'รถติด (แหง็ก)' 'หงุดหงิด (โว้ย)' 'น่ารำคาญ (ชะมัด)' 'ประท้วงอะไรกันนักหนา (วะ)'
น้ำเสียงทำนองนี้ มักลอยเข้าหูอยู่เนืองๆ เมื่อมี 'ม็อบ' หรือการเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองของประชาชน ที่มีเหตุให้ต้องยกขบวนกันมากดดันรัฐบาลไม่ว่าชุดไหนๆ ด้วยจำนวนมวลชนคนในม็อบที่มีนับตั้งแต่หลักร้อยบ้าง พันบ้าง หมื่นบ้าง กระทั่งเพิ่มปริมาณเข้าสู่หลักหลายหมื่นในปัจจุบัน
แต่นอกจากความหงุดหงิดรำคาญใจจากคนกรุงส่วนหนึ่ง ย่อมปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน ว่ายังมีคนกรุงอีกไม่น้อยที่มองสารพัดม็อบด้วยท่าทีที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระยะเวลาเพียงไม่ถึงกึ่งทศวรรษที่ผ่านมา เมื่อกรุงเทพมหานคร กลายเป็นศูนย์กลางการเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองอย่างเต็มรูปแบบของมวลชนมหาศาล
บางความเห็นของคนกรุง
มิพักต้องย้อนไปไกล ร่นเวลากลับมาเพียงช่วงรอยต่อของม็อบสมัชชาคนจน ม็อบปากมูน
ม็อบบ้านกรูด-บ่อนอก หรือบรรดาม็อบที่เหล่าเกษตรกรหลากหลายกลุ่มเรียกร้องให้รัฐประกันราคาพืชผล กระทั่งถึงยุคที่ทั่วทั้งกรุงคลาคล่ำไปด้วยสีเหลือง สีแดง เต็มถนนราชดำเนิน ใน พ.ศ. ปัจจุบัน
กล่าวได้ไหมว่า แม้ไม่ได้เป็นผู้เล่นหลักบนเวทีที่เต็มไปด้วยการปะทะความคิดทางการเมือง แต่ 'คนกรุงเทพฯ' ย่อมเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่อาจแยกขาดจากทุกการเรียกร้องเคลื่อนไหวในแต่ละครั้งที่ผ่านมา
เมื่อเป็นส่วนหนึ่งของ 'เวที' ที่ใครๆ ก็มักกระโดดลงมาเล่นโดยไม่ถามไถ่ จึงน่าสนใจว่า ท่ามกลางการเคลื่อนไหวและข้อเรียกร้องที่แตกต่าง รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในปัจจุบัน คนกรุงเทพฯ มอง 'ม็อบ' ด้วยสายตาแบบใด?
ถ้อยความเหล่านี้ คือบทบันทึกจากบางความเห็น
เริ่มด้วย วลัยพร แสวงวิทย์ แม่ค้าผลไม้วัย 65 ปี ที่อาศัยอยู่บริเวณถนนข้าวสารมาทั้งชีวิต
“บอกตรงๆ ว่าเบื่อ ไม่อยากให้มีม็อบ เพราะเดินทางไปไหนก็ลำบาก พอมีม็อบชาวต่างชาติก็ไม่อยากเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย แถมขายยังขายไม่ค่อยได้ด้วย” วันนี้วลัยพรตั้งแผงขายผลไม้ตามปกติเหมือนเช่นทุกวัน แต่ที่ไม่ปกติคือ เสียงจากเวทีชุมนุมที่ดังก้องผ่านลำโพงขยายเสียงขนาดใหญ่แทบจะตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้หนวกหู ถึงขั้นนอนไม่ค่อยหลับ นอกจากนั้น การชุมนุมที่ส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาตในถนนหลายสาย ก็สร้างความลำบากให้เธอในช่วงที่ต้องเดินทางไปซื้อของ
“รถติดมาก ปกติจะไปซื้อของที่ตลาดมหานาคกับสถานีรถไฟบางกอกน้อย ตอนนี้ไปซื้อของทีต้องจ่ายค่ารถแพงขึ้น คนขับรถบอกว่าต้องเลี่ยงเส้นทางที่มีการชุมนุม ก็เลยต้องใช้เส้นทางอื่นที่ไกลกว่าเดิม”
วลัยพรชี้ให้เห็นความแตกต่างของการชุมนุมในสมัยอดีตกับการชุมนุมในสมัยปัจจุบันว่า
ม็อบในสมัยอดีตจะใช้เวลาชุมนุมไม่ยาวนานเหมือนม็อบสมัยปัจจุบัน ครั้นจะให้แม่ค้าวัย 65 ปี นำความเดือดร้อนที่ได้รับจากการชุมนุมไปร้องทุกข์กับนายกฯ ก็คงไม่เป็นผลนัก เธอจึงทำได้เพียงกล่าวเตือนกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่พบเจอว่า
“ให้เลิกชุมนุมเสียที!”
