paulheng_2000@yahoo.com

1. ไซด์ โปรเจคท์ งานดนตรีสนองความอยากที่ซ่อนอยู่ภายใน
โลกนี้ไม่มีใครทำอะไรใหม่อีกแล้วในศตวรรษที่ 21 ความชุลมุนวุ่นวาย ความฉงนฉงาย ความสับสน และร้างไร้ทางออกของโลกยุคเก่า ได้ถูกนำมาต่อยอดด้วยเครื่องมือการสื่อสารแบบใหม่ในไซเบอร์สเปซ พื้นที่สำหรับความงงงวยทางการนำเสนอสิ่งต่างๆ เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เท่าเทียมกัน ไม่ว่ายิ่งใหญ่คับฟ้าหรือเล็กกะจิดริดง่อยเตี้ยติดดิน
ดนตรีและบทเพลงในสังคมดนตรีโลกได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าไปอย่างฉับพลัน แต่เชิงอุตสาหกรรมและธุรกิจดนตรีโลกก็ค่อยเป็นค่อยไป แปรเปลี่ยนอย่างมีสีสันน่าสนใจ
วงดนตรีที่เป็นวงชั้นนำ รวมถึงนักร้องนักดนตรีในระดับโลก ได้พยายามค้นหาจุดสมดุลระหว่างดนตรีของพวกเขากับคนฟัง และอีกทางหนึ่งก็คือการเปิดอิสระและมีเสรีภาพในการสร้างสรรค์งานตามอัตตาความชอบ โดยไม่ประนีประนอมกับตลาดที่เคยผูกติด มุ่งเป้าเอาความสนุกและความมันส์ในการเล่นดนตรีและทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำเป็นหลัก
ไซด์ โปรเจ็คท์ เป็นทางออกอีกทางหนึ่งของวงดนตรีต่างๆ ในยุคปัจจุบันที่มีเครื่องหมายทางการค้าติดแน่นปิดผนึก รวมถึงสัญญากับทางค่ายที่พยายามรักษาฐานการตลาดของแฟนเพลงและคนฟังเอาไว้ทางอ้อม ทำให้บางทีการขยับตัวทำในสิ่งที่แตกต่างและลดละตัวตนในแบบเดิมๆ ถูกจำกัดจำเขี่ย
ความสนุกเอามันส์จึงเป็นจุดพบกันของวงดนตรีระดับโลกที่ต้องการสร้างสรรค์งานในแนวที่ตัวเองอยากทำหรืออยากทดลองจนสุดกู่ โดยไม่ต้องพะวักพะวนละล้าละลังถึงชื่อเสียงและความสำเร็จที่มีอยู่เดิม
ไซด์ โปรเจ็คที่มีชื่อเสียงก็มีอย่าง Gorillaz วงดนตรีโลกเสมือนที่ใช้สมาชิกเป็นตัวการ์ตูนหรืออนิเมชั่น ซึ่งสร้างสรรค์ไอเดียขึ้นโดย Damon Albarn แถวหน้าของเกาะอังกฤษ วง Blur กับ Jamie Hewlett นักเขียนการ์ตูน Tank Girl
Temple of the Dog วงดนตรีที่ผสมผสานเอาสมาชิกของวงกรันจ์ร็อคสุดยอด 2 วงมาร่วมกันทำงาน ระหว่างวง Soundgarden กับ Pearl Jam
The Cross วงดนตรีของ Roger Taylor แห่งวง Queen.
Dead by Sunrise วงดนตรีของChester Bennington แห่วงนู เมทัลสุดดัง Linkin Park ซึ่งทำงานร่วมกับสมาชิกวง Julien-K
Fort Minor งานดนตรีเฉพาะกิจของ Mike Shinoda เอ็มซีแห่งวง Linkin Park.
Liquid Tension Experiment การผสมวงระหว่างวงโปรเกรสสีฟเมทัลเบอร์หนึ่งของโลกในชั่วโมงนี้ Dream Theater กับมือเบสระดับเทพในวงการดนตรีโปรเกรสสีฟร็อค Tony Levin แห่งวง King Crimson
MD.45 วงดนตรีของ Dave Mustaine และ Jimmy DeGrasso แห่งวง Megadeth ที่ทำงานร่วมกับ Lee Ving จากวง Fear
และมาถึงคิว ไซด์ โปรเจ็คท์ของวงดนตรีที่ถือเป็นเบอร์ต้นๆ แห่งวงการดนตรีอเมริกัน และก้าวทะลุผ่านขึ้นเป็นวงที่โชว์กึ๋นในพัฒนาการตัวงานชุดหลังสุดได้อย่างสุดยอดได้ทั้งเงินและรางวัลจากอัลบั้ม ‘American Idiot‘ นั่นคือวง Green Day ที่สามารถก้าวหลุดพ้นจากเกรดของวงพ็อพพังค์อิงกระแสดนตรีอัลเทอร์เนทีฟ หลุดสู่ความเป็นวงรุ่นใหญ่ระดับโลกได้

2. the Foxboro Hot Tubs อีกหนึ่งตัวตนของวงดนตรี Green Day
จุดเริ่มต้นของไซด์ โปรเจ็คท์นี้ ทั้งหมดของ Green Day ดูเหมือนจะเป็นความลับวงในอยู่พอสมควร โดยมาจากการที่วงดนตรี the Foxboro Hot Tubs ซึ่งมีการเผยแพร่และนำเสนอตัวเองในเว็บไซต์ประชาสังคมทางดนตรีอย่าง Myspace ซึ่งมีแฟนคลับที่เป็นสมาชิกของ The Idiot Club ของวง Green Day รู้เป็นเลาๆ ว่า สมาชิกวง Green Day ร่วมเป็นสมาชิกในวงดนตรีนี้ด้วย
พวกเขาได้เปิดให้อัพโหลดหรือใส่บทเพลงที่เล่นออกมา 3 เพลง ในหน้า Myspace ของตัวเอง ซึ่งในตอนนั้นเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของวงกำลังอยู่ในการดำเนินการสร้างอยู่บนไซเบอร์สเปซ
และเป็นไปอย่างรวดเร็ว ได้มีการบอกกล่าวไปในวงกว้างผ่านโลกไร้สายทั้งคนวงในและวงนอกที่เป็นแฟนเพลงและอยู่ในประชาสังคมของวง Green Day โดยมีข่าวลือชั้นแรกเป็นไฟลามทุ่งว่า ข้อเท็จจริงแล้ว วงดนตรีวงนี้เป็นวงที่ Green Day ปลอมแปลงตัวมา
ซึ่งมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ
ความเคลื่อนไหวของคนฟังเพลงส่วนใหญ่ เมื่อได้ฟังเพลงของวง the Foxboro Hot Tubs ต่างก็เชื่อว่า เป็นวง Green Day ที่ร่วมทำงานกันโดยปลอมแปลงตัวเองและใช้นามแฝงเป็นวงใหม่ แต่ก็ไม่มีใครแน่ใจและยืนยันได้อย่างแน่ชัดในช่วงนั้น เพราะด้วยซาวด์ดนตรีที่แตกต่างจากบทเพลงก่อนหน้านี้ของ Green Day อยู่พอสมควร ผนวกกับเสียงร้องที่ไม่ใช่แนวทางของ Billie Joe Armstrong นักร้องนำด้วย ทำให้หลายคนไม่ปักใจเชื่อ
หลังจากที่มีการปล่อยบทเพลงไซต์ เอ ให้ดาวน์โหลดฟรีบนเว็บไซต์ foxborohottubs.com เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ปี 2007 (พ.ศ.2550) ซึ่งทำให้มีการเข้ามาดาวน์โหลดกันจนเว็บฯ ล่ม และมีการเอาเพลงออกจากเว็บไซต์ เมื่ออัลบั้มเต็มทำเสร็จสิ้น และวางจำหน่ายด้วยการให้ดาวน์โหลดเป็นครั้งแรกในเดือนเมษายน ปี 2008 (พ.ศ.2551) ภายใต้การค้นหาความเป็นมาและความจริงในข่าวลือต่างๆ ของวงดนตรีวงนี้ และบทเพลงที่ขายด้วยการดาวน์โหลดก็ถูกขยายตัวมีคนเข้ามาฟังมากมายอย่างมหาศาล
