xs
xsm
sm
md
lg

ม็อบ VS ทหาร ปฏิบัติการจิตวิทยา : สงครามไร้กระสุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


การเผชิญหน้าระหว่างผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กับทหารของหน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาที่หน้ากรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ หรือ ราบ 11 ที่ทำเอาทั้งผู้ชุมนุมและทหารต่าง 'ม่วนคัก ม่วนแน' กันถ้วนหน้า บางสำนักข่าวบอกว่า บรรดาแกนนำพอเจอไม้นี้ถึงกับ ‘ไปไม่เป็น’

นับเป็นภาพที่เห็นไม่บ่อยนัก ขณะเดียวกัน ก็เป็นการเปิดมิติของหลักสันติวิธีให้ก้าวสู่การรับรู้แก่สังคมวงกว้าง ทั้งควรเป็นแบบอย่างแก่เจ้าหน้าที่รัฐหน่วยอื่นๆ ได้ลองนำไปปรับใช้ เพื่อการเข้าถึงมวลชน เช่นที่ นารี เจริญผลพิริยะ หัวหน้าโครงการสันติอาสาสักขีพยาน ให้ความเห็นไว้ ในฐานะผู้สังเกตการณ์การชุมนุมอย่างใกล้ชิด ทั้งเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้เห็นการปฏิบัติหน้าที่ของ ปจว. ที่กรมทหารราบ 11 กล่าวว่า

“เฉพาะที่ดิฉันได้เห็นที่กรมทหารราบ 11 ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ทำได้ดีมาก มีการเปิดเพลงให้ผู้ชุมนุมได้ยินกันอย่างทั่วถึง อย่างเพลงที่ดิฉันได้ยินตอนแรกที่เดินเข้าไปคือเพลงบรรเลง ซึ่งช่วยทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นมาก แล้วเมื่อผู้ชุมนุมมากันเยอะขึ้น ก็เปลี่ยนเป็นเพลงอีสาน”

แต่ในประวัติศาสตร์ม็อบและการเมืองที่ผ่านมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการใช้เครื่องมือทางจิตวิทยาเข้าช่วย เพียงแต่รูปแบบที่ใช้อาจจะไม่ได้มาจากทหาร แต่มาจากนักการเมืองเอง

ครั้งนี้จึงถือเป็นการใช้หน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาของทหารที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่ง ซึ่งนักเคลื่อนไหวภาคประชาชน รวมถึง นปช. ก็คงต้องนั่งสุมหัวกันแล้วว่า ในอนาคตจะรับมืออย่างไร ไม่อย่างนั้น การชุมนุมจะกลายเป็นการสังสรรค์หมู่ไป และข้อเรียกร้องก็คงถูกเพิกเฉย

-1-

“แรกเริ่มเดิมที ทหารที่ทำการปฏิบัติการจิตวิทยานั้น ตั้งขึ้นเป็นชุดปฏิบัติการ เมื่อปี 2509 โดยเป็นหน่วยของทหารสื่อสาร แต่ต่อมาก็ตั้งขึ้นเป็นกองพันเมื่อปี 2513 เพราะกองทัพบกเล็งเห็นความสำคัญของการปฏิบัติการจิตวิทยา ซึ่งภารกิจหลักของเราก็คือ การใช้จิตวิทยาทำงานให้กับกองทัพ ในปี 2513 เป็นการต่อสู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับลัทธิการปกครองเป็นหลัก เป็นการสร้างความเข้าในให้เกิดขึ้น และสร้างให้ประชานมาร่วมสนับสนุนงานของกองทัพ”

พันโทกอสิน กัมปนยุทธ์ ผู้บังคับกองพันปฏิบัติการจิตวิทยา (ปจว.) กรมรบพิเศษที่ 2 หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ กล่าวถึงความเป็นมาคร่าวๆ ของการจัดตั้งกองพันและขอบเขตของภารกิจ ซึ่งการรับมือกับม็อบที่ราบ 11 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปอย่างสวยงามนั้น เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะในยามที่บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะสงคราม กองพัน ปจว. ยังมีหน้าที่ในการทำสงครามจิตวิทยาพ่วงมาอีกด้วย

“ในภาวะสงคราม เราก็ต้องทำสงครามจิตวิทยา ซึ่งในภาวะการรบที่ทหารของข้าศึกกับทหารฝ่ายเราวางกำลังประจันหน้ากัน ปจว. จะต้องทำให้ขวัญและกำลังใจของทหารฝ่ายเราดี และขวัญของข้าศึกลดน้อยถอยลง จนถึงขั้นยอมแพ้ ยอมจำนน โดยไม่ต้องมีการรบให้เสียเลือดเนื้อ ไม่มีกระสุนปืนหลุดออกจากปลายกระบอกปืน นั่นเป็นงานของเราในภาวะสงคราม”

พันโทกอสินกล่าวอีกว่า ในการทำปฏิบัติการจิตวิทยานั้น ต้องทำทั้งก่อนเกิดสถานการณ์ ระหว่างสถานการณ์ และหลังสถานการณ์ ปฏิบัติการนั้นๆ จึงจะได้ผลทั้งหมด ซึ่งในปัจจุบัน คนอาจจะมองว่า งานปฏิบัติการจิตวิทยามีความหมายทางลบ เพราะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ชักจูงโน้มน้าว แต่ความเป็นจริงแล้วมันคือการชี้แจงทำความเข้าใจ

“ขั้นตอนในระหว่างสงครามนั้น อาจจะมีการทิ้งใบปลิวแจ้งข่าวสารลงไปยังฝ่ายตรงข้าม ให้เขายอมจำนนในเนื้อความของปฏิบัติการจิตวิทยา หรืออาจจะมีวิธีการอื่นๆ เกิดขึ้น ซึ่งแล้วแต่สถานการณ์ในครั้งนั้นๆ พูดง่ายๆ ว่า เป็นการทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกองทัพนั่นเอง อีกอย่าง ในการรบ บางครั้งคนที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดก็คือ คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น กรณีนี้งานของหน่วยปฏิบัติการจิตวิทยา ก็คือการทำความเข้าใจกับประชาชนถึงสิ่งที่กองทัพกำลังปฏิบัติ เป็นการชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจและอยู่ฝ่ายเรา”

ซึ่งภาระกิจโดยรวมของ ปจว. นั้น อาจจะเรียกได้ว่าเป็นทั้งหน่วยรบและโฆษณาในคราวเดียวกัน

-2-

ดังที่บอก การเล่นเกมจิตวิทยาไม่ใช่เพิ่งมี แต่มีมานานคู่กับสังเวียนการเมืองไทย ไม่ต้องย้อนเวลากลับไปไกล ช่วงก่อนที่ นปช. จะชุมนุมใหญ่ ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่ถูกโหมโดยรัฐบาล จนทำให้เกิดความหวาดกลัวทั่วหน้า สร้างผลไม่น้อยต่อภาพลักษณ์ของ นปช. ขณะเดียวกัน นปช. เองก็ใช้ข่าวเป็นเครื่องมือไม่แพ้กัน

สุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ผู้คร่ำหวอดในการชุมนุมและการรเคลื่อนไหวภาคประชาชนมานาน เล่าว่า

“ผมเคยเจอสมัยที่ร่วมต่อสู้กับองค์กรภาคประชาชนและสมัชชาคนจน เช่น ตอนที่มากดดันอยู่หน้าประตูทำเนียบ 99 วัน อยู่ๆ คุณบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี ก็มาขึ้นเวทีโดยที่เราไม่รู้ตัว ตอนนั้นผมเป็นเลขาธิการศูนย์ประสานงานนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) คืนหนึ่งประมาณ 2 ทุ่ม อยู่ๆ คุณบรรหารเดินขึ้นมาบนเวที ซึ่งไม่ได้มีการนัดหมายเลย ไม่มีใครทราบมาก่อน

“เราก็ตะลึง แล้วคุณบรรหารก็ปราศรัยจนชาวบ้านชอบใจมาก ตบไม้ตบมือ จนเกือบจะลืมปัญหาของตัวเองไปเลย นายกฯ ใจดีนี่หว่า ไม่ได้เป็นอย่างที่แกนนำว่านี่หว่า คือมาแบบเป็นกันเอง พอปราศรัยเสร็จก็เดินไปเยี่ยมชาวบ้านกลุ่มนั้นกลุ่มนี้”
สุริยะใสบอกว่า คืนนั้นทางแกนนำก็ต้องแก้เกมด้วยการให้ชาวบ้านยื่นข้อเรียกร้องแก่นายกฯ ต่อหน้าสื่อมวลชน และให้ข่าวทำนองว่าเรียกร้องมาตั้งนาน แต่ยังไม่มีผู้เกี่ยวข้องคนใดลงมาดูแล

“หรือในช่วงพันธมิตรฯ เช่น อยู่ๆ มีคนติดต่อมาว่าคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะมาคุยกับแกนนำที่ม็อบ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ถึงขั้นมาวนเวียนอยู่ใกล้ที่ชุมนุมแล้ว ทางนั้นก็ไปปล่อยข่าว โดยที่เรายังไม่รู้เรื่องเลย ครั้นจะไปปฏิเสธทันทีทันควันก็ไม่ได้ เราจึงใช้วิธีตั้งคำถามกลับว่า ถ้ามาแล้วไม่แก้ปัญหาก็ไม่รู้ว่าจะมาทำไม ข้อเรียกร้องเราก็ชัดอยู่แล้ว เราก็ชิงอธิบาย”

เป็นการชิงไหวชิงพริบกันในเกมจิตวิทยาและการเมืองที่ต่างฝ่ายต่างต้องชิงความได้เปรียบในสถานการณ์

จากการรายงานของช่างภาพของ ASTV ผู้จัดการรายวัน ที่อยู่ในสถานการณ์ ก็เล่าว่า การปฏิบัติการครั้งนี้ ใช่ว่าจะโรแมนติกหรือดราม่าทุกกระเบียด เพราะมีทั้งช่วงกล่อมประสาทและปั่นประสาทแทรกเป็นระยะ เช่น ขณะที่แกนนำปราศรัย ทหารก็จะพูดแทรกขึ้นเป็นระยะๆ มีการขออนุญาตแทรกบ้าง ทักทายคนปราศรัยบ้าง จนผู้ชุมนุมบางส่วนไม่พอใจ แกนนำบางคนถึงกับสะกดอารมณ์ไม่อยู่เมื่อเจอสงครามประสาทแบบนี้

ถึงแม้ว่าการรับมือกับม็อบครั้งที่ผ่านมาจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่อาจจะมีหลายคนสงสัยว่า ถ้าผู้ชุมนุมเป็นกลุ่มคนที่มีความเชื่อแบบสุดขั้วกว่านี้ ทาง ปจว. จะมีวิธีการอย่างไร

“ถ้าฝ่ายตรงข้ามมีขวัญและกำลังใจที่ดี เราก็ต้องใช้หลักธรรมชาติ คือการชี้แจงซ้ำๆ ชี้แจงงบ่อยๆ ต้องใช้ลูกตื๊อ เหมือนกับเราไปจีบสาวสักคน ครั้งแรกเขาอาจจะไม่ชอบเรา แต่ต่อมาก็ต้องคิดกันแหละครับว่าจะทำยังไงต่อไป สาวคนนี้เขาชอบไม่ชอบอะไร และต้องพูดจาแบบไหนเขาจึงจะชอบ หรืออาจจะคิดทางอื่นๆ เช่น ต้องไปเข้าทางพ่อทางแม่เขาหรือไม่ มันต้องมีกลยุทธ์ แต่ละกรณีไม่เหมือนกัน ที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้หวังว่าจะชนะไปเสียทั้งหมด คนที่ฟังเราอาจมีส่วนหนึ่งที่รับฟังและเอาไปคิดตาม และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือผู้พูดจะต้องเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย”

แต่ถ้าหากทางหน่วยเจอผู้ชุมนุมที่ฮาร์ดคอร์ ที่ตั้งใจใช้กำลังเข้ามาห้ำหั่นตั้งแต่ต้น ผู้บังคับกองพันปฏิบัติการจิตวิทยาก็บอกว่าคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยอื่นเข้ามาทำงานแทน

“โดยธรรมชาติแล้ว ไม่น่าจะมีม็อบที่ตั้งใจยกกำลังเข้ามากระทำแล้วจากไปเลยนะ อย่างนั้นมันไม่ใช่ม็อบ แต่อาจจะเรียกว่าเป็นการปฏิบัติการอย่างอื่นมากกว่า เพราะม็อบจะมีขั้นมีตอน เริ่มต้นจากการมีคนมารวมตัวกันก่อน มีการปลุกระดม ซึ่งในขั้นตอนเหล่านี้เราก็ต้องพยายามเข้าไปชี้แจงเพราะเป็นงานของเรา แต่ถ้ามีการใช้กำลังเกิดขึ้น ก็ต้องใช้วิธีการของหน่วยอื่นแทน”

-3-

อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติการจิตวิทยาหนนี้ต้องถือเป็นเรื่องดีและควรได้รับคำชม นารีถือว่าเป็นการ 'ลดความร้อนด้วยความเย็น' แปรเปลี่ยนอารมณ์ของผู้ชุมนุมที่คุกรุ่นให้เย็นลงและผ่อนคลายขึ้น เมื่อได้พบกับท่าทีที่เป็นมิตรของเจ้าหน้าที่ ซึ่งนารีเห็นว่าเป็นมิติใหม่ตามแนวทางสันติวิธีที่เจ้าหน้าที่รัฐควรให้ความสำคัญ
 
“ถามว่า ถึงขั้นต้องยึดเป็นบรรทัดฐานเลยไหม ยังไม่อยากพูดถึงขั้นนั้น เพราะในแต่ละสถานการณ์ แต่ละห้วงเวลา ก็ย่อมต้องมีวิธีการรับมือที่เหมาะกับสถานการณ์นั้นๆ แต่ดิฉันเห็นว่า สิ่งสำคัญที่เราน่าจะเรียนรู้จากปฏิบัติการทางจิตวิทยาของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้ก็คือ ควรจะมองผู้ชุมนุมอย่างเป็นมิตร เพราะเมื่อเมื่อเราเกิดความรู้สึกที่เป็นมิตรต่อกัน ก็ย่อมนำไปสู่การเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหา เพื่อหาทางออกของปัญหาร่วมกัน”

แต่นอกจากรับมือด้วยวิธีการแบบสันทนาการที่เน้นความบันเทิงแล้ว การกดดันทางจิตวิทยาในรูปแบบที่ตรงข้ามกับการเปิดเพลงเพราะๆ ให้ฟัง ก็ใช่ว่าจะไม่มี ดังที่นารีแสดงทัศนะเกี่ยวกับจิตวิทยาแบบ 'ใช้แรงกดดัน' ว่า

“วิธีการกดดันของรัฐในช่วงนี้ยังไม่เห็นค่ะ แต่จะมีอยู่ในช่วงแรกๆ ของการชุมนุม ที่มีการนำเสนอข่าวของจำนวนเจ้าหน้าที่ว่ามีกี่กองร้อย มีการนำเสนอถึงความพร้อมในการรับมือ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มองได้หลายแง่ เช่น ถ้าเป็นคนทั่วไปที่ไม่เกี่ยวกับการชุมนุม เมื่อเห็นภาพการเตรียมการก็คงรู้สึกว่ารัฐมีความพร้อมในการรับมือ แต่ถ้าเป็นกลุ่มผู้ชุมนุมเอง เมื่อได้เห็นก็คงเกิดความกดดัน”

ขณะที่สุริยะใสก็กล่าวชื่นชมการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทหารในครั้งนี้ แต่เขายังมองต่อด้วยว่า คงไม่สามารถใช้วิธีการเช่นนี้ได้บ่อยครั้ง เพราะแกนนำก็คงต้องเรียนรู้จากประสบการณ์เช่นกันว่าจะรับมืออย่างไร ซึ่งในความเห็นของเขา หากต้องเจอสถานการณ์นี้...

“ผมว่าต้องปล่อยให้ทหารพูดไปสักระยะหนึ่ง ไม่ต้องตอบโต้ การพูดไปนานๆ สักระยะหนึ่งมวลชนจะรู้เองว่าเป็นจิตวิทยาแย่งชิงมวลชน เขาก็อาจจะไม่ให้ความสำคัญ แต่ถ้าเราไปตอบโต้ มันก็เข้าทาง เพราะผมเชื่อว่าทางหน่วยทหารที่ฝึกมาก็รู้อยู่แล้วว่าทางผู้ชุมนุมต้องไม่พอใจ เขาก็ต้องมีวิธีการรับมือ

“แต่ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ตอบโต้ ปล่อยไป ไม่เห็นว่าจะต้องไปประกาศการกดดันอะไร ขณะที่ทหารก็ปฏิบัติงานจิตวิทยา มันไม่ถูกกาลเทศะ บรรยากาศมันไม่ให้ ผมว่าควรร่าเริงกลับไปด้วยซ้ำ คือตอบโต้ด้วยอิริยาบถที่สนุกสนานกลับไปก่อน หลังจากนั้นค่อยตั้งหลักใหม่ก็ไม่เสียหาย แต่ถ้าไปตั้งธงเรื่องเงื่อนเวลาไว้ มันก็ไปบีบให้แกนนำต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งพูดตรงๆ ก็ต้องบอกว่าเสียท่า”

ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องให้เครดิตรัฐบาลด้วย เพราะนโยบายการรับมือกับการชุมนุมของรัฐบาลก็เป็นสิ่งสำคัญ หากรัฐมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์และแสดงออกว่าจะใช้ความรุนแรง คงเป็นการยากที่ผู้ปฏิบัติงานจะทำงานด้วยความนุ่มนวล

ถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะใช้วิธีกดดันหรือสันทนาการ หากไม่นำไปสู่การปะทะก็นับเป็นเรื่องดี ซึ่งสำหรับนักสันติวิธีแล้ว การที่แต่ละฝ่ายจะมองกันด้วยสายตาที่เป็นมิตร เพื่อทำความเข้าใจและหาทางออกของความขัดแย้งร่วมกัน ย่อมถือเป็นวิธีการที่น่าสนับสนุนยิ่งกว่าวิธีใด

..........

เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK




กำลังโหลดความคิดเห็น