ความเดือดร้อนจากม็อบของวลัยพร แทบไม่ต่างจาก อำนาจ หาญลิขิต มนุษย์เงินเดือนที่มีออฟฟิศตั้งอยู่บริเวณถนนประชาธิปไตย เมื่อมีการชุมนุมที่ทำให้ต้องปิดถนนละแวกนั้น หรือหากมีม็อบบุกทำเนียบรัฐบาล เขาต้องเปลี่ยนเส้นทางในการเดินทางมาทำงานและกลับบ้าน
“ต้องเลี่ยงไปใช้ถนนเส้นอื่นทำให้เสียค่าโดยสารเพิ่มจากช่วงปกติ แถมเสียเวลา แต่ทำไงได้ล่ะ เราก็ต้องปรับตัว” แต่ถึงแม้จะได้รับความเดือดร้อนจากม็อบอยู่ไม่น้อย กระนั้น ความรู้สึกลึกๆ ของอำนาจที่มีต่อการชุมนุมทั้งหลายแหล่ที่ประสบพบเจอมาก็คือ 'เฉยๆ' ทั้งให้เหตุผลว่า
“เป็นสิทธิ์ของผู้ชุมนุมที่ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ ตราบใดที่ชุมนุมกันอย่างสงบ ก็ทำไปเถอะ”
ส่วนคนที่มีบ้านอยู่ในพื้นที่การชุมนุม อย่าง สุรีย์ เพชรฤกษ์วงศ์ สาวชาวกรุง ที่เกิดและเติบโตอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ บริเวณถนนราชดำเนิน ซึ่งตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมานั้น ทุกการชุมนุมที่เกิดขึ้น ฝังอยู่ในการรับรู้ของเธออย่างครบถ้วน
“เราเห็นการชุมชุมมาตลอด แต่เราก็ไม่ได้มีทัศนคติไม่ดีกับพวกเขานะ ไม่เคยไปทำอะไรหรือต่อว่าพวกเขาแรงๆ เลย คือถ้าเป็นครั้งแรกๆ ที่เห็น เราก็จะกลัว อาจจะเป็นเพราะเรายังเด็กด้วย ตอนนั้นทหารเดินไปเดินมาในซอยบ้านเราเต็มเลย คือตอนเด็กๆ เนี่ย เวลาได้ยินข่าวม็อบ เราก็ไม่เข้าใจหรอก ไม่รู้ว่าเขามาทำไมกัน รู้แต่ว่า รถมันจะติดมากขึ้น และชีวิตประจำวันของเราก็จะไม่ปกติเหมือนเมื่อก่อน และเมื่อก่อนมันมีเรื่องของความรุนแรงมากกว่าตอนนี้นะ แต่พอเราโตขึ้นมา ได้รับข้อมูลข่าวสารอะไรมากขึ้น มันก็เข้าใจกระบวนการอะไรมากขึ้นนะ และก็คิดว่าการชุมนุมในปัจจุบัน ดูไม่แรงเหมือนเมื่อก่อนนะ มันไม่ค่อยมีความรุนแรง เราก็รับได้ แล้วก็เข้าใจ”
ซึ่งประเด็นเรื่องความเข้าใจนี้ สุรีย์ขยายความต่อว่า
“การที่บอกว่าเข้าใจมากขึ้น ก็ไม่ได้แปลว่าเข้าใจไปเสียทุกอย่างนะ คือเราก็รู้แหละว่าเขาจำเป็นต้องเข้ามา ก็มีบ้างนะ ที่ชีวิตประจำวันของเราเปลี่ยนไปเพราะม็อบ แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของวิธีการทางประชาธิปไตย แต่ก็ไม่อยากให้มันมากเกินไป หรือเลยเถิดเกินไป”
ทั้งยังฝากทิ้งท้ายว่า ในความเห็นของเธอ มองว่าคนกรุงไม่ได้มีปัญหากับข้อเรียกร้องของม็อบ ว่าเขาจะต้องการอะไร แต่คนกรุงจะสนใจพฤติกรรมของม็อบมากกว่า ว่าจะส่งผลกระทบอะไรต่อชีวิตหรือเปล่า
“คือถ้ามันส่งผล ก็อาจจะไม่พอใจแหละ แต่ถึงยังไงก็คงรับได้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตยอยู่แล้ว สมมติเราเกิดต้องการจะเรียกร้องอะไรบางอย่างขึ้นมา เราก็ต้องออกมาเดินขบวนอย่างเขาเหมือนกัน”
เสียงจากแกนนำชาวบ้าน
นอกจากความเห็นของคนกรุงแล้ว เสียงจาก 'แกนนำ' ม็อบ ที่มีต่อทีท่าของคนกรุง ก็นับเป็นทัศนะที่น่ารับฟังไม่น้อยไปกว่ากัน เช่นที่ กรณ์อุมา พงศ์น้อย ประธานกลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก-กุยบุรี ได้สะท้อนถึงประเด็นม็อบกับคนกรุง ว่า
“เราก็เคยเจอนะ แต่ก็ไม่ได้เยอะมากมาย เช่น เขาขับรถผ่านแล้วก็ตะโกนเข้ามาต่อว่าพวกเราว่าเป็นพวกโง่ พวกควาย เป็นพวกม็อบรับจ้าง ทั้งที่การที่เราเข้ามานั้น มันก็เป็นการเรียกร้องในเรื่องที่เกี่ยวกับความเดือดร้อนของพวกเรา ซึ่งมันเป็นวิถีทางหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย มันเป็นสิทธิของเรา และสิ่งที่เราเรียกร้องก็เป็นเรื่องของประโยชน์ส่วนรวมด้วย ตอนนั้นก็ประมาณปี 2543 – 2544 แต่ต่อมา พวกเราก็พิสูจน์ตัวเอง จนได้รับการยอมรับในที่สุด”
นอกจากนั้น ด้วยประสบการณ์การเข้ากรุงมาชุมนุมหลายต่อหลายครั้งในประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม ทำให้เธอมองเห็นว่า ความเข้าใจของคนกรุงที่มีต่อม็อบ มีแนวโน้มที่ค่อนข้างดีขึ้นกว่าสมัยแรกๆ ทั้งสะท้อนไปถึงวงการสื่อสารมวลชนด้วย
“อย่าว่าแต่ชาวบ้านในกรุงเทพฯ เลย เมื่อก่อน สื่อมวลชนยังแอนตี้พวกเราเลย แต่ตอนนี้ไม่แล้วนะ เมื่อก่อนมันอาจจะเป็นเรื่องทัศนคติของคนในกระแสหลัก ที่พอเห็นคนมาชุมนุมกัน เขาจะตีความว่าเป็นม็อบรับจ้างไปเสียทั้งหมด แต่ถึงที่สุดแล้ว ถ้าคนที่มาชุมนุมยืนยัน ก็จะได้รับการยอมรับว่าเราเป็นม็อบที่ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง
“กระทั่งเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคน ก็ยังเชื่ออย่างนั้นอยู่ ตอนนั้นน่าจะเป็นการโดนกล่าวหาครั้งแรกๆ เลยซึ่งเราก็ไม่ยอมนะ เราบอกว่าต้องมาขอโทษ เพราะเราไม่ได้เป็นขบวนที่เกิดจากการจ้าง แต่เป็นขบวนที่เกิดจากการรวมตัวของผู้เดือดร้อนจริงๆ และเราก็ต้องเข้าใจว่าการที่คนกรุงเทพฯ ที่คิดว่าเรามาทำความเดือดร้อนให้เขานั้น อาจจะมีฐานในการมองโลกต่างจากเรา เขาอาจจะมองว่า การพัฒนาเป็นเรื่องของความเจริญ ซึ่งมันอาจจะเกิดมาจากการฟังความข้างเดียว ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าม็อบรับจ้างมันก็มีอยู่จริง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นแบบนั้น”