ในที่สุด ก็มีอีเมล์ส่งมาถึงเอ็มทีวีอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 เมษายน ปี 2008 (พ.ศ.2551) ยืนยันว่า โดยแท้จริงแล้ว Green Day คือแกนหลักของวง the Foxboro Hot Tubs และมีการนำอัลบั้มออกขายในรูปแบบซีดีและลองเพลย์ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2008 (พ.ศ.2551) เช่นกัน
การทำอย่างนี้ของวง Green Day ก็คือการลดละอัตตาในการทำงาน หวนมาสู่การค้นหารากเหง้าของดนตรีพ็อพพังค์ที่ตัวเองทำอยู่ นั่นคือ ดนตรีการาจ ร็อค (Garage rock ) โดยมาลองกันสักตั้ง เล่นดนตรีที่มีอิทธิพลต่อดนตรีพังค์ร็อคที่เป็นรากฐานความคิดของพวกเขาอย่างจริงจัง ให้รู้ดำรู้แดงกันไป

3. ย้อนหวนทวนคืนสู่ความรุ่งโรจน์ของการาจ ร๊อค
สำหรับดนตรีการาจ ร็อค คือแนวดนตรีที่มีรูปแบบดิบกร้าวหยาบในแบบร็อคแอนด์โรล ซึ่งเป็นที่นิยมครั้งแรกในตลาดเพลงสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ประมาณปี 1963 (พ.ศ.2506) ถึง 1967 (พ.ศ.2510)
ในช่วงระหว่างยุคทศวรรษที่ 60 การาจ ร็อค ก็ไม่ได้เป็นสไตล์ดนตรีซึ่งเป็นที่จดจำและรู้จัก คล้ายกับเป็นดนตรีที่เป็นอิสระและเอกเทศออกไปจากกระแสดนตรียอดนิยม โดยยังไม่มีชื่อที่เจาะจงเป็นพิเศษโดยเฉพาะ
นักวิจารณ์ดนตรีร็อคได้ประมวลถึงแนวดนตรีนี้ย้อนหลังกลับไปว่า เป็นรากเหง้าและส่วนหนึ่งของดนตรีพังค์ร็อค อย่างไรก็ตาม สไตล์ดนตรีแนวนี้ก็ได้ถูกนิยามเป็น การาจ ร็อค หรือ พังค์ยุคทศวรรษที่ 60 ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงความสับสนกับสไตล์ดนตรีพังค์ร็อคในปลายยุคทศวรรษที่ 70 ซึ่งมีวงอย่าง the Sex Pistols และ The Clash
ส่วนวง the Foxboro Hot Tubs หรือร่างทรงวง Green Day ที่มาเล่นดนตรีกันในแนวการาจ ร็อค นั้น ปัจจุบันถูกจัดให้เป็นแนวดนตรีการาจ ร็อค รีไววัล (Garage Rock Revival) หรือการฟื้นฟูปลุกชีพดนตรีการาจ ร็อคให้เกิดขึ้นอีกครั้ง
ซึ่งแต่เดิม เป็นขบวนการเคลื่อนไหวของค่ายเพลงอิสระหรืออินดี้ ที่ปรากฏตัวออกมาในช่วงกลางยุคทศวรรษที่ 80 วงดนตรีที่เล่นดนตรีกันในสไตล์นี้มีเจตจำนงที่จะรำลึกถึงและจับอารมณ์ความรู้สึก จิตวิญญาณทางดนตรีที่รุนแรง เอะอะโวยวาย ป่าเถื่อน และเสียงร้องอันแห้งแหบห้าว เพื่อเป็นการสืบมาตรฐานของดนตรีการาจ ร็อค ในยุคทศวรรษที่ 60
แน่นอน แรกเริ่มเดิมทีของเหล่าคนดนตรีการาจหรือบรรดาการาจ ร็อคเกอร์ มีความเกี่ยวพันเกี่ยวโยงในการลอกเลียนเอาอย่างวงดนตรีจากฝั่งอังกฤษ ซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบของคนฟังและเป็นวงโปรดของพวกเขา และได้นำสไตล์ดนตรีร็อคแอนด์โรลแบบอังกฤษมาเลียนอย่างด้วยตัวของพวกเขาเอง และส่วนมากเริ่มต้นเล่นและฝึกซ้อมกันในโรงรถที่บ้านของตัวเอง
ดังนั้น แนวดนตรีการาจ ร็อค รีไววัล จึงเต็มไปด้วยเสียงกีตาร์ฟุ้งกระจายคลุมเครือแปลกแปร่ง มีท่อนริฟฟ์ด้วยออร์แกนฟาร์ฟิซ่าหรือซาวด์ออร์แกนไฟฟ้าแบบอิตาเลียน และเสียงร้องที่มีลีลาน้ำเสียงแบบเย้ยหยันถากถาง นี่คือเสน่ห์รูปแบบดนตรีเฉพาะตัว
บรรดาคนเล่นดนตรีแนวการาจ ร็อคยุคหลังที่นำมาฟื้นฟูใหม่โดยมีความลงตัวในสไตล์และสัมผัสรสทางดนตรีในแบบดั้งเดิมไว้ครบถ้วน แต่เล่นดนตรีด้วยความตระหนักรู้ของตัวเอง และมีคุณภาพตามความชื่นชอบส่วนบุคคล
พลังงานที่เปี่ยมด้วยความบ้าคลั่ง ความทรหดอดทน ความโสโครก ความหุนหันพลันแล่น ความขบถแปลกแยก และจิตวิญญาณของหัวใจปาร์ตี้ คือจิตสำนึกของดนตรีการาจ ร็อค ซึ่งบางเวลาก็รู้จักกันดีผ่านธาตุดนตรีแบบนี้ ซึ่งวงดนตรีการาจ ร็อค รีไววัลได้แบ่งปันฐานคติที่สำคัญและซ่อนอยู่เหล่านี้เอาไว้อย่างครบถ้วน ก่อร่างสร้างตัวตนที่ถูกต้องตามคุณลักษณะและคุณสมบัติของดนตรีการาจ ร็อค และจิตวิญญาณที่แท้จริงของร็อคแอนด์โรล
โดยดนตรีการาจ ร็อคยุคฟื้นฟูใหม่ได้เป็นที่นิยมมากขึ้น หลังจากการก่อเกิดของคลื่นลูกแรกในยุคทศวรรษที่ 80 แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จในกลุ่มผุ้ฟังวงกว้างในวัฒนธรรมกระแสหลัก แต่ก็ยังรักษาและดำรงอยู่ในกลุ่มคนฟังเพลงกลุ่มคัลท์ (Cult) หรือวัฒนธรรมชนกลุ่มน้อยหรือกลุมย่อยที่เข้มแข็งและยืนหยัดมาเรื่อยจนถึงยุคทศวรรษที่ 90 จนถึงปัจจุบันก็ยังมีวงดนตรีเดินตามรอยทางนี้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะกลุ่มดนตรีที่เป็นอินดี้ร็อคยุคใหม่

4. สนุกสุดมันส์กับการาจร็อคแบบ the Foxboro Hot Tubs
จากการวางแผนที่จินตนาการสร้างวงดนตรีวงใหม่ที่ลึกลับ โดยตัดสินใจออกอีพีให้ดาวน์โหลดฟรีในอินเตอร์จำนวน 6 บทเพลง ซึ่งเป็นที่มาของบทเพลงในไซด์เอ วันเวลาที่ยิ่งใหญ่ของวงดนตรีทริโอ (สามชิ้น) จากโอ๊คแลนด์ที่เล่นดนตรีเพื่อความสนุกสนาน บันทึกเสียงด้วยบทเพลงที่เท่และดีเลิศของความระลึกถึงย้อนเตือนความทรงจำกลับไปสู่ดนตรีการาจ ร็อคที่เคยรุ่งเรืองในยุคทศวรรษที่ 60 เสี่ยงอย่างไม่ยั้งคิด หงุดหงิดเร่าร้อน ไม่สนใจชื่อเสียงที่เคยเป็นมา
Billie Joe Armstrong (กีตาร์-ร้องนำ), Mike Dirnt (เบส) และ Tré Cool (กลอง) แห่งวง Green Day มาผนวกรวมกับนักดนตรีที่ทำงานและออกทัวร์กับวง Green Day มาตลอด อย่าง Jason White, Jason Freese และ Kevin Preston ทำงานทางดนตรีด้วยซาวด์ที่ย้อนกลับไปในยุคการาจ ร็อค ปลายทศวรรษที่ 60 ในนามวง the Foxboro Hot Tubs
อัลบั้ม ‘Stop Drop And Roll!!!’ เป็นการประกาศศักดิ์ศรีของดนตรีการาจ ร็อคที่มีเสน่ห์อย่างน่าค้นหาอีกครั้ง
อัลบั้มชุดนี้แสดงออกถึงความรู้สึกทะยานอยาก และพยายามรักษาความรู้สึกสดใหม่ให้คงอยู่ภายในหัวสมองและจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เมื่อวัน-วัยล่วงเลยผ่านไป
ยิ่งมีเส้นทางชีวิตที่ประสบความสำเร็จทั้งชื่อเสียงและเงินทอง ก็ยิ่งยากกว่าเป็นทบทวีคูณ ด้วยอัตตาที่เข้าครอบงำ ภาวะที่หลงลืมจากต้นแบบและรากเหง้าก็ยิ่งมีมากขึ้นตามไปด้วย ไม่มีวงดนตรีระดับโลกวงไหนที่หวนกลับทำงานในแบบที่ตัวเองคลั่งไคล้ในช่วงยังไม่มีชื่อเสียง ด้วยกรอบของการสร้างสรรค์งานที่ต้องอิงตลาดชอบตามรอยทางความสำเร็จแบบเดิมๆ ที่ได้รับ
the Foxboro Hot Tubs พยายามเป็นหัวหอกในการหวนกลับไปสู่ยุคการาจร็อค ด้วยเนื้อร้องแบบจดหมายรักที่พร่ำพรรณนาผ่านบรรยากาศของร็อคแอนด์โรลยุคทศวรรษที่ 50 อัลบั้ม ‘Stop, Drop And Roll!!!’ คือเครื่องมือที่มองด้วยสายตาของคนดนตรีที่ได้รับอิทธิพลของพังค์ร็อคตั้งแต่ยุคทศวรรษที่ 60 ลากเลื้อยไหลสู่ทศวรรษที่ 80 และมามีตัวตนจริงๆ ในยุคทศวรรษที่ 90
วง Foxboro Hot Tubs หมุนกลับไปสู่จิตวิญญาณแห่งปาร์ตี้ของขวบปีที่รุ่งเรืองของดนตรีการาจใน ปี 1967 (2510) นับได้ว่าเป็นการดึงเอาอิทธิพลงานดนตรีเก่าที่ขึ้นหิ้งเก๋าเก่าเก็บมาทำใหม่ต่อยอดให้มีความร่วมสมัยได้อย่างสวยงาม
หากเป็นแฟนเพลงของวง Green Day พันธุ์แท้และติดตามงานของทางวงมาตั้งแต่เป็นพ็อพพังค์ผมหลากสีดนตรีที่ถูกใจวัยรุ่นกระแสหลัก ก่อนขยับมีพัฒนาการสู่มหากาพย์ของความเป็นพังค์ร็อคที่ใช้คอนเซ็ปต์อัลบั้มเล่าเรื่อง จนปัจจุบันเป็นพ็อพพังค์โอเปร่า ก็น่าจะชื่นชอบชื่นชมไซด์ โปรเจ็คต์ ของพวกเขาคือ อัลบั้มชุดนี้ด้วยเช่นกัน
เพราะจะเห็นได้ถึงความเคร่งเครียดอย่างเอาจริงเอาจังจนทวีผลออกมาเป็นงานที่ฟังสนุกเปี่ยมด้วยบรรยากาศและความรู้สึกของดนตรีที่รับอิทธิพลมาและนำมาฟื้นชีพต่อยอด โดยเปลี่ยนแปลงให้มีความร่วมสมัยภายใต้จริตที่กวนแบบแสบๆ เข้าใจอารมณ์ของผู้คนในยุคนี้
เมื่อขุดล้วงลึกเข้าไปในอิทธิพลทางดนตรีที่วง Foxboro Hot Tubs รับมาขยายความต่อยอดในลักษณะดนตรีของพวกเขาเอง จะพบซาวด์ของวงดนตรีการาจ ร็อคทั้งยุคก่อนหน้า อย่าง the Kinks, The Stooges และวงร่วมสมัย อย่าง The Hives จึงกอปรรวมเป็นความฉูดฉาดและมหัศจรรย์ ที่เน้นย้ำเอาความพิเศษของเสียงในยุคทศวรรษที่ 60 และ 70 มาใช้ โดยเฉพาะเทคนิคการบันทึกเสียงที่พยายามจับคุณลักษณะและอารมณ์ทางดนตรีในยุคนั้นมาหล่อหลอมใหม่
ความสวยงามและดิบกร้าวที่ลงตัว เต็มไปด้วยพลังความสด ภาวะเคลิบเคลิ้มทางจิต เจตคติหรือท่าทีกับความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม ย้อนกลับไปสู่ความทรงจำฝังลึกเก่าๆ ที่เป็นรากเหง้าและแรงบันดาลใจของห้วงวัยที่ยังจิ๊กโก๋จัดจ้านเต็มด้วยความห้าวลึก
ความอิสระในการสร้างสรรค์งานแบบใจตัวเองต้องการอยากจะให้เป็น อัลบั้ม ‘Stop Drop and Roll!!!’ มีความกร้านสากและดิบหยาบเต็มไปด้วยพลัง ระดมอัดด้วยชิ้นส่วนของอิทธิพลดนตรีในแบบไซเคเดลิคและร็อคอะบิลลี่ที่มีฐานรากการสร้างสรรค์แบบอเมริกันจ๋า
บทเพลงที่สั้นกระชับเพียง 2-3 นาทีกว่า ที่ร่ายมนต์รวดเดียว 31.31 นาที เสมือนเป็นการคารวะด้วยการบันทึกเสียงในลีลาสุ้มเสียงและบรรยากาศของซาวด์แบบบริติช อินเวชั่น หรือการรุกรานจากเสียงดนตรีของเกาะอังกฤษในแบบร็อคแอนด์โรลยุคทศวรรษที่ 60 กับการพัฒนาของวงร็อคแอนด์โรลในอเมริกาที่พัฒนาต่อยอดเป็นยุคอเมริกัน การาจร็อคที่ดีที่สุด
ในทุกเพลงจะมีเสียงตัวอย่างของเสียงหนังหรือเสียงในฟิล์มของหนังยุคทศวรรษที่ 60 มาพ่วงด้วยนิดน้อย พร้อมกับดนตรีที่กำกวมคลุมเครือของดนตรีในแบบโอลด์ สคูล ร็อค ยุค60’s ที่ประสมผนวกรวมกับซาวด์อินดี้พ็อพของของยุคปัจจุบัน ถือเป็นการต่อสะพานเชื่อมช่องว่างของสองเสียงแห่งสองยุค ผ่านฝีมือและเสียงร้องของ Billie Joe Armstrong ซึ่งทำให้งานเพลงทั้งหมด 12 บทเพลงกลายเป็นความพิเศษขึ้นมา
สังเกตลงไปลึกๆ จะพบกลิ่นอายของซาวด์ดนตรีในแบบปาร์ตี้เมามันของยุคปี 1967 (2510) เพลงที่ถือว่าดีและลงตัวที่สุด อย่าง ‘She's a Saint Not a Celebrity’ จะเห็นลักษณะร่องเสียงทางเพลงของวงพังค์ร็อคในระดับตัวพ่อของอเมริกัน The Ramones ที่มีลักษณะของจังหวะร็อคที่เรียกกันว่า แบ็คบีท จังหวะ 2 และ 4 ที่กระหึ่มก้องดังอย่างสม่ำเสมอ
พลังขับเคลื่อนด้วยด้วยพาวเวอร์ของเสียงกีตาร์ในบทเพลง ‘Alligator’ ก็ละม้ายคล้ายแนวทางของวง The Kinks ส่วนบทเพลง ‘Sally’ นำเอาอิทธิพลทางดนตรีจุดเด่นของวง The Monkees มาผนวกรวมกับซาวด์อันโดดเด้งที่เป็นเอกลักษณ์ของดนตรีวงการาจร็อคยุค 60’s
บทบาทของการเดินเบสที่โดดเด่นของ Mike Dirnt กระแทกรูหูด้วยการเล่นสไตล์ของ John Entwistle แห่งวง The Who ด้วยลีลาที่เรียกว่า เดอะ ฟังค์กี้ ชุงกี้ บูกี้ ในบทเพลง ‘27th Ave. Shuffle’
บทเพลงที่สามารถเต้นรำได้ย้ายย้วยในแบบร็อคอะบิลลี่ ‘Ruby Room’ สำหรับเพลงนำอัลบั้ม ‘Stop Drop and Roll’ ออกไปในแนวทางบ้าระห่ำในสไตล์ร็อคเกอร์แบบเอลวิสอยู่พอควร
