็นสังคมเมือง พฤติกรรมแบบ ไปทุ่ง ไปท่า มันใช้ไม่ได้อีก”

แน่นอน เมื่อพฤติกรรมในอดีตเป็นเช่นนี้ จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโอกาสสูงมากๆ ที่เรื่องจะถูกถ่ายทอดต่อคนรุ่นหลัง โดยเฉพาะความคิดประเภทที่ว่า 'ส้วมของเขา เราไม่เกี่ยว' หรือ 'ปล่อยไปเถอะ เดี๋ยวก็มีคนจัดการให้' เพราะฉะนั้นความรู้สึกที่ต้องรับผิดชอบร่วมบางครั้งก็เลยไม่เกิด

ดังเช่นคำอธิบายของ อนุพงษ์ ชอรัมย์ ผู้จัดการสถานีจ่ายน้ำมัน ปตท. สาขาสระบุรี ที่กล่าวให้ฟังว่า เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วที่จะต้องมีพวกมือบอนเข้ามารุกรานพื้นที่ผนังในห้องน้ำของปั๊ม ซึ่งเขาก็ยอมรับว่าทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำความสะอาดกันไป

เช่นเดียวกับ ธาตรี แสงมีอานุภาพ ช่างภาพที่เคยตระเวนถ่ายรูปทำสกู๊ปเรื่องส้วม ก็เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า ส้วมสาธารณะเกือบทุกที่แทบไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร คือบางที่ก็มีแต่คนเก็บเงินค่าเข้า แต่ไม่มีคนล้างหรือดูแล

“ผมว่าพวกจุดพักรถของรถทัวร์ มันมีคนมาใช้ห้องน้ำมาก เลยทำให้มันสกปรกมาก แล้วไม่มีใครจะมาทำความสะอาด คือเรื่องความสกปรกนั้น แม้บางที่จะไม่สกปรกจนถึงขั้นรับไม่ได้ แต่ก็ต้องบอกว่ามันทำให้รู้สึกว่า ไม่น่านั่ง เพราะมันดูไม่มีสุขอนามัยที่ดี คงอาจจะเป็นเพราะเป็นของสาธารณะ ซึ่งมีคนมาใช้ร่วมกันที่ทำให้มันเป็นแบบนี้”

ถึงเวลาเปลี่ยนวิกฤตส้วมไทย

เมื่อความชอกช้ำในเรื่องส้วมมาถึงขีดสุด การจะมาบ่นกันเองถึงมาตรฐานส้วมจึงดูจะไร้ประโยชน์ เพราะถึงยังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ก็เลยต้องวกกลับมากระทรวงสาธารณสุขกันบ้างว่าจะทำอย่างไรบ้าง

ซึ่งหากนับย้อนประวัติศาสตร์ ที่โดดเด่นสุดก็คงต้องยกให้ไอเดียของอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชวรัตน์ ชาญวีรกูล ที่ดึงเลขานุการของตัวเอง วัน อยู่บำรุง มาประกบคู่นางเอกสุดฮอต พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ มารับหน้าที่เป็น ‘ทูตส้วม’ คู่แรกของประเทศไทย เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีพฤติกรรมใช้ส้วมที่ถูกต้อง และมีจิตสำนึกต่อสาธารณะ

แต่สุดท้ายก็ดำเนินการได้ไม่นาน ก็พับโครงการ ดังนั้นการทำงานครั้งนี้จึงถูกจับตาดูไม่น้อยว่าจะได้ผลสักแค่ไหน

“เราทำโครงการเรื่องส้วมกันตั้งแต่ปี 2548 ทำทุกที่ตั้งแต่วัด โรงเรียน สถานอนามัย สถานที่ราชการ ฯลฯ ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่าสถานการณ์อยู่ในขั้นที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมได้มาตรฐานเพียง 9 เปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้ก็เพิ่มมาถึง 45-46 เปอร์เซ็นต์แล้ว โดยเราพยายามสร้างกระแสจิตสำนึกให้เกิดขึ้นกับเจ้าของส้วม และที่สำคัญมันเป็นข้อเรียกร้องจากประชาชนด้วย โดยเฉพาะส้วมตามปั๊มน้ำมัน ซึ่งหลายคนมองว่าสกปรกมาก” พิษณุ แสนประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ฉายภาพสถานการณ์ส้วมสาธารณะในประเทศไทย

แต่อย่างว่า เอาเข้าจริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่หมูเลย เพราะมีเรื่องพฤติกรรมมาเอี่ยวด้วย ดังนั้นสิ่งที่ทำได้เบื้องต้นก็คือ การออกมามาตรการมา 3 ระดับด้วยกัน ได้แก่ กระตุ้น ชักชวน และบังคับ และเท่าที่ผ่านมาก็ทำไป 2 ระดับแล้ว

“เราพยายามสร้างความตระหนักให้คนเข้าสนใจเรื่องส้วม เพราะถือเป็นสิ่งหนึ่งทุกคนควรจะมี แล้วเราก็พยายามยกย่องคนที่ทำความดีเกี่ยวกับส้วม เช่นทำเรื่องสุดยอดส้วม หรือส้วมได้มาตรฐาน”

โดยล่าสุดนี้ กระทรวงสาธารณสุขก็ได้รับมือกับบริษัท อีเอส์อาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด ในการจัดเก็บข้อมูลส้วมปั๊มน้ำมันที่ได้มาตรฐาน HAS ลงในฐานข้อมูล ซึ่งจะปรากฏผลบน GPS Navigator ประมาณเดือนตุลาคมนี้ รวมไปถึงการกำหนดจุดลงหนังสือแผนที่ทางหลวง ปี 2555

ส่วนระยะสุดท้าย ก็คือการออกเป็นกฎกระทรวง ตามพระราชบัญญัติการสาธารณะ ว่าด้วยเรื่องส้วม เพื่อบังคับให้สถานที่สาธารณะต่างๆ ต้องดูแลส้วมให้สะอาด เพราะคำว่าส้วมสาธารณะถึงแม้จะอยู่ในพื้นที่ของเอกชน แต่เมื่อคนเข้าไปใช้ได้ ตัวเจ้าของสถานที่ก็ต้องจัดบริการส้วมไว้ด้วย ซึ่งหากฝ่าฝืน เจ้าพนักงานก็สามารถลงโทษด้วยการสั่งปิดกิจการได้เลย ดังนั้น คนที่จะต้องรับภารกิจหลักสุดในความหมายของพิษณุก็คงหนีไม่พ้นเจ้าของสถานที่นั่นเอง

แต่ทว่าในมุมของเจ้าของส้วมอย่าง อนุพงษ์ กลับมองว่า การดูแลส้วมที่ดีนั้นจำเป็นต้องผสมผสานระหว่างคนใช้กับคนทำความสะอาดด้วย เพราะหากคนใช้มีสำนึกตรงนี้ คนดูแลก็ไม่จำเป็นต้องทำงานเหนื่อยมาก

“เรามีมาตรการด้านความสะอาดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการส่งพนักงานทำความสะอาดประจำส้วมไว้ ทุกจุดและต้องทำความสะอาดอย่างน้อยชั่วโมงละ 1 ครั้ง แต่ถ้าช่วงไหนคนมาใช้บริการแน่น ก็ต้องทำมากกว่านั้น หรืออย่างแม่บ้านเอง นอกจากจะมีอุปกรณ์ทำความสะอาดห้องน้ำแล้ว ยังพกน้ำยาล้างปากกาเคมีเอาไว้ด้วย เพราะคนมือบอนที่ชอบเข้าไปขีดเขียนอะไรในห้องน้ำก็มีอยู่ ถ้าเห็นเราก็ต้องลบออกตลอดเวลาอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังต้องมีจุลินทรีย์ที่ใส่ในบ่อของเสียเพื่อไม่ให้มีกลิ่นด้วย”

มูลค่าเพิ่มแบบส้วมๆ

แม้ภาพของส้วมจะดูเป็นเรื่องที่สกปรก และไม่คุยนำมาพูดถึงบ่อยๆ โดยเฉพาะบนโต๊ะอาหาร แต่หากมองไปอีกแง่มุมแล้ว เรื่องนี้ยังมีผลสืบเนื่องอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในเรื่องการต่อยอดทางเศรษฐกิจ

ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดอย่าง ไชยยศ ปั้นสกุลไชย กรรมการผู้จัดการ หจก.ซีซีแอนด์บี คอนซัลแทนท์ ก็ได้ให้ความเห็นว่า เรื่องส้วมอาจจะดูไม่สำคัญ แต่จริงๆ แล้วถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กรได้เช่นกัน