ถึงวันนี้ กรณ์อุมาเชื่อว่า คนกรุงมีทัศนคติที่เข้าใจการชุมนุมมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน กระนั้น เธอก็ทิ้งท้ายอย่างให้แง่คิด
“แต่การที่คนเขาไม่ว่าม็อบ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเห็นด้วยเสมอไป อย่างบางขบวนที่มีท่าทางเกกมะเหรกเกเร คนเขาก็จะไม่กล้าเข้าไปต่อว่าหรอก เพราะเขากลัว เขาสยอง แต่สุดท้ายเขาก็ไปว่าลับหลังอยู่ดี”
คนกรุงคือใคร ใครคือคนกรุง?
ท้ายที่สุด คงเป็นการไร้ความรับผิดชอบและเหมารวมเกินไป ถ้าเราจะเอ่ยอ้างถึง 'คนกรุง' ไว้ในที่นี้ แต่ไม่อธิบายนิยามความหมายหรือขอบเขตของพวกเขา ว่า แท้จริงแล้ว 'คนกรุง' ที่ว่านี้ คือใครกันแน่?
เก่งกิจ กิติเรียงลาภ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้สังเกตการณ์และศึกษาบริบทของม็อบในเมืองไทยอย่างแตกฉานคนหนึ่ง ให้นิยามความหมายของคนกรุงได้อย่างน่าสนใจ
“เวลาที่เราพูดถึงคำว่า 'คนกรุง' มันมีความหลากหลายและมีความซับซ้อน ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกัน เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถพูดถึงคนกรุงที่เป็นเจ้าของกิจการ เป็นชนชั้นกลาง และคนกรุงที่อยู่ในสลัม หรือคนกรุงที่เป็นคนงานได้อย่างเหมารวมว่า 'เหมือนกัน' ”
แต่ถ้ามองในความหมายโดยรวมที่สื่อมวลชนมักเอ่ยอ้างถึง เก่งกิจเห็นว่า นัยของคำดังกล่าว คงหมายถึงชนชั้นกลาง คือคนที่เป็นผู้ประกอบการ เป็นเจ้าของร้านค้า
“และการที่สื่อแสดงนัยว่า คนกรุงเป็นชนชั้นกลาง ก็เพราะมองความเฉพาะตัวของฐานอาชีพ และพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ซึ่งต่างจากคนที่เป็นคนงานในกรุงเทพฯ ต่างจากคนที่เป็นแม่ค้ารถเข็น หรือคนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ซึ่งแต่ละกลุ่มต่างก็มีฐานทางผลประโยชน์และวิถีทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันไป เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ จึงย่อมมีความคิดที่แตกต่างกันในแต่ละม็อบ
“เช่น 'ม็อบพันธมิตรฯ' ฐานของม็อบพันธมิตรคือชนชั้นกลาง ซึ่งก็คือคนที่เป็นเจ้าของกิจการ และเป็นคนที่มีอันจะกินในระดับหนึ่ง ส่วน นปช. หรือ ม็อบหินกรูด-บ่อนอก หรือม็อบอะไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าจะเป็นม็อบของชนชั้นล่าง หรือคนที่มีสถานะทางเศรษฐกิจที่ด้อยกว่า แล้วก็ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงสถานะทางเศรษฐกิจของตนเอง ไม่พอใจโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ไม่พอใจนโยบายรัฐ หรือโครงสร้างทางสังคม ที่มีอยู่ในปัจจุบัน”