‘The Pedestrian’ กับ ‘Broadway’ เป็น 2 บทเพลงที่มีเสน่ห์จับใจในแนวทางเสียงของวง Green Day มากที่สุด ซึ่งมีคุณลักษณะเป็นเช่นเดียวกันกับซิงเกิลฮิตของอัลบั้มชุดนี้ ‘Mother Mary’ ที่กลับไปหาซาวด์เก่าๆ อารมณ์ดนตรีปลายยุค 50’s ต่อทางเสียงต้นยุค 60’s
‘Dark Side of Night’ ถือเป็นบทเพลงที่นุ่มนวลไพเราะแต่หลอกหลอนที่สุด มีเสียงฟลุ้ตไล่เมโลดี้โซโล่กับกีตาร์อะคูสติคดิบๆ เดินร่วมกับเสียงร้องอย่างสวยงาม ให้ความรู้สึกที่อยู่ในความอ้างว้างและดิบเศร้าของความมืดหม่นในจิตใจของผู้คนในยามค่ำคืน
การร้องเพลงด้วยเสียงที่ดัดหล่อไม่กระชากลากจนสุดขั้วตะเบ็ง เป็นลักษณะพิเศษที่ Billie Joe Armstrong พยายามฉีกให้ไม่มีร่องรอยของทางเพลงพ็อพพังค์ในแบบของพวกเขาหรือ Green Day ซึ่งเป็นการเรียนรู้และพยายามทำความเข้าใจดนตรี นอกเหนือจากที่พวกเขายึดโยงครอบครองอยู่ กลับไปสู่แม่แบบของต้นรากอิทธิพลดนตรีพังค์ ร็อคแอนด์โรลแบบดิบๆ แต่สวยงามอย่าง การาจร็อค
อาร์ตเวิร์คปกอัลบั้มและตัวแผ่นซีดีชวนให้ระลึกถึงลองเพลย์ปกแผ่นเสียงไวนิลยุคเก่าช่วงทศววรษที่ 60 เป็นอย่างยิ่ง การบันทึกเสียงด้วยระบบ 8 แทร็ค และ บางเพลงก็ 4 แทร็ค ทำให้เห็นว่า ระบบบันทึกเสียงแบบสเตอริโอสามารถเล่นกับเครื่องเล่นที่เป็นโมโนในทุกวันนี้ด้วยเสียงที่ออกมาอย่างดีเลิศ แต่ท้ายที่สุดการบันทึกเสียงแบบโมโนจะต้องเล่นด้วยเครื่องเล่นที่เป็นอุปกรณ์เดียวกันจึงจะได้เสียงที่สมบูรณ์
แต่โดยแท้จริงแล้ว อัลบั้ม ‘Stop Drop and Roll!!!’ สามารถสัมผัสได้ซึ่งเสียงที่สะอาดทว่าเผ็ดร้อนมากกว่าซาวด์แบบดั้งเดิมในแบบการาจร็อค มีจริตกรีดกรายและเน้นอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าที่อัดพุ่งด้วยดนตรีอย่างมุทะลุ
ความเป็นเอกภาพเดียวกันของทั้ง 12 บทเพลง แสดงถึงความดีเลิศอย่างเยี่ยมยอดด้วยเชิงชั้นทางดนตรีในแต่ละบทเพลง ด้วยเสียงที่เรียบง่ายกว่าและน่าฟัง ให้ความรู้สึกที่สนุกสนาน มากกว่าเสียงดนตรีแบบการาจร็อคในแบบแรกเริ่มดั้งเดิมเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้วที่ได้รับอิทธิพลมา
หากเปรียบเทียบกับวงดนตรีร่วมสมัยซึ่งเล่นดนตรีในแนวการาจร็อคและมีชื่อเสียงในยุคนี้ โดยโด่งดังทีหลังวง Green Day อย่าง The Strokes, The Hives และ The Fratellis ซึ่งวงเหล่านี้ปรับซาวด์จนมีเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ The Foxboro Hot Tubs หวนกลับสู่เส้นเสียงหรือซาวด์แบบดั้งเดิมของยุคการาจร็อคแบบ 60’s มากกว่า
‘Stop Drop And Roll!!!’ ถือเป็นงานในแบบไซด์ โปรเจ็คท์ ที่สามารถขึ้นหิ้งประวัติศาสตร์ดนตรีได้อีกหนึ่งอัลบั้ม
>>>>>>>>>>
……….
ฟังมาแล้ว

Midlife : A Beginner’s Guide To Blur / Blur
อัลบั้มรวมเพลงที่ดีเยี่ยมไม่ใช่สักแต่รวมๆ ให้ครบ
25 บทเพลงของวงบริตพ็อพที่โด่งดังไปทั่วโลกวงนี้ ได้คัดสรรบทเพลงที่มีความสำคัญในเชิงดนตรี พัฒนาการและเพลงฮิตไว้ครบถ้วน ทำให้เห็นมิติเวลาและความคิดที่เคลื่อนไปตามกระแสของโลกและพลังของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปรไป
เรียกว่าได้ทั้งทางกว้างคือ กระแสเพลงฮิตถูกใจตลาด และทางลึกคือสาระทางดนตรี มุมมอง และวิธีคิดของวงในแบบอังกฤษที่เป็นหมุดหมายของยุคสมัย ถือเป็นวงดนตรีวงหนึ่งที่ยังมีอิทธิพลมาถึงปัจจุบัน แม้ผ่านมาถึง 20 ปีแล้ว

Live at Last: A Wonder Summer's Night / Stevie Wonder
ต่อหน้าผู้ชมกว่า 15,000 คน ในโอทู อารีน่า ลอนดอน อังกฤษ สตีวี่ วอนเดอร์ มองไม่เห็นใครเลย เพราะเป็นมือเปียโนและนักร้องที่อยู่ในโลกมืด แต่เสียงเพลงและดนตรีของเขาทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน
บันทึกการแสดงสดที่เอาอัตลักษณณ์ทางดนตรีฟังค์, โซล, เออร์แบน และสมูธ โซล มาตรึงหัวใจคนฟัง ซึ่งถือเป็นการทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกในรอบทศวรรษของเขา มีทั้งเมดเลย์ของการคอฟเวอร์บทเพลงของวงเดอะ บีเทิลส์ และเดอะ โรลลิ่ง สโตนส์ มาเล่นเอาใจคนอังกฤษ
ครบเครื่องจัดจ้านประดุจดนตรีอยู่ในจิตใจของเขาทั้ง 31 บทเพลงที่เขาสื่อสารออกมา

A Momentary Lapse of Reason / Pink Floyd
งานของวงโปรเกรสสีฟร็อคระดับตำนานที่ถูกนำมารีมาสเตอร์อีกครั้งหนึ่ง
ด้วยคุณค่าแล้วก็เป็นอัลบั้มที่น่าเก็บสะสมอยู่ดี แม้ไม่ใช่งานที่ดีที่สุดหรือดีมากๆ ของพวกเขาก็ตาม แต่งานชุดนี้ถือเป็นการโชว์ความสามารถของมือกีตาร์ เดวิด กิลมอร์ ว่า เขาเจ๋งขนาดไหนและพร้อมที่จะพาวงดนตรีวงนี้สู่เส้นทางเดินที่มั่นคงไม่แพ้อดีตภายใต้มันสมองของสมาชิกที่เหลือ หลังจากสู้อัตตาของโรเจอร์ วอเตอร์ส มือเบสและมันสมองของวงไม่ได้

Music for Men / The Gossip
วงดนตรีอเมริกันที่ทำงานกันแบบอินดี้ร็อค โดยมีทางดนตรีร็อคแด๊นซ์และกลิ่นอายในยุคนิว เวฟ ของอังกฤษได้ใจเลยทีเดียว
เสียงนักร้องนำหญิงโดดเด่นและเข้มแข็งมาก เป็นงานชุดแรกที่ออกกับค่ายเมเจอร์ ดนตรีร็อคแด๊นซ์ของพวกเขาฟังสนุกแม้ยังไม่ผสานกันลงตัวมากนักก็ตาม เพราะบางเพลงก็ร็อคสุดตัว บางเพลงก็แด๊นซ์สุดใจ แต่ถือว่าเป็นวงที่มีอนาคตน่าจับตามองและติดตามผลงาน
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
1. ไซด์ โปรเจคท์ งานดนตรีสนองความอยากที่ซ่อนอยู่ภายใน
โลกนี้ไม่มีใครทำอะไรใหม่อีกแล้วในศตวรรษที่ 21 ความชุลมุนวุ่นวาย ความฉงนฉงาย ความสับสน และร้างไร้ทางออกของโลกยุคเก่า ได้ถูกนำมาต่อยอดด้วยเครื่องมือการสื่อสารแบบใหม่ในไซเบอร์สเปซ พื้นที่สำหรับความงงงวยทางการนำเสนอสิ่งต่างๆ เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เท่าเทียมกัน ไม่ว่ายิ่งใหญ่คับฟ้าหรือเล็กกะจิดริดง่อยเตี้ยติดดิน
ดนตรีและบทเพลงในสังคมดนตรีโลกได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าไปอย่างฉับพลัน แต่เชิงอุตสาหกรรมและธุรกิจดนตรีโลกก็ค่อยเป็นค่อยไป แปรเปลี่ยนอย่างมีสีสันน่าสนใจ
วงดนตรีที่เป็นวงชั้นนำ รวมถึงนักร้องนักดนตรีในระดับโลก ได้พยายามค้นหาจุดสมดุลระหว่างดนตรีของพวกเขากับคนฟัง และอีกทางหนึ่งก็คือการเปิดอิสระและมีเสรีภาพในการสร้างสรรค์งานตามอัตตาความชอบ โดยไม่ประนีประนอมกับตลาดที่เคยผูกติด มุ่งเป้าเอาความสนุกและความมันส์ในการเล่นดนตรีและทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำเป็นหลัก
ไซด์ โปรเจ็คท์ เป็นทางออกอีกทางหนึ่งของวงดนตรีต่างๆ ในยุคปัจจุบันที่มีเครื่องหมายทางการค้าติดแน่นปิดผนึก รวมถึงสัญญากับทางค่ายที่พยายามรักษาฐานการตลาดของแฟนเพลงและคนฟังเอาไว้ทางอ้อม ทำให้บางทีการขยับตัวทำในสิ่งที่แตกต่างและลดละตัวตนในแบบเดิมๆ ถูกจำกัดจำเขี่ย
ความสนุกเอามันส์จึงเป็นจุดพบกันของวงดนตรีระดับโลกที่ต้องการสร้างสรรค์งานในแนวที่ตัวเองอยากทำหรืออยากทดลองจนสุดกู่ โดยไม่ต้องพะวักพะวนละล้าละลังถึงชื่อเสียงและความสำเร็จที่มีอยู่เดิม
ไซด์ โปรเจ็คที่มีชื่อเสียงก็มีอย่าง Gorillaz วงดนตรีโลกเสมือนที่ใช้สมาชิกเป็นตัวการ์ตูนหรืออนิเมชั่น ซึ่งสร้างสรรค์ไอเดียขึ้นโดย Damon Albarn แถวหน้าของเกาะอังกฤษ วง Blur กับ Jamie Hewlett นักเขียนการ์ตูน Tank Girl
Temple of the Dog วงดนตรีที่ผสมผสานเอาสมาชิกของวงกรันจ์ร็อคสุดยอด 2 วงมาร่วมกันทำงาน ระหว่างวง Soundgarden กับ Pearl Jam
The Cross วงดนตรีของ Roger Taylor แห่งวง Queen.
Dead by Sunrise วงดนตรีของChester Bennington แห่วงนู เมทัลสุดดัง Linkin Park ซึ่งทำงานร่วมกับสมาชิกวง Julien-K
Fort Minor งานดนตรีเฉพาะกิจของ Mike Shinoda เอ็มซีแห่งวง Linkin Park.
Liquid Tension Experiment การผสมวงระหว่างวงโปรเกรสสีฟเมทัลเบอร์หนึ่งของโลกในชั่วโมงนี้ Dream Theater กับมือเบสระดับเทพในวงการดนตรีโปรเกรสสีฟร็อค Tony Levin แห่งวง King Crimson
MD.45 วงดนตรีของ Dave Mustaine และ Jimmy DeGrasso แห่งวง Megadeth ที่ทำงานร่วมกับ Lee Ving จากวง Fear
และมาถึงคิว ไซด์ โปรเจ็คท์ของวงดนตรีที่ถือเป็นเบอร์ต้นๆ แห่งวงการดนตรีอเมริกัน และก้าวทะลุผ่านขึ้นเป็นวงที่โชว์กึ๋นในพัฒนาการตัวงานชุดหลังสุดได้อย่างสุดยอดได้ทั้งเงินและรางวัลจากอัลบั้ม ‘American Idiot‘ นั่นคือวง Green Day ที่สามารถก้าวหลุดพ้นจากเกรดของวงพ็อพพังค์อิงกระแสดนตรีอัลเทอร์เนทีฟ หลุดสู่ความเป็นวงรุ่นใหญ่ระดับโลกได้
2. the Foxboro Hot Tubs อีกหนึ่งตัวตนของวงดนตรี Green Day
จุดเริ่มต้นของไซด์ โปรเจ็คท์นี้ ทั้งหมดของ Green Day ดูเหมือนจะเป็นความลับวงในอยู่พอสมควร โดยมาจากการที่วงดนตรี the Foxboro Hot Tubs ซึ่งมีการเผยแพร่และนำเสนอตัวเองในเว็บไซต์ประชาสังคมทางดนตรีอย่าง Myspace ซึ่งมีแฟนคลับที่เป็นสมาชิกของ The Idiot Club ของวง Green Day รู้เป็นเลาๆ ว่า สมาชิกวง Green Day ร่วมเป็นสมาชิกในวงดนตรีนี้ด้วย
พวกเขาได้เปิดให้อัพโหลดหรือใส่บทเพลงที่เล่นออกมา 3 เพลง ในหน้า Myspace ของตัวเอง ซึ่งในตอนนั้นเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของวงกำลังอยู่ในการดำเนินการสร้างอยู่บนไซเบอร์สเปซ
และเป็นไปอย่างรวดเร็ว ได้มีการบอกกล่าวไปในวงกว้างผ่านโลกไร้สายทั้งคนวงในและวงนอกที่เป็นแฟนเพลงและอยู่ในประชาสังคมของวง Green Day โดยมีข่าวลือชั้นแรกเป็นไฟลามทุ่งว่า ข้อเท็จจริงแล้ว วงดนตรีวงนี้เป็นวงที่ Green Day ปลอมแปลงตัวมา
ซึ่งมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ
ความเคลื่อนไหวของคนฟังเพลงส่วนใหญ่ เมื่อได้ฟังเพลงของวง the Foxboro Hot Tubs ต่างก็เชื่อว่า เป็นวง Green Day ที่ร่วมทำงานกันโดยปลอมแปลงตัวเองและใช้นามแฝงเป็นวงใหม่ แต่ก็ไม่มีใครแน่ใจและยืนยันได้อย่างแน่ชัดในช่วงนั้น เพราะด้วยซาวด์ดนตรีที่แตกต่างจากบทเพลงก่อนหน้านี้ของ Green Day อยู่พอสมควร ผนวกกับเสียงร้องที่ไม่ใช่แนวทางของ Billie Joe Armstrong นักร้องนำด้วย ทำให้หลายคนไม่ปักใจเชื่อ
หลังจากที่มีการปล่อยบทเพลงไซต์ เอ ให้ดาวน์โหลดฟรีบนเว็บไซต์ foxborohottubs.com เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ปี 2007 (พ.ศ.2550) ซึ่งทำให้มีการเข้ามาดาวน์โหลดกันจนเว็บฯ ล่ม และมีการเอาเพลงออกจากเว็บไซต์ เมื่ออัลบั้มเต็มทำเสร็จสิ้น และวางจำหน่ายด้วยการให้ดาวน์โหลดเป็นครั้งแรกในเดือนเมษายน ปี 2008 (พ.ศ.2551) ภายใต้การค้นหาความเป็นมาและความจริงในข่าวลือต่างๆ ของวงดนตรีวงนี้ และบทเพลงที่ขายด้วยการดาวน์โหลดก็ถูกขยายตัวมีคนเข้ามาฟังมากมายอย่างมหาศาล
ในที่สุด ก็มีอีเมล์ส่งมาถึงเอ็มทีวีอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 เมษายน ปี 2008 (พ.ศ.2551) ยืนยันว่า โดยแท้จริงแล้ว Green Day คือแกนหลักของวง the Foxboro Hot Tubs และมีการนำอัลบั้มออกขายในรูปแบบซีดีและลองเพลย์ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2008 (พ.ศ.2551) เช่นกัน
การทำอย่างนี้ของวง Green Day ก็คือการลดละอัตตาในการทำงาน หวนมาสู่การค้นหารากเหง้าของดนตรีพ็อพพังค์ที่ตัวเองทำอยู่ นั่นคือ ดนตรีการาจ ร็อค (Garage rock ) โดยมาลองกันสักตั้ง เล่นดนตรีที่มีอิทธิพลต่อดนตรีพังค์ร็อคที่เป็นรากฐานความคิดของพวกเขาอย่างจริงจัง ให้รู้ดำรู้แดงกันไป
3. ย้อนหวนทวนคืนสู่ความรุ่งโรจน์ของการาจ ร๊อค
สำหรับดนตรีการาจ ร็อค คือแนวดนตรีที่มีรูปแบบดิบกร้าวหยาบในแบบร็อคแอนด์โรล ซึ่งเป็นที่นิยมครั้งแรกในตลาดเพลงสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ประมาณปี 1963 (พ.ศ.2506) ถึง 1967 (พ.ศ.2510)
ในช่วงระหว่างยุคทศวรรษที่ 60 การาจ ร็อค ก็ไม่ได้เป็นสไตล์ดนตรีซึ่งเป็นที่จดจำและรู้จัก คล้ายกับเป็นดนตรีที่เป็นอิสระและเอกเทศออกไปจากกระแสดนตรียอดนิยม โดยยังไม่มีชื่อที่เจาะจงเป็นพิเศษโดยเฉพาะ
นักวิจารณ์ดนตรีร็อคได้ประมวลถึงแนวดนตรีนี้ย้อนหลังกลับไปว่า เป็นรากเหง้าและส่วนหนึ่งของดนตรีพังค์ร็อค อย่างไรก็ตาม สไตล์ดนตรีแนวนี้ก็ได้ถูกนิยามเป็น การาจ ร็อค หรือ พังค์ยุคทศวรรษที่ 60 ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงความสับสนกับสไตล์ดนตรีพังค์ร็อคในปลายยุคทศวรรษที่ 70 ซึ่งมีวงอย่าง the Sex Pistols และ The Clash
ส่วนวง the Foxboro Hot Tubs หรือร่างทรงวง Green Day ที่มาเล่นดนตรีกันในแนวการาจ ร็อค นั้น ปัจจุบันถูกจัดให้เป็นแนวดนตรีการาจ ร็อค รีไววัล (Garage Rock Revival) หรือการฟื้นฟูปลุกชีพดนตรีการาจ ร็อคให้เกิดขึ้นอีกครั้ง
ซึ่งแต่เดิม เป็นขบวนการเคลื่อนไหวของค่ายเพลงอิสระหรืออินดี้ ที่ปรากฏตัวออกมาในช่วงกลางยุคทศวรรษที่ 80 วงดนตรีที่เล่นดนตรีกันในสไตล์นี้มีเจตจำนงที่จะรำลึกถึงและจับอารมณ์ความรู้สึก จิตวิญญาณทางดนตรีที่รุนแรง เอะอะโวยวาย ป่าเถื่อน และเสียงร้องอันแห้งแหบห้าว เพื่อเป็นการสืบมาตรฐานของดนตรีการาจ ร็อค ในยุคทศวรรษที่ 60
แน่นอน แรกเริ่มเดิมทีของเหล่าคนดนตรีการาจหรือบรรดาการาจ ร็อคเกอร์ มีความเกี่ยวพันเกี่ยวโยงในการลอกเลียนเอาอย่างวงดนตรีจากฝั่งอังกฤษ ซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบของคนฟังและเป็นวงโปรดของพวกเขา และได้นำสไตล์ดนตรีร็อคแอนด์โรลแบบอังกฤษมาเลียนอย่างด้วยตัวของพวกเขาเอง และส่วนมากเริ่มต้นเล่นและฝึกซ้อมกันในโรงรถที่บ้านของตัวเอง
ดังนั้น แนวดนตรีการาจ ร็อค รีไววัล จึงเต็มไปด้วยเสียงกีตาร์ฟุ้งกระจายคลุมเครือแปลกแปร่ง มีท่อนริฟฟ์ด้วยออร์แกนฟาร์ฟิซ่าหรือซาวด์ออร์แกนไฟฟ้าแบบอิตาเลียน และเสียงร้องที่มีลีลาน้ำเสียงแบบเย้ยหยันถากถาง นี่คือเสน่ห์รูปแบบดนตรีเฉพาะตัว
บรรดาคนเล่นดนตรีแนวการาจ ร็อคยุคหลังที่นำมาฟื้นฟูใหม่โดยมีความลงตัวในสไตล์และสัมผัสรสทางดนตรีในแบบดั้งเดิมไว้ครบถ้วน แต่เล่นดนตรีด้วยความตระหนักรู้ของตัวเอง และมีคุณภาพตามความชื่นชอบส่วนบุคคล
พลังงานที่เปี่ยมด้วยความบ้าคลั่ง ความทรหดอดทน ความโสโครก ความหุนหันพลันแล่น ความขบถแปลกแยก และจิตวิญญาณของหัวใจปาร์ตี้ คือจิตสำนึกของดนตรีการาจ ร็อค ซึ่งบางเวลาก็รู้จักกันดีผ่านธาตุดนตรีแบบนี้ ซึ่งวงดนตรีการาจ ร็อค รีไววัลได้แบ่งปันฐานคติที่สำคัญและซ่อนอยู่เหล่านี้เอาไว้อย่างครบถ้วน ก่อร่างสร้างตัวตนที่ถูกต้องตามคุณลักษณะและคุณสมบัติของดนตรีการาจ ร็อค และจิตวิญญาณที่แท้จริงของร็อคแอนด์โรล
โดยดนตรีการาจ ร็อคยุคฟื้นฟูใหม่ได้เป็นที่นิยมมากขึ้น หลังจากการก่อเกิดของคลื่นลูกแรกในยุคทศวรรษที่ 80 แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จในกลุ่มผุ้ฟังวงกว้างในวัฒนธรรมกระแสหลัก แต่ก็ยังรักษาและดำรงอยู่ในกลุ่มคนฟังเพลงกลุ่มคัลท์ (Cult) หรือวัฒนธรรมชนกลุ่มน้อยหรือกลุมย่อยที่เข้มแข็งและยืนหยัดมาเรื่อยจนถึงยุคทศวรรษที่ 90 จนถึงปัจจุบันก็ยังมีวงดนตรีเดินตามรอยทางนี้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะกลุ่มดนตรีที่เป็นอินดี้ร็อคยุคใหม่
4. สนุกสุดมันส์กับการาจร็อคแบบ the Foxboro Hot Tubs
จากการวางแผนที่จินตนาการสร้างวงดนตรีวงใหม่ที่ลึกลับ โดยตัดสินใจออกอีพีให้ดาวน์โหลดฟรีในอินเตอร์จำนวน 6 บทเพลง ซึ่งเป็นที่มาของบทเพลงในไซด์เอ วันเวลาที่ยิ่งใหญ่ของวงดนตรีทริโอ (สามชิ้น) จากโอ๊คแลนด์ที่เล่นดนตรีเพื่อความสนุกสนาน บันทึกเสียงด้วยบทเพลงที่เท่และดีเลิศของความระลึกถึงย้อนเตือนความทรงจำกลับไปสู่ดนตรีการาจ ร็อคที่เคยรุ่งเรืองในยุคทศวรรษที่ 60 เสี่ยงอย่างไม่ยั้งคิด หงุดหงิดเร่าร้อน ไม่สนใจชื่อเสียงที่เคยเป็นมา
Billie Joe Armstrong (กีตาร์-ร้องนำ), Mike Dirnt (เบส) และ Tré Cool (กลอง) แห่งวง Green Day มาผนวกรวมกับนักดนตรีที่ทำงานและออกทัวร์กับวง Green Day มาตลอด อย่าง Jason White, Jason Freese และ Kevin Preston ทำงานทางดนตรีด้วยซาวด์ที่ย้อนกลับไปในยุคการาจ ร็อค ปลายทศวรรษที่ 60 ในนามวง the Foxboro Hot Tubs
อัลบั้ม ‘Stop Drop And Roll!!!’ เป็นการประกาศศักดิ์ศรีของดนตรีการาจ ร็อคที่มีเสน่ห์อย่างน่าค้นหาอีกครั้ง
อัลบั้มชุดนี้แสดงออกถึงความรู้สึกทะยานอยาก และพยายามรักษาความรู้สึกสดใหม่ให้คงอยู่ภายในหัวสมองและจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เมื่อวัน-วัยล่วงเลยผ่านไป
ยิ่งมีเส้นทางชีวิตที่ประสบความสำเร็จทั้งชื่อเสียงและเงินทอง ก็ยิ่งยากกว่าเป็นทบทวีคูณ ด้วยอัตตาที่เข้าครอบงำ ภาวะที่หลงลืมจากต้นแบบและรากเหง้าก็ยิ่งมีมากขึ้นตามไปด้วย ไม่มีวงดนตรีระดับโลกวงไหนที่หวนกลับทำงานในแบบที่ตัวเองคลั่งไคล้ในช่วงยังไม่มีชื่อเสียง ด้วยกรอบของการสร้างสรรค์งานที่ต้องอิงตลาดชอบตามรอยทางความสำเร็จแบบเดิมๆ ที่ได้รับ
the Foxboro Hot Tubs พยายามเป็นหัวหอกในการหวนกลับไปสู่ยุคการาจร็อค ด้วยเนื้อร้องแบบจดหมายรักที่พร่ำพรรณนาผ่านบรรยากาศของร็อคแอนด์โรลยุคทศวรรษที่ 50 อัลบั้ม ‘Stop, Drop And Roll!!!’ คือเครื่องมือที่มองด้วยสายตาของคนดนตรีที่ได้รับอิทธิพลของพังค์ร็อคตั้งแต่ยุคทศวรรษที่ 60 ลากเลื้อยไหลสู่ทศวรรษที่ 80 และมามีตัวตนจริงๆ ในยุคทศวรรษที่ 90
วง Foxboro Hot Tubs หมุนกลับไปสู่จิตวิญญาณแห่งปาร์ตี้ของขวบปีที่รุ่งเรืองของดนตรีการาจใน ปี 1967 (2510) นับได้ว่าเป็นการดึงเอาอิทธิพลงานดนตรีเก่าที่ขึ้นหิ้งเก๋าเก่าเก็บมาทำใหม่ต่อยอดให้มีความร่วมสมัยได้อย่างสวยงาม
หากเป็นแฟนเพลงของวง Green Day พันธุ์แท้และติดตามงานของทางวงมาตั้งแต่เป็นพ็อพพังค์ผมหลากสีดนตรีที่ถูกใจวัยรุ่นกระแสหลัก ก่อนขยับมีพัฒนาการสู่มหากาพย์ของความเป็นพังค์ร็อคที่ใช้คอนเซ็ปต์อัลบั้มเล่าเรื่อง จนปัจจุบันเป็นพ็อพพังค์โอเปร่า ก็น่าจะชื่นชอบชื่นชมไซด์ โปรเจ็คต์ ของพวกเขาคือ อัลบั้มชุดนี้ด้วยเช่นกัน
เพราะจะเห็นได้ถึงความเคร่งเครียดอย่างเอาจริงเอาจังจนทวีผลออกมาเป็นงานที่ฟังสนุกเปี่ยมด้วยบรรยากาศและความรู้สึกของดนตรีที่รับอิทธิพลมาและนำมาฟื้นชีพต่อยอด โดยเปลี่ยนแปลงให้มีความร่วมสมัยภายใต้จริตที่กวนแบบแสบๆ เข้าใจอารมณ์ของผู้คนในยุคนี้
เมื่อขุดล้วงลึกเข้าไปในอิทธิพลทางดนตรีที่วง Foxboro Hot Tubs รับมาขยายความต่อยอดในลักษณะดนตรีของพวกเขาเอง จะพบซาวด์ของวงดนตรีการาจ ร็อคทั้งยุคก่อนหน้า อย่าง the Kinks, The Stooges และวงร่วมสมัย อย่าง The Hives จึงกอปรรวมเป็นความฉูดฉาดและมหัศจรรย์ ที่เน้นย้ำเอาความพิเศษของเสียงในยุคทศวรรษที่ 60 และ 70 มาใช้ โดยเฉพาะเทคนิคการบันทึกเสียงที่พยายามจับคุณลักษณะและอารมณ์ทางดนตรีในยุคนั้นมาหล่อหลอมใหม่
ความสวยงามและดิบกร้าวที่ลงตัว เต็มไปด้วยพลังความสด ภาวะเคลิบเคลิ้มทางจิต เจตคติหรือท่าทีกับความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม ย้อนกลับไปสู่ความทรงจำฝังลึกเก่าๆ ที่เป็นรากเหง้าและแรงบันดาลใจของห้วงวัยที่ยังจิ๊กโก๋จัดจ้านเต็มด้วยความห้าวลึก
ความอิสระในการสร้างสรรค์งานแบบใจตัวเองต้องการอยากจะให้เป็น อัลบั้ม ‘Stop Drop and Roll!!!’ มีความกร้านสากและดิบหยาบเต็มไปด้วยพลัง ระดมอัดด้วยชิ้นส่วนของอิทธิพลดนตรีในแบบไซเคเดลิคและร็อคอะบิลลี่ที่มีฐานรากการสร้างสรรค์แบบอเมริกันจ๋า
บทเพลงที่สั้นกระชับเพียง 2-3 นาทีกว่า ที่ร่ายมนต์รวดเดียว 31.31 นาที เสมือนเป็นการคารวะด้วยการบันทึกเสียงในลีลาสุ้มเสียงและบรรยากาศของซาวด์แบบบริติช อินเวชั่น หรือการรุกรานจากเสียงดนตรีของเกาะอังกฤษในแบบร็อคแอนด์โรลยุคทศวรรษที่ 60 กับการพัฒนาของวงร็อคแอนด์โรลในอเมริกาที่พัฒนาต่อยอดเป็นยุคอเมริกัน การาจร็อคที่ดีที่สุด
ในทุกเพลงจะมีเสียงตัวอย่างของเสียงหนังหรือเสียงในฟิล์มของหนังยุคทศวรรษที่ 60 มาพ่วงด้วยนิดน้อย พร้อมกับดนตรีที่กำกวมคลุมเครือของดนตรีในแบบโอลด์ สคูล ร็อค ยุค60’s ที่ประสมผนวกรวมกับซาวด์อินดี้พ็อพของของยุคปัจจุบัน ถือเป็นการต่อสะพานเชื่อมช่องว่างของสองเสียงแห่งสองยุค ผ่านฝีมือและเสียงร้องของ Billie Joe Armstrong ซึ่งทำให้งานเพลงทั้งหมด 12 บทเพลงกลายเป็นความพิเศษขึ้นมา
สังเกตลงไปลึกๆ จะพบกลิ่นอายของซาวด์ดนตรีในแบบปาร์ตี้เมามันของยุคปี 1967 (2510) เพลงที่ถือว่าดีและลงตัวที่สุด อย่าง ‘She's a Saint Not a Celebrity’ จะเห็นลักษณะร่องเสียงทางเพลงของวงพังค์ร็อคในระดับตัวพ่อของอเมริกัน The Ramones ที่มีลักษณะของจังหวะร็อคที่เรียกกันว่า แบ็คบีท จังหวะ 2 และ 4 ที่กระหึ่มก้องดังอย่างสม่ำเสมอ
พลังขับเคลื่อนด้วยด้วยพาวเวอร์ของเสียงกีตาร์ในบทเพลง ‘Alligator’ ก็ละม้ายคล้ายแนวทางของวง The Kinks ส่วนบทเพลง ‘Sally’ นำเอาอิทธิพลทางดนตรีจุดเด่นของวง The Monkees มาผนวกรวมกับซาวด์อันโดดเด้งที่เป็นเอกลักษณ์ของดนตรีวงการาจร็อคยุค 60’s
บทบาทของการเดินเบสที่โดดเด่นของ Mike Dirnt กระแทกรูหูด้วยการเล่นสไตล์ของ John Entwistle แห่งวง The Who ด้วยลีลาที่เรียกว่า เดอะ ฟังค์กี้ ชุงกี้ บูกี้ ในบทเพลง ‘27th Ave. Shuffle’
บทเพลงที่สามารถเต้นรำได้ย้ายย้วยในแบบร็อคอะบิลลี่ ‘Ruby Room’ สำหรับเพลงนำอัลบั้ม ‘Stop Drop and Roll’ ออกไปในแนวทางบ้าระห่ำในสไตล์ร็อคเกอร์แบบเอลวิสอยู่พอควร
‘The Pedestrian’ กับ ‘Broadway’ เป็น 2 บทเพลงที่มีเสน่ห์จับใจในแนวทางเสียงของวง Green Day มากที่สุด ซึ่งมีคุณลักษณะเป็นเช่นเดียวกันกับซิงเกิลฮิตของอัลบั้มชุดนี้ ‘Mother Mary’ ที่กลับไปหาซาวด์เก่าๆ อารมณ์ดนตรีปลายยุค 50’s ต่อทางเสียงต้นยุค 60’s
‘Dark Side of Night’ ถือเป็นบทเพลงที่นุ่มนวลไพเราะแต่หลอกหลอนที่สุด มีเสียงฟลุ้ตไล่เมโลดี้โซโล่กับกีตาร์อะคูสติคดิบๆ เดินร่วมกับเสียงร้องอย่างสวยงาม ให้ความรู้สึกที่อยู่ในความอ้างว้างและดิบเศร้าของความมืดหม่นในจิตใจของผู้คนในยามค่ำคืน
การร้องเพลงด้วยเสียงที่ดัดหล่อไม่กระชากลากจนสุดขั้วตะเบ็ง เป็นลักษณะพิเศษที่ Billie Joe Armstrong พยายามฉีกให้ไม่มีร่องรอยของทางเพลงพ็อพพังค์ในแบบของพวกเขาหรือ Green Day ซึ่งเป็นการเรียนรู้และพยายามทำความเข้าใจดนตรี นอกเหนือจากที่พวกเขายึดโยงครอบครองอยู่ กลับไปสู่แม่แบบของต้นรากอิทธิพลดนตรีพังค์ ร็อคแอนด์โรลแบบดิบๆ แต่สวยงามอย่าง การาจร็อค
อาร์ตเวิร์คปกอัลบั้มและตัวแผ่นซีดีชวนให้ระลึกถึงลองเพลย์ปกแผ่นเสียงไวนิลยุคเก่าช่วงทศววรษที่ 60 เป็นอย่างยิ่ง การบันทึกเสียงด้วยระบบ 8 แทร็ค และ บางเพลงก็ 4 แทร็ค ทำให้เห็นว่า ระบบบันทึกเสียงแบบสเตอริโอสามารถเล่นกับเครื่องเล่นที่เป็นโมโนในทุกวันนี้ด้วยเสียงที่ออกมาอย่างดีเลิศ แต่ท้ายที่สุดการบันทึกเสียงแบบโมโนจะต้องเล่นด้วยเครื่องเล่นที่เป็นอุปกรณ์เดียวกันจึงจะได้เสียงที่สมบูรณ์
แต่โดยแท้จริงแล้ว อัลบั้ม ‘Stop Drop and Roll!!!’ สามารถสัมผัสได้ซึ่งเสียงที่สะอาดทว่าเผ็ดร้อนมากกว่าซาวด์แบบดั้งเดิมในแบบการาจร็อค มีจริตกรีดกรายและเน้นอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าที่อัดพุ่งด้วยดนตรีอย่างมุทะลุ
ความเป็นเอกภาพเดียวกันของทั้ง 12 บทเพลง แสดงถึงความดีเลิศอย่างเยี่ยมยอดด้วยเชิงชั้นทางดนตรีในแต่ละบทเพลง ด้วยเสียงที่เรียบง่ายกว่าและน่าฟัง ให้ความรู้สึกที่สนุกสนาน มากกว่าเสียงดนตรีแบบการาจร็อคในแบบแรกเริ่มดั้งเดิมเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้วที่ได้รับอิทธิพลมา
หากเปรียบเทียบกับวงดนตรีร่วมสมัยซึ่งเล่นดนตรีในแนวการาจร็อคและมีชื่อเสียงในยุคนี้ โดยโด่งดังทีหลังวง Green Day อย่าง The Strokes, The Hives และ The Fratellis ซึ่งวงเหล่านี้ปรับซาวด์จนมีเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ The Foxboro Hot Tubs หวนกลับสู่เส้นเสียงหรือซาวด์แบบดั้งเดิมของยุคการาจร็อคแบบ 60’s มากกว่า
‘Stop Drop And Roll!!!’ ถือเป็นงานในแบบไซด์ โปรเจ็คท์ ที่สามารถขึ้นหิ้งประวัติศาสตร์ดนตรีได้อีกหนึ่งอัลบั้ม
>>>>>>>>>>
……….
ฟังมาแล้ว
Midlife : A Beginner’s Guide To Blur / Blur
อัลบั้มรวมเพลงที่ดีเยี่ยมไม่ใช่สักแต่รวมๆ ให้ครบ
25 บทเพลงของวงบริตพ็อพที่โด่งดังไปทั่วโลกวงนี้ ได้คัดสรรบทเพลงที่มีความสำคัญในเชิงดนตรี พัฒนาการและเพลงฮิตไว้ครบถ้วน ทำให้เห็นมิติเวลาและความคิดที่เคลื่อนไปตามกระแสของโลกและพลังของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปรไป
เรียกว่าได้ทั้งทางกว้างคือ กระแสเพลงฮิตถูกใจตลาด และทางลึกคือสาระทางดนตรี มุมมอง และวิธีคิดของวงในแบบอังกฤษที่เป็นหมุดหมายของยุคสมัย ถือเป็นวงดนตรีวงหนึ่งที่ยังมีอิทธิพลมาถึงปัจจุบัน แม้ผ่านมาถึง 20 ปีแล้ว
Live at Last: A Wonder Summer's Night / Stevie Wonder
ต่อหน้าผู้ชมกว่า 15,000 คน ในโอทู อารีน่า ลอนดอน อังกฤษ สตีวี่ วอนเดอร์ มองไม่เห็นใครเลย เพราะเป็นมือเปียโนและนักร้องที่อยู่ในโลกมืด แต่เสียงเพลงและดนตรีของเขาทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน
บันทึกการแสดงสดที่เอาอัตลักษณณ์ทางดนตรีฟังค์, โซล, เออร์แบน และสมูธ โซล มาตรึงหัวใจคนฟัง ซึ่งถือเป็นการทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกในรอบทศวรรษของเขา มีทั้งเมดเลย์ของการคอฟเวอร์บทเพลงของวงเดอะ บีเทิลส์ และเดอะ โรลลิ่ง สโตนส์ มาเล่นเอาใจคนอังกฤษ
ครบเครื่องจัดจ้านประดุจดนตรีอยู่ในจิตใจของเขาทั้ง 31 บทเพลงที่เขาสื่อสารออกมา
A Momentary Lapse of Reason / Pink Floyd
งานของวงโปรเกรสสีฟร็อคระดับตำนานที่ถูกนำมารีมาสเตอร์อีกครั้งหนึ่ง
ด้วยคุณค่าแล้วก็เป็นอัลบั้มที่น่าเก็บสะสมอยู่ดี แม้ไม่ใช่งานที่ดีที่สุดหรือดีมากๆ ของพวกเขาก็ตาม แต่งานชุดนี้ถือเป็นการโชว์ความสามารถของมือกีตาร์ เดวิด กิลมอร์ ว่า เขาเจ๋งขนาดไหนและพร้อมที่จะพาวงดนตรีวงนี้สู่เส้นทางเดินที่มั่นคงไม่แพ้อดีตภายใต้มันสมองของสมาชิกที่เหลือ หลังจากสู้อัตตาของโรเจอร์ วอเตอร์ส มือเบสและมันสมองของวงไม่ได้
Music for Men / The Gossip
วงดนตรีอเมริกันที่ทำงานกันแบบอินดี้ร็อค โดยมีทางดนตรีร็อคแด๊นซ์และกลิ่นอายในยุคนิว เวฟ ของอังกฤษได้ใจเลยทีเดียว
เสียงนักร้องนำหญิงโดดเด่นและเข้มแข็งมาก เป็นงานชุดแรกที่ออกกับค่ายเมเจอร์ ดนตรีร็อคแด๊นซ์ของพวกเขาฟังสนุกแม้ยังไม่ผสานกันลงตัวมากนักก็ตาม เพราะบางเพลงก็ร็อคสุดตัว บางเพลงก็แด๊นซ์สุดใจ แต่ถือว่าเป็นวงที่มีอนาคตน่าจับตามองและติดตามผลงาน
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>