“เวลาคนใช้ส้วมเสร็จ มันไม่ได้อยู่แค่ชอบหรือไม่ชอบ แต่ยังอยู่ส่งผลไปถึงเรื่องอื่นในสถานที่นั้น เช่น เราไปญี่ปุ่น บางทีกลับมาก็พูดแต่เรื่องส้วมอย่างเดียวเลย มันสะอาดมาก อยากจะพูดต่อบอกต่อ แต่พอไปพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พอเข้าส้วม กลับมาเสียความรู้สึกมาก เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ส่งผลต่อแง่จิตใจมาก ซึ่งอาจเพราะมันเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามาก ใช้กันอยู่ทุกวัน”

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ทุกวันนี้ ผู้ประกอบการหลายๆ แห่งจึงพยายามจะแข่งขันเรื่องนี้มากขึ้น โดยเฉพาะปั๊มน้ำมัน ซึ่งถือเป็นจุดที่คนใช้กันบ่อย เนื่องจากเข้าง่าย และคนก็เดินทางบ่อย หรือแม้แต่ในห้างสรรพสินค้าเอง ก็มีถือว่าปรับตัวสูงมาก เช่นกรณีของห้องน้ำที่ห้างสรรพสินค้าแฟชั่น ไอร์แลนด์ก็ปรับปรุงห้องน้ำของตัวเองให้เหมือนญี่ปุ่น ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือกลายเป็นจุดขายที่สำคัญ เวลาพูดถึงห้างนี้ ก็ต้องนึกถึงห้องน้ำเป็นลำดับแรก

“เคยเข้าไปลองใช้ห้องน้ำที่แฟชั่น ไอร์แลนด์นะ เราลองกดทุกปุ่มเลย คืออยากรู้ว่ามันทำอะไรได้บ้าง สนุกมากเลยกับการกดปุ่ม ทั้งฉีดน้ำ ทั้งเป่า ทั้งอบ ซึ่งมันก็รู้สึกสะอาดนะ อาจจะเป็นเพราะผู้หญิงอย่างเราต้องใช้ทิชชู่เช็ดซ้ำอีกทีแล้ว” แก้ม นักขายสาวผู้เดินทางตลอดเวลาเล่าให้ฟังถึงความประทับใจในการใช้ห้องน้ำ

โดยเธอเล่าให้ฟังต่อว่า สำหรับคนที่ไปใช้ส้วม สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือเรื่องกลิ่น หากกลิ่นดี ไม่เหม็นก็จะสร้างความประทับใจ และการบอกต่อได้ไม่ยาก แต่หากมีกลิ่นรุนแรง ก็จะสร้างภาพลบไปเลย ตัวอย่างเช่นตอนที่เธอเข้าไปรับประทานอาหารฟาสต์ฟูดในห้างแห่งหนึ่ง บางครั้งก็ยังได้กลิ่นปัสสาวะลอยมา จนแทบจะกินไม่ลงเลย
.........

แม้ส้วมสาธารณะจะไม่ใช่สมบัติของใคร แต่เอาเข้าจริงบางทีมันก็อาจจะเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงตัวตนและคุณภาพชีวิตของคนในสังคมได้เหมือนกันว่าเช่นใด อย่างในบางประเทศที่ห้องน้ำสกปรกมาก เรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องตลกและภาพลักษณ์ของประเทศไปเลยก็มี ซึ่งไทยเองแม้จะยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่หากยังปล่อยปัญหาให้ดำเนินต่อไป ก็คงไม่แน่เหมือนกัน

ทว่า ก็มีเรื่องน่าแปลกใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ทำไมบางคนเวลาใช้ห้องน้ำที่บ้าน กลับดูแลรักษาเป็นอย่างดี แต่พอไปใช้ข้างนอกแค่กดน้ำกลับยังทำไม่ได้ บางทีทางออกของเรื่องนี้ก็คงจะเป็นอย่างไชยยศ บอกว่า คนแรกซึ่งเป็นต้นเหตุนั่นแหละที่ต้องจัดการและรับผิดชอบตนเองก่อน เพราะการจะมารอให้คนอื่นทำให้ สุดท้ายก็อาจจะสายเกินไปแล้ว
>>>>>>>>>>
………
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK







กำลังโหลดความคิดเห็น