นั่นเป็นนัยที่แสดงผ่านสื่อ ดังนั้น ในความเห็นของเก่งกิจ คำว่า 'คนกรุง' จึงไม่สามารถจะมองคนเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะคนกรุงเทพฯ มีอยู่หลากหลายกลุ่ม และมีผลประโยชน์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งนั่นก็ย่อมนำไปสู่วิธีคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วย
แต่นอกจากให้นิยามความหมายของคนกรุงแล้ว เก่งกิจ ยังสะท้อนถึงกระดับการเรียกร้องทางการเมืองที่แตกต่างจากเดิม
“เมื่อก่อน ม็อบสมัชชาคนจน จะเดินไปที่กระทรวงเกษตรฯ เดินไปที่ทำเนียบฯ แต่ในปัจจุบัน ม็อบไม่ได้เดินไปแค่ที่ทำเนียบฯ หรือกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ แต่เดินไปที่กองทัพ ซึ่งนี่อาจเป็นการแสดงให้รู้ว่า ปัญหาอยู่ที่กองทัพหรือเปล่า? ประชาชนเริ่มไม่พอใจกองทัพงั้นหรือ ทำไม? ”
ในสมัยก่อน คนที่เราเรียกว่า 'คนจน' อาจมีปัญหาเรื่องคัดค้านเขื่อน เรื่องที่ดิน แต่ทำไม ปัจจุบัน เขาจึงรู้สึกว่ากองทัพเป็นปัญหา ซึ่งเหล่านี้ เก่งกิจมองว่า อาจจะเป็นการยกระดับของการแสดงนัยทางการเมืองขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
สุดท้าย เก่งกิจ สะท้อนความเห็นที่มีต่อชนชั้นกลาง และม็อบ ได้อย่างน่าสนใจ
“สถานการณ์ในปัจจุบัน ผมมองว่า คนกรุงเทพฯ อาจจะเห็นว่า มันยังไม่ใช่ช่วงที่กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน เขายังไม่รู้สึกว่าเขากำลังมีภัยที่ใกล้ตัว ถึงแม้จะมีรถติด เพราะฉะนั้น แนวโน้มที่จะสนับสนุนเรียกร้องให้รัฐใช้ความรุนแรงปราบม็อบ มันก็ยังไม่มากเท่ากับสงกรานต์ปีที่แล้ว
“ถ้าเรามองดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ชนชั้นกลางไม่ว่าในกรุงเทพฯ หรือที่ใดก็ตาม ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ หรือเจ้าของกิจการนั้น ไม่ได้ปฏิเสธการมีม็อบโดยธรรมชาติ แต่เขามองว่าม็อบเหล่านั้น ต้องเป็นม็อบที่ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนทางโครงสร้างเศรษฐกิจ”
ในความเห็นของเก่งกิจ ชนชั้นกลางรู้สึกว่ามีม็อบได้ ถ้าม็อบนั้นเงียบสงบ ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน
“พูดอย่างง่ายที่สุด คนชั้นกลางก็คือกลุ่มคนหรือชนชั้นที่ปกป้องโครงสร้างทางเศรษฐกิจ หรือโครงสร้างอำนาจรัฐแบบคอนเซอเวทีฟ นี่เป็นปรากฏการณ์ทั่วโลก”
………..
ถึงที่สุด เหล่านี้เป็นเพียงบางเสียงที่คนกรุงมีต่อม็อบ แกนนำม็อบมีต่อคนกรุง และคนกรุงวิพากษ์คนกรุงด้วยกันเอง
………..
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK