หลังเกิดกรณี 'โจ๊ก-จิ๊บ ไผ่เขียว' 2 พี่น้องเอเยนต์ค้ายาแห่งอำเภอวังน้อย และอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีทรัพย์สินรวมกันเกือบ 50 ล้านบาท ถูกจับกุมและวิสามัญฆาตกรรมไปคนหนึ่ง ก็ดูเหมือนรัฐนาวาของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะถูกตั้งคำถามขึ้นมาอย่างหนาหูขึ้นมาทันทีว่า ทำไมถึงปล่อยเครือข่ายยาเสพติดเติบโตจนถึงขั้นมีเงินหมุนเวียนเป็นสิบๆ ล้านได้
และสรุปแล้วรัฐบาลมีความจริงจังต่อการปราบปรามยาเสพติดให้หมดจากสังคมไทยเพียงไหน เพราะไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของ น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ที่ระบุว่าประเทศไทยมียอดผู้ติดยาบ้าสูงเป็นอันดับ 1 ของโลกแล้ว หรือเรื่องที่มีชาวต่างชาติลักลอบนำเข้ายาไอซ์ ยาอีเข้ามาภายในประเทศ ส่วนในตลาดมืดของไทยก็เกิดเรื่องการขายยาไอซ์พ่วงกับยาบ้าขึ้นมา
“ตอนนี้ในชุมชนคลองเตยมีทั้งยาบ้า ยาไอซ์เข้ามาระบาด ก็ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมานั้นมีความหละหลวมของเจ้าหน้าที่อยู่มาก ที่นี่มันเลยกลายเป็นคล้ายๆ กับตลาดกลางการซื้อขายยาเสพติด คือถ้าใครอยากได้ก็เดินเข้ามา” อรุณ ถนอมธรรม หรือครูเซฟแห่งมูลนิธิส่งเสริมการพัฒนาบุคคล ซึ่งทำงานเกี่ยวกับเรื่องของยาเสพติดในเด็กและเยาวชนในชุมชนคลองเตย ฉายภาพปัจจุบันของชุมชนแออัดชื่อดัง
ทั้งหมดนี้ต่างชี้ชัดได้อย่างดีว่า เมืองไทยกำลังตกอยู่ในภาวะยาเสพติดกลับมาระบาดขั้นวิกฤต
ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อหันมามองในส่วนผู้รักษากฎหมาย ก็ดูเหมือนว่าการจับกุมบรรดาผู้ค้าผู้ผลิตจะมีอัตราน้อยลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่หลายคนเชื่อว่าหากจิ๊บ ไผ่เขียวไม่ก่อคดีอุกฉกรรจ์อย่างการยิงน้องโตมี่ หรือ ด.ช.โภคิน ดีผิว ก็คงจะยากที่จะมีการขยายผลจนไปสู่คดียาเสพติดของแก๊งนี้อย่างแน่นอน
จากภาพที่เกิดขึ้นนี้เองได้ส่งผลต่อความมั่นใจของประชาชนโดยตรง สังเกตได้จากผลสำรวจของ 'สวนดุสิตโพล' ที่ออกไปสำรวจความเห็นของประชาชน 1,408 คนที่มีต่อนโยบายยาเสพติดของรัฐบาล ซึ่งได้ข้อสรุปว่า ตลอด 2 ปีมานี้รัฐบาลชุดนี้ได้คะแนนเพียง 5.27 จากคะแนนเต็ม 10 หรือเกือบตกนั่นเอง
แน่นอนว่าในฐานะผู้รับผลกรรมจากภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี จึงรีบมีดำริไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ปี 2554 รัฐบาลจะเข้มงวดให้มากกว่าเดิม พร้อมกับมีการกำหนดเส้นตายให้เจ้าหน้าที่กวาดล้างยาบ้าในพื้นที่กรุงเทพฯ ให้เรียบร้อยภายใน 30 วัน
คำถามที่ตามมาอย่างแน่นอนก็คือ ทำไมถึงเพิ่งมาทำตอนนี้ และให้มันสามารถสะสางภายใน 1 เดือนก็น่าจะทำได้ตั้งนานแล้ว ซึ่งครูเซฟก็สะท้อนปัญหาให้ฟังว่า ถ้าเปรียบเทียบกับ 7-8 ปีก่อน ปัญหาในคลองเตยเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะมีตำรวจตระเวนชายแดนมาตรวจตราอยู่เสมอ แต่เมื่อการเมืองเปลี่ยนทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิมอีก
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เรื่องนี้ล้มเหลวก็คือ ความไม่ต่อเนื่องของเจ้าหน้าที่รัฐเอง โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นกระแสหนักๆ เคยถึงขั้นมีเฮลิคอปเตอร์บินเข้ามาตรวจเลยด้วยซ้ำ แต่พอมาช่วงหลัง นานๆ เจ้าหน้าที่ก็เริ่มหายหน้าหายตา ไม่เพียงแค่นั้นรากฐานของวัฒนธรรมแบบเดิมๆ ก็ทำให้คนที่อยู่ในวงจรนี้สลัดตัวเองไม่ขาดสักที
“ที่นี่ไม่ใช่แหล่งผลิตนะ แต่เป็นเหมือนตลาดที่ใครมีของก็เข้ามาขาย ผมเดินๆ อยู่ตอนกลางคืนก็ยังมีคนมาถามว่าเอาไหม มาเสนอขายแบบตรงๆ เลย เอาเข้าจริงคนในชุมชนก็รู้กันหมดแหละว่าใครขายใครเสพบ้าง
“ที่ผ่านมาก็มีองค์กรเอกชนหลายๆ องค์กรเข้ามาช่วยในเรื่องของการป้องกันยาเสพติด ส่วนทางภาครัฐก็จะมีการอบรมฝึกอาชีพ มีหลายคนที่ติดยาค้ายาเพราะว่าไม่มีอะไรทำ เริ่มจากเสพก่อน แล้วก็เข้าไปสู่วงจรผู้ค้าในที่สุด ทั้งนี้ก็เพราะเขาเห็นว่ามีคนค้ายาแล้วรวย แล้วส่วนใหญ่เลิกทำไม่ได้ เพราะเป็นเหมือนการขึ้นหลังเสือไปแล้ว”
นโยบายมาแว้วววว!!!
เมื่อสถานการณ์ดิ่งเหวลง นโยบายจากภาครัฐจึงเป็นสิ่งที่ขาดแคลนไม่ได้
บุคคลที่ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากที่สุด คงหนีไม่พ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ในฐานะที่เป็นผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งนโยบายเรื่องหนึ่งที่ถูกส่งตรงมาเลยก็คือ ต้องจับกุมพ่อค้าทั้งรายใหญ่ รายย่อย รวมถึงผู้เสพยาเสพติดให้ได้จำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
คำสั่งที่ว่าทำให้โรงพักต่างๆ ต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงซึ่ง พ.ต.ท.อำนาจ หาญชนะ รองผู้การปราบปราม สน.ท่าเรือ บอกว่าโดยปกติแล้วตำรวจก็จะมีกระบวนการทำงานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการหาข่าวเป้าหมายแล้วเข้าไปจับกุม การตั้งจุดตรวจค้น การประชาสัมพันธ์ การนำผู้เสพไปบำบัดรักษา รวมไปถึงการจัดชุดปราบปรามเฉพาะจุด แต่เมื่อนโยบายรัฐต้องการความเข้มงวดมากขึ้น กระบวนการบางอย่างก็เลยต้องเข้มข้นมากขึ้น
“เรามีการกำชับการปฏิบัติให้เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยเราจะสั่งให้มีการระดม และนำกำลังจับกุมเพิ่มขึ้น มีการนำกำลังของ 191 ออกตามพื้นที่ต่างๆ ที่มีปัญหาด้วยก็จะมีการปฏิบัติการอย่างเป็นระยะ เจ้าหน้าที่ก็จะพยายามกันเต็มที่ เพราะว่าจะต้องมีผลงานในการล่อซื้อจะเป็นการจับกุมได้มากที่สุด เนื่องจากมีผลต่อการโยกย้าย ซึ่งในการจับกุมแต่ละเดือนจะต้องนำผลมาเปรียบเทียบกันระหว่างเดือนที่ผ่านมา โดยจะต้องได้มากกว่าเก่า”
ไม่เพียงแค่นั้น ในเรื่องของด่านตรวจก็เช่นกัน พ.ต.ท.อำนาจบอกว่ามีการตั้งมากขึ้น เพราะที่ผ่านมามีการจับกุมยาเสพติดได้เป็นระยะๆ และดีไม่ดีบางจุดอาจจะเป็นแหล่งลำเลียงยาด้วยซ้ำไป
ซึ่งสุดท้ายผลที่ตามมาก็ออกมาอย่างเหลือเชื่อ คือระยะเวลาเพียงครึ่งทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับผู้ต้องหาได้ 20,000 กว่าคน ยาบ้าอีก 1.6 ล้านเม็ด กัญชาเกือบ 300 กิโลกรัม ยาไอซ์อีก 8.5 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่าเวลาปกติไม่รู้กี่เท่า
เปรียบเทียบยุค 'มาร์ค' กะ 'แม้ว'
อย่างไรก็ตามถึงแม้นโยบายจะเริ่มมีความเข้มข้นขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่คนเป็นห่วงเป็นใย ก็คือสุดท้ายแล้ว งานนี้จะออกมารุนแรงเหมือนสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ประกาศทำสงครามกับยาเสพติดหรือไม่ เพราะในครั้งนั้นมีการกำหนดตัวเลือกให้ผู้ขายตัดสินใจว่าจะไปจบชีวิตในคุกหรือวัด ซึ่งแม้จะได้ผลในเชิงปฏิบัติ คือยาเสพติดลดลงฮวบฮาบ แต่ก็มีผู้ต้องสังเวยชีวิตจากการฆ่าตัดตอนไปมากกว่า 2,000 ศพเลยทีเดียว
แน่นอนว่า ทันทีที่เกิดประเด็นนี้ขึ้นมา รัฐบาลก็ออกมาประกาศทันทีว่า ไม่มีทางเพราะรัฐต้องใช้หลักนิติธรรมเข้ามาจัดการปัญหา แต่สำหรับอรุณในฐานะที่ทำงานในพื้นที่กลับกังวลในเรื่องนี้ไม่น้อย
“ผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนะ คือผมเชื่อว่าคงไม่ได้รุนแรงเหมือนสมัยก่อน เพราะรัฐบาลมีนโยบายบริหารที่ต่างกัน แต่ก็ยอมรับตรงๆ ว่าก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน ก็เพราะคนที่รับนโยบายไปทำก็คือตำรวจเหมือนเดิม”
ทว่าในสายตาของ รศ.ดร.เดชา สังขวรรณ คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาอาชญาวิทยาและกระบวนการยุติธรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลับแสดงว่าความมั่นใจว่า ปฏิบัติการทั้ง 2 ครั้งจะแตกต่างกันอย่างแน่นอน เพราะนโยบายในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณมีความชัดเจนกว่ามาก
แต่ปัญหาอยู่ที่ก็คือ ความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย ทำให้ไม่สามารถจัดการกับแหล่งผลิตในต่างประเทศได้ จับได้แต่ผู้ค้ารายย่อย ทำให้มีการประเมินตั้งแต่แรกแล้วว่า ยาเสพติดจะกลับมาระบาดอีก ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
“ยุทธศาสตร์การลดการเสพก็ไม่ได้ผล ตอนนั้นอาศัย พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 เน้นการฟื้นฟูผู้เสพซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องมีการทบทวนการใช้มาตรการการบำบัดรักษาเหมือนกัน เพราะว่าไม่ได้ผล เนื่องจากผู้เสพถูกบังคับบำบัด เมื่อหายแล้วก็ไม่มีความผิด ซึ่งในทางปฏิบัติถือว่าไม่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง เพราะผู้เสพอาจจะงดการเสพไปได้พักหนึ่ง แต่ก็จะกลับมาเสพอีก จำนวนผู้เสพก็เพิ่มมากขึ้น
“ข้อได้เปรียบอีกประการคือยุคนั้นสามารถรวมพลังเป็นภาคีทางสังคมได้เกือบทุกภาคส่วน โดยเฉพาะหน่วยงานต่างๆ ในระดับพื้นที่ มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดในทุกจังหวัด และชุมชนพื้นที่ตอนนั้นยังมีความเป็นเอกภาพค่อนข้างสูงจึงมีความร่วมมือกันได้ และรัฐบาลก็ให้อำนาจแก่กับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ซึ่งบางทีก็มากเกินไป จนนำไปสู่ปัญหาการตัดตอน”
ขณะที่นโยบายปราบปรามยาเสพติดในยุคอภิสิทธิ์ กลับไม่มียุทธศาสตร์และอำนาจที่ให้แก่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ชัดเจน ขาดการบูรณาการหน่วยงานต่างๆ เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อผนวกกับสภาพความแตกแยกของสังคม การประสานความร่วมมือจึงอาจเป็นเรื่องยาก
….......
เมื่อรูปเกมออกมาเช่นนี้ คำถามที่ว่ากันว่า ก็คือสุดท้ายสิ่งที่ทำออกมาจะมีความยั่งยืนสักเพียงไหนกันแน่ เพราะนี่อาจจะเป็นแค่จุดกระแสในยามที่รัฐบาลถูกตั้งคำถามถึงเรื่องศักยภาพในช่วงใกล้เลือกตั้ง จึงต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำได้แน่ๆ (แต่ไม่ยอมทำ) ออกมา เพื่อกระตุ้นคะแนนเสียงและเรียกความเชื่อมั่นกลับมา
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ คนที่เสียประโยชน์ที่สุด คงหนีไม่พ้นประชาชนที่ต้องตกอยู่ในเกมของอำนาจอย่างไม่รู้ตัวซ้ำแล้วซ้ำอีก
>>>>>>>>>>>
………
